คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทยประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ เพื่อดึงดูดการลงทุนระดับโลก สู่พื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรมมูลค่าสูง
ความร่วมมือระหว่างทั้งสององค์กร มีเป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนจริงในพื้นที่รวม 5 แสนล้านบาท ภายใน 5 ปี และขับเคลื่อนการเติบโตของ 5 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์และสุขภาพ อุตสาหกรรมสีเขียว BCG และอุตสาหกรรมบริการ
เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ถือเป็นกลไกที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เป้าหมายหลักคือ การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการลงทุนที่มีมูลค่าสูง และเชื่อมโยงไปถึงพื้นที่และชุมชน
ที่ผ่านมา การลงทุนจากต่างประเทศมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาในพื้นที่อีอีซีเป็นอย่างมาก การขยายขีดความสามารถของพื้นที่และระบบบริหารจัดการที่เอื้อต่อการลงทุนเป็นกลยุทธ์สำคัญในการเติบโตของอีอีซี
การผนึกกำลังร่วมกับธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นสถาบันทางการเงินที่มีความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่งใน 58 ประเทศและเขตดินแดน จะเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนการลงทุนจากทั่วโลก และเชื่อมโยงอีอีซี กับองค์กรชั้นนำระดับนานาชาติ”
ดร.จุฬา สุขมานพ เลขาธิการ อีอีซี กล่าวว่า ภายใต้ความร่วมมือทั้งสององค์กรจะร่วมมือในการแสวงหานักลงทุนที่มีศักยภาพ อำนวยความสะดวกในการลงทุนผ่านโครงการต่าง ๆ
ในปี 2568 ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย จะให้การสนับสนุนในกิจกรรมโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการลงทุนสู่พื้นที่อีอีซีในระเบียงเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิ จีน สิงคโปร์ ยุโรป ไต้หวัน และญี่ปุ่น
“ความร่วมมือกับธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เราสามารถเข้าถึงฐานลูกค้าระดับโลกของธนาคารฯ ซึ่งครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและเขตเศรษฐกิจสำคัญ แต่ยังเข้ามาสนับสนุนด้านการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่ครบวงจรให้แก่นักลงทุน ซึ่งจะเข้ามายกระดับอุตสาหกรรมในประเทศให้สอดรับกับแนวโน้มของตลาดโลก”
จอร์โจ กัมบา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและหัวหน้ากลุ่มลูกค้าธุรกิจ ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังได้รับความสนใจในการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เพิ่มขึ้น ด้วยทำเลที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ และอีโคซิสเต็มในด้านการผลิตที่ครอบคลุม
ในปี 2567 ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติเป็นมูลค่ารวมราว 7.27 แสนล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดการลงทุนสูงสุดในรอบ 20 ปี และอีอีซีถือเป็นศูนย์กลางของการเติบโตนี้ โดย 78% ของมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศเป็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซี (ราว 5.68 แสนล้านบาท) สะท้อนถึงบทบาทของอีอีซีในฐานะแรงขับเคลื่อนหลักของกลยุทธ์การลงทุนของประเทศไทย
ทั้งนี้ อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (2.56 แสนล้านบาท) อุตสาหกรรมดิจิทัล (9.5 หมื่นล้านบาท) และยานยนต์แห่งอนาคต (8.7 หมื่นล้านบาท)
ธนาคารเอชเอสบีซี เห็นถึงแนวโน้มความสนใจของธุรกิจจีนในการขยายกิจการสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากจำนวนขององค์กรธุรกิจจีนที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในอาเซียนผ่านเครือข่ายของธนาคารในปี 2566 ที่เพิ่มขึ้น 80% จากปีก่อนหน้า โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายการลงทุนที่สำคัญ
ทั้งนี้ แม้การลงทุนจากประเทศจีนจะครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม แต่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด คือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งมีมูลค่ารวมนับตั้งแต่ปี 2561 จนถึงไตรมาสสามปี 2567 ราว 2.75 แสนล้านบาท
ประเทศไทยยังประสบความสำเร็จในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ เนื่องจากมีแหล่งพลังงานที่มั่นคงเพียงพอ และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยล่าสุด สกพอ.ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านการลงทุนในเศรษฐกิจดิจิทัลที่หลากหลายยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อินเดีย และตะวันออกกลาง ยังถือเป็นระเบียงการลงทุนที่สำคัญสำหรับประเทศไทยด้วยเช่นกัน ด้วยความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งและโอกาสจากการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกัน โดยเครือข่ายธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญด้านการเงินของธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศเหล่านี้ จะช่วยดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสู่พื้นที่อีอีซีได้มากยิ่งขึ้น
“เอชเอสบีซี จะอาศัยความเชี่ยวชาญของธนาคารฯ ในการเชื่อมโยงการลงทุนระหว่างประเทศ เข้ามาสนับสนุน สกพอ. ในการเข้าถึงกลุ่มนักลงทุนจากทั่วโลก โดยเฉพาะจากระเบียงเศรษฐกิจสำคัญที่สอดคล้องกับเป้าหมายด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย ผ่านการนำเสนอโซลูชันด้านการเงินที่ครบวงจร อำนวยความสะดวกในการเริ่มดำเนินธุรกิจ และเสริมสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการลงทุน เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ความร่วมมือกับ สกพอ. ในครั้งนี้จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก กระตุ้นการจ้างงานทักษะสูง และบรรลุเป้าหมายในการเสริมศักยภาพในการแข่งขันในระดับนานาชาติ ตลอดจนเสริมความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคต” กัมบา กล่าว