ปตท. ยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของไทย กำลังพลิกโฉมการดำเนินงานครั้งสำคัญด้วยการย้ายระบบ ERP หลักสู่คลาวด์ โดยจับมือกับ SAP และ Amazon Web Services (AWS) นำโซลูชัน RISE with SAP มาใช้บนโครงสร้างพื้นฐานของ AWS Thailand Region การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์นี้ไม่เพียงมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพและลดต้นทุน แต่ยังเป็นการวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในอนาคต และถือเป็นก้าวสำคัญในการขับเคลื่อนวาระดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรและส่งสัญญาณต่ออุตสาหกรรมในประเทศไทย
การดำเนินการครั้งนี้มีความสำคัญ ไม่ใช่เพียงเพราะขนาดและความซับซ้อนของการย้ายระบบหลักขององค์กรขนาดใหญ่อย่างปตท. ที่ใช้งาน SAP มายาวนานกว่า 20 ปี แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลที่กว้างขึ้นของปตท. โครงการนี้ถูกวางตำแหน่งให้เป็นมากกว่าการอัปเกรดทางเทคนิค แต่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเตรียมความพร้อมสำหรับการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ประโยชน์อย่างเต็มศักยภาพในอนาคต
การที่ปตท. ซึ่งเป็นองค์กรที่มีความเกี่ยวข้องกับภาครัฐและถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ เลือกที่จะย้ายระบบ ERP หลักขึ้นสู่คลาวด์ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัย ความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตัดสินใจเลือก AWS ซึ่งมีการลงทุนจัดตั้ง Region ในประเทศไทย เป็นการย้ำถึงความสำคัญของปัจจัยด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) และความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทำไมต้องคลาวด์
ทวีสุข สายะศิลป์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์เทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การตัดสินใจของปตท. ในการเปลี่ยนผ่านสู่ RISE with SAP on AWS ไม่ใช่แค่การตอบสนองต่อความล้าสมัยทางเทคโนโลยี แต่เป็นความเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ที่เกิดจากปัจจัยสำคัญหลายประการ ประการแรก คือ ระบบเดิมที่เป็นแกนหลักแต่ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง ปตท.ใช้งานระบบ ERP ของ SAP มากว่า 20 ปี เริ่มตั้งแต่เวอร์ชัน 4.6 และได้ใช้งาน SAP ECC 6.0 ซึ่งถือเป็นระบบ Backbone ที่มีประสิทธิภาพ มาเป็นเวลานานถึง 11 ปี อย่างไรก็ตาม ระบบ ECC 6.0 กำลังจะสิ้นสุดการสนับสนุนหลัก (End of Mainstream Maintenance) ในปี 2027 แม้จะมีทางเลือกในการสนับสนุนแบบขยายเวลา (Extended Support) โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมไปจนถึงปี 2030 สำหรับ Enhancement Pack (EHP) รุ่นหลังๆ (EHP 6, 7, 8) ก็ตาม แต่สำหรับ EHP รุ่นก่อนหน้า (0-5) การสนับสนุนหลักจะสิ้นสุดในปี 2025 โดยไม่มีทางเลือกขยายเวลา การดำเนินการต่อไปบนระบบที่ไม่ได้รับการสนับสนุนเต็มรูปแบบจะนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านความปลอดภัย การไม่ได้รับอัปเดตฟังก์ชันใหม่ ๆ และปัญหาความเข้ากันได้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ประการต่อมา คือ ทิศทางที่ชัดเจนของ SAP สู่คลาวด์ ปตท. ตระหนักดีว่าแผนการพัฒนาและนวัตกรรมในอนาคตของ SAP นั้นมุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์มคลาวด์อย่าง SAP S/4HANA Cloud เป็นหลัก ทวีสุข กล่าวว่า “เห็นชัด ๆ แล้วว่า เขาหยุดเรื่องของการที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ บน On-Premise แต่ว่าบน Cloud คือสิ่งที่ SAP define ไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีนวัตกรรม” ด้วยเหตุนี้ ปตท.จึงไม่ต้องการเพียงแค่อัปเกรดระบบเดิมบนโครงสร้างพื้นฐานแบบ On-premise ซึ่งอาจต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่ต้องการโซลูชันที่สามารถใช้งานได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ประการต่อมาคือ การวางรากฐานสำคัญสำหรับยุคดิจิทัลและใช้ประโยชน์จาก AI โดยปตท.มองว่าการปรับปรุงระบบ ERP ครั้งนี้เป็นการวางรากฐาน (Fundamental) การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในภาพรวมขององค์กร ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่อยู่ในระบบ ERP ถือเป็นขุมทรัพย์สำคัญที่จะเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการนำ AI มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพในอนาคต การมีระบบ ERP ที่ทันสมัย ยืดหยุ่น และทำงานบนคลาวด์ จะช่วยให้การเชื่อมต่อและนำข้อมูลไปใช้กับเทคโนโลยี AI และการวิเคราะห์ขั้นสูงเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากเหตุผลทั้งหมดนี้ Cloud คือคำตอบ
ทำไมต้อง AWS Thailand Region
เมื่อปตท.ตัดสินใจเลือกเส้นทางคลาวด์สำหรับระบบ ERP การเลือกผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ (Hyperscaler) จึงกลายเป็นประเด็นสำคัญลำดับถัดมา ความเป็นพันธมิตรที่ยาวนานกว่า 16 ปี (ตั้งแต่ปี 2008) ระหว่าง SAP และ AWS ถือเป็นปัจจัยสำคัญ ความร่วมมือนี้ทำให้มั่นใจได้ว่าโซลูชัน RISE with SAP จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดบนโครงสร้างพื้นฐานของ AWS มีการผสานรวมทางเทคนิคและมีการสนับสนุนร่วมกันอย่างใกล้ชิด AWS
ทวีสุข กล่าวว่า ปตท.สามารถเข้าถึงบริการที่หลากหลายกว่า 200 รายการของ AWS ในอนาคต เพื่อต่อยอดและขยายนวัตกรรมนอกเหนือจากระบบ ERP หลัก ซึ่งรวมถึงบริการด้าน AI/ML การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) Internet of Things (IoT) เป็นต้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีพื้นฐานของ AWS เช่น AWS Nitro System ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยให้กับระบบ
ในฐานะองค์กรที่เกี่ยวข้องกับภาครัฐ ปตท.มีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับข้อกำหนดด้านอธิปไตยของข้อมูล (Data Sovereignty) และความเป็นไปได้ที่ภาครัฐอาจออกนโยบายบังคับให้ข้อมูลสำคัญต้องถูกจัดเก็บอยู่ภายในประเทศไทยในอนาคต การเปิดตัว AWS Thailand Region ซึ่งเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคม 2025 ช่วยขจัดความกังวลนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ปตท.สามารถดำเนินโครงการได้อย่างมั่นใจว่าจะสอดคล้องกับข้อกำหนดด้าน Data Residency การมี Region ในประเทศจึงไม่ใช่แค่ความสะดวก แต่เป็นเงื่อนไขจำเป็นที่ทำให้การย้ายขึ้นคลาวด์ครั้งนี้เป็นไปได้จริงสำหรับ ปตท.
ทวีสุข กล่าวว่า การมีศูนย์ข้อมูลอยู่ภายในประเทศช่วยลดค่าความหน่วงในการเข้าถึงระบบและการเชื่อมต่อกับระบบอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย ทำให้ใช้งานและระบบงานต่าง ๆ ทำงานได้รวดเร็วขึ้น การมีทีมงานสนับสนุนคนไทยจากทั้ง AWS และ SAP ทำให้การสื่อสารและการประสานงานเป็นไปอย่างราบรื่นและเข้าใจง่ายขึ้น และการลงทุนมูลค่ากว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในระยะเวลา 15 ปี การคาดการณ์ว่าจะสร้างงานกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และเพิ่ม GDP ให้ประเทศราว 1 หมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในระยะยาวของ AWS ต่อประเทศไทย ซึ่งสร้างความมั่นใจให้กับปตท.ในฐานะลูกค้า
ความท้าทาย
การย้ายระบบ ERP หลักที่ซับซ้อนและมีความสำคัญยิ่งยวดอย่างระบบของปตท.ไปยังสภาพแวดล้อมใหม่บนคลาวด์ภายใต้โมเดล RISE with SAP ย่อมต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ความท้าทายเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ด้านเทคนิค แต่ยังครอบคลุมถึงการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงาน การบริหารจัดการ และวัฒนธรรมองค์กร
การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมการทำงาน (Environment Shift) การย้ายจากศูนย์ข้อมูลที่ ปตท. คุ้นเคยและควบคุมได้เอง (On-premise) ไปสู่สภาพแวดล้อมคลาวด์ที่บริหารจัดการโดย SAP บนโครงสร้างพื้นฐานของ AWS ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อกระบวนการทำงานเดิม ๆ ตั้งแต่การพัฒนา การทดสอบ ไปจนถึงการนำระบบขึ้นใช้งานจริง (Production) รวมถึงเครื่องมือและกลไกการควบคุมที่เคยใช้
การสูญเสียการควบคุมโดยตรงและความเชื่อมั่น (Loss of Direct Control & Trust) ในอดีต ทีมงาน PTT Digital (บริษัทย่อยด้านไอทีของปตท.) เป็นผู้บริหารจัดการระบบ ERP เองทั้งหมด แต่เมื่อเปลี่ยนไปใช้ RISE บทบาทการจัดการทางเทคนิคหลายส่วนถูกส่งมอบให้ SAP ดูแล ทำให้เกิดความไม่ค่อยมั่นใจในช่วงแรกเกี่ยวกับการพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกสำหรับงานสำคัญ เช่น การจัดการ Build & Transport การตอบสนองต่อเหตุการณ์ผิดปกติ (Incident Response) และการกู้คืนระบบ
การบริหารจัดการข้อตกลงระดับการให้บริการ (SLA Management) การมี SLA ที่ชัดเจนและรัดกุมกลายเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าระบบจะมีความพร้อมใช้งาน (Availability) ตามที่ตกลง มีกระบวนการแก้ไขปัญหา (Corrective Actions) ที่มีประสิทธิภาพ และมีระยะเวลาในการกู้คืนระบบ (Recovery Time Objective – RTO) ที่ยอมรับได้ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติ (Disaster Recovery – DR) การเจรจาต่อรองและระบุรายละเอียดเหล่านี้ในสัญญาเป็นขั้นตอนที่ปตท.ให้ความสำคัญอย่างมาก
ความซับซ้อนในการเชื่อมต่อและความปลอดภัย (Integration & Security Complexity) ความท้าทายที่สำคัญอีกประการคือการเชื่อมต่อระบบ SAP ใหม่บนคลาวด์เข้ากับระบบเดิม (Legacy Systems) ที่มีอยู่จำนวนมากถึง 400 ระบบ ซึ่งยังคงทำงานอยู่บน On-premise หรือสภาพแวดล้อมอื่น ๆ การทำให้ข้อมูลไหลผ่านระหว่างคลาวด์และระบบเดิมได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการออกแบบสถาปัตยกรรมเครือข่ายที่รัดกุม การใช้ Middleware ที่เหมาะสม (ซึ่ง SAP มีเครื่องมือสนับสนุน) และการปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยให้สอดคล้องกัน
การปรับกระบวนการทางธุรกิจ (Process Redesign) ปตท. ไม่ได้เพียงแค่ย้ายระบบ แต่ยังดำเนินการปรับปรุงกระบวนการทั้งหมดควบคู่ไปด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มความซับซ้อนให้กับโครงการอย่างมาก แต่ก็จำเป็นเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากความสามารถใหม่ๆ ของ SAP S/4HANA ได้อย่างเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานหลักย่อมส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานจำนวนมากและต้องการการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ที่มีประสิทธิภาพ
อานิสงส์ของคลาวด์
ปตท. คาดหวังว่าจะสามารถประหยัดต้นทุนได้เมื่อเทียบกับการดูแลรักษาและอัปเกรดโครงสร้างพื้นฐานแบบ On-premise ต่อไป การประหยัดนี้มาจากการที่ไม่ต้องลงทุนซื้อฮาร์ดแวร์ราคาแพงล่วงหน้า การจ่ายค่าบริการตามทรัพยากรที่ใช้จริง ซึ่งช่วยลดการลงทุนเกินความจำเป็น (Over-provisioning) ที่มักเกิดขึ้นในโมเดล CapEx และการลดค่าใช้จ่ายแฝงในการบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กร ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (Operational Expenditures – OpEx) ซึ่งเป็นลักษณะการสมัครสมาชิกและจ่ายตามการใช้งานจริง (Pay-per-use) ที่มาพร้อมกับ RISE on AWS ช่วยให้การบริหารกระแสเงินสดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น และอาจช่วยให้การอนุมัติงบประมาณสำหรับบริการใหม่ๆ ทำได้รวดเร็วกว่าการขออนุมัติงบลงทุนขนาดใหญ่
การที่ SAP และ AWS เข้ามาดูแลรับผิดชอบโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการทางเทคนิค ช่วยให้ทีมไอทีของปตท. เช่น PTT Digital สามารถทุ่มเททรัพยากรและเวลาไปกับการพัฒนากลยุทธ์ทางธุรกิจ การสร้างสรรค์นวัตกรรม และการสนับสนุนการดำเนินงานหลักขององค์กรได้มากขึ้น แทนที่จะต้องพะวงกับการดูแลรักษาระบบพื้นฐาน ซึ่งปตท.มีแผนที่จะนำความสามารถ AI ที่ฝังอยู่ในโซลูชันของ SAP มาใช้ประโยชน์ เช่น Joule AI Assistant ซึ่งคาดว่าจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้งาน เปลี่ยนจากการใช้ Transaction Code ที่ซับซ้อนไปสู่การโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน การที่ Joule มีแผนจะรองรับภาษาไทย ยิ่งทำให้การนำไปปรับใช้ในบริบทของปตท.มีความเป็นไปได้และเกิดประโยชน์สูงสุด
นอกจาก AI ที่มาพร้อมกับ SAP แล้ว ปตท.ยังสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากระบบ ERP ที่อยู่บน AWS เข้ากับบริการ AI/ML ที่หลากหลายของ AWS เพื่อสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์ขั้นสูง หรือพัฒนาแอปพลิเคชัน AI ที่ตอบโจทย์เฉพาะทางของปตท.เองได้ ทั้งนี้ ปตท.กำลังดำเนินโครงการ Transformation Program อย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงการนำ AI มาใช้อย่างกว้างขวาง ทั้งในรูปแบบผู้ช่วยพนักงาน เช่น การใช้ Generative AI เพื่อค้นหาข้อมูล และการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจหลัก เช่น การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ การวางแผนแบบไดนามิก (Dynamic Planning) เพื่อรับมือกับความผันผวนของตลาด
“เราตระหนักดีว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ เรากำหนดเป้าหมายและ KPI ที่ชัดเจนในการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลและ AI ให้กับพนักงานทุกคน ตั้งเป้า 100% ภายใน 4 ปี เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือและระบบใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ”
ปตท. ออนคลาวด์
โครงการย้ายระบบ ERP หลักสู่ RISE with SAP on AWS ของปตท.ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญภายในองค์กร แต่ยังมีนัยสำคัญในฐานะกรณีศึกษาและอาจเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้ในวงกว้างมากขึ้นในประเทศไทย ด้วยขนาดองค์กร ความซับซ้อนของระบบงาน และสถานะของปตท.ที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีความเกี่ยวข้องกับภาครัฐ โครงการนี้จึงกลายเป็นกรณีศึกษา (Showcase) ที่สำคัญสำหรับตลาดในประเทศไทย ความสำเร็จของปตท.จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความเป็นไปได้และประโยชน์ของการย้ายระบบงานที่สำคัญ (Mission-Critical) ขึ้นสู่คลาวด์
กุลวิภา ปิยวัฒนเมธา กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีน จาก SAP กล่าวว่า ตัวอย่างของปตท.ช่วยพิสูจน์ให้องค์กรอื่น ๆ เห็นว่าสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและความกังวลต่าง ๆ ที่มักเกิดขึ้นเมื่อพิจารณาการย้ายขึ้นคลาวด์ได้ ประเด็นสำคัญที่โครงการนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่น การที่ปตท.สามารถบริหารจัดการความปลอดภัยของระบบ ERP บนคลาวด์ได้ แม้จะต้องเชื่อมต่อกับระบบ Legacy จำนวนมาก เป็นการแสดงให้เห็นว่าด้วยสถาปัตยกรรม การควบคุม และความร่วมมือที่เหมาะสม ความปลอดภัยบนคลาวด์สามารถเทียบเท่าหรือดีกว่า On-premise ได้ และการเลือกใช้ AWS Thailand Region เป็นการยืนยันว่าข้อกำหนดด้าน Data Sovereignty ที่เข้มงวดสามารถจัดการได้ด้วยโซลูชันคลาวด์ที่มีโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญสำหรับองค์กรในภาคการเงิน ภาครัฐ หรือองค์กรที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) อย่างเคร่งครัด
“การที่องค์กรขนาดใหญ่และมีกฎระเบียบมากอย่าง ปตท. สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการปฏิบัติงาน (Operating Model) ไปสู่การทำงานร่วมกับผู้ให้บริการคลาวด์และ SAP ภายใต้ SLA ที่ชัดเจนได้ แสดงให้เห็นว่าโมเดลการกำกับดูแลแบบใหม่นี้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง”
ความสำเร็จของปตท.อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้องค์กรขนาดใหญ่อื่น ๆ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐในประเทศไทยกล้าที่จะตัดสินใจย้ายระบบงานสำคัญขึ้นสู่คลาวด์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสอดคล้องกับนโยบาย “Cloud First” ของภาครัฐ การที่องค์กรระดับปตท.ซึ่งเปรียบเสมือน “พี่ใหญ่” ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมของไทยเคลื่อนไหวในทิศทางนี้ ย่อมส่งสัญญาณที่ทรงพลังไปยังตลาดโดยรวมและสร้างความน่าเชื่อถือให้กับโมเดล RISE with SAP on AWS อย่างมีนัยสำคัญ
ตัวอย่างของปตท. ช่วยพิสูจน์ให้องค์กรอื่นเห็นว่าสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและความกังวลต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่โครงการนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย การจัดการถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) ด้วย AWS Thailand Region และการสร้างโมเดลการกำกับดูแลและการควบคุม (Governance & Control) ที่ปฏิบัติได้จริงในสภาพแวดล้อมคลาวด์ ประสบการณ์และบทเรียนที่ได้จะช่วยยกระดับองค์ความรู้ในระบบนิเวศเทคโนโลยีของไทย และอาจเป็นตัวเร่งให้องค์กรขนาดใหญ่รวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ กล้าตัดสินใจสู่คลาวด์มากขึ้น สอดรับกับนโยบาย Cloud First ของรัฐบาล
การที่ปตท.นำ RISE with SAP บน AWS มาใช้ ถือเป็นการวางรากฐานแพลตฟอร์มดิจิทัลแห่งอนาคตสำหรับปตท.ที่มีความยืดหยุ่น ปรับขนาดได้ และพร้อมรองรับนวัตกรรม โดยเฉพาะ AI โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการอัปเกรดทางเทคโนโลยี แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนประสิทธิภาพ สร้างความได้เปรียบ และรับมือความท้าทายในอนาคต ด้วยเป้าหมาย Go-Live ในเดือนตุลาคม ความสำเร็จที่แท้จริงจะวัดผลจากการที่ปตท. สามารถใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มใหม่นี้ เพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ และตอกย้ำความเป็นผู้นำในยุคดิจิทัลต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
SCG HEIM โชว์ประสิทธิภาพบ้านรองรับแผ่นดินไหว
ทีเส็บ จุดพลุ MICE Day 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไมซ์ไทยสู่ความยั่งยืน