ในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกอย่างรวดเร็ว AI ไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวหรือจำกัดอยู่แค่ในองค์กรขนาดใหญ่อีกต่อไป AI คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ไมโครซอฟท์เปิดเผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ทุกการลงทุน 1 เหรียญใน AI สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้สูงถึง 3.7 เหรียญ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่าการนำ AI มาปรับใช้ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดและทางสู่การเป็นผู้นำในตลาดอนาคต
พิมพ์สิรี รัตนสุนทร ASEAN SMB Partner Solution Lead และ นพดล รัตนวิเศษรัตน์ Digital Specialist – Modern Work จากบริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ร่วมกันให้ข้อมูลบนเวที AI fof SME: Real Tools, Real Growth ธุรกิจเล็ก พลังใหญ่ ปลดล็อกการเติบโตด้วย AI ในงาน Marketing Oops! Summit 2025
สู่การเป็น “Frontier Firm”: เมื่อ AI คือหัวใจของการเติบโต
พิมพ์สิรี เริ่มต้นด้วยการตอกย้ำว่า “Data และ AI” คือหัวใจร่วมกันของทุกธุรกิจ SME ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน พร้อมชี้ให้เห็นถึงแรงขับเคลื่อนมหาศาลในประเทศไทย ซึ่งผู้นำองค์กรถึง 91% กำลังมองหาแนวทางการใช้ AI เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโต เทียบกับค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 79%
สิ่งนี้ได้นำไปสู่แนวคิดขององค์กรแห่งอนาคตที่ Microsoft เรียกว่า “The Frontier Firm” ซึ่งหมายถึงบริษัทที่กล้าคิด กล้าทำ และกล้านำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้อย่างรวดเร็ว ทำให้แม้จะเป็นองค์กรขนาดเล็ก แต่ก็มีความคล่องตัวและศักยภาพที่จะขยายตัวเทียบเท่าบริษัทขนาดใหญ่ได้
ปฏิวัติองค์กร 4 มิติ: กลยุทธ์ AI Transformation ที่จับต้องได้
การจะก้าวไปสู่การเป็น Frontier Firm ได้ต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “AI Transformation” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนผ่านที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า Digital Transformation โดยมีเป้าหมายเพื่อนำ AI เข้ามาปฏิวัติ 4 มิติสำคัญขององค์กร
มิติแรกคือ การยกระดับประสบการณ์ของพนักงาน (Employee Experience) โดยยกตัวอย่างคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่งที่ต้องการขยายจาก 20 เป็น 50 สาขา แทนที่จะเพิ่มคนซึ่งเป็นต้นทุนมหาศาล พวกเขาตัดสินใจเพิ่มศักยภาพให้พนักงานเดิมด้วย Copilot ซึ่งเป็น AI ของ Microsoft 365 ผลลัพธ์คือพนักงาน 1 คนที่เคยดูแลได้ 2-3 สาขา สามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจนดูแลได้มากถึง 5 สาขา
มิติที่สองคือ การสร้างความผูกพันกับลูกค้า (Customer Engagement) ซึ่งการจะรู้ใจลูกค้าได้ต้องมี Data และ AI จะเข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูลนั้นเพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) ทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีและเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้น
มิติที่สามคือ การปฏิวัติกระบวนการทางธุรกิจ (Business Process) ด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า Agentic AI ซึ่งไม่ใช่แค่แชทบอทที่คอยตอบคำถาม แต่เป็น “เอเจนต์อัจฉริยะ” ที่สามารถทำงานแทนคนได้อย่างเป็นกระบวนการ เช่น เอเจนต์ที่คอยตรวจสอบสต็อกสินค้า เมื่อพบว่าสินค้าใกล้หมด มันจะไม่ใช่แค่รายงาน แต่จะถามต่อว่า “ให้ผมสั่งเพิ่มเลยไหมครับ?” และเมื่อได้รับคำสั่ง มันจะไปสั่งงานกับเอเจนต์อีกตัวที่ดูแลเรื่องการสั่งซื้อโดยอัตโนมัติ
และมิติสุดท้ายคือ การปลดล็อกนวัตกรรม (Unlock Innovation) โดยใช้ AI เป็นเครื่องมือสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น การลดระยะเวลาสร้างแคมเปญการตลาดได้ถึง 75% หรือสร้างคอนเทนต์ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายจนเพิ่มยอดขายได้ถึง 30%
จากพนักงานสู่ “Boss of Agents”: เมื่อ Copilot และ AI Agent คือผู้ช่วยอัจฉริยะ

นพดลได้ลงลึกในรายละเอียดของเครื่องมือที่จะทำให้ AI Transformation เกิดขึ้นจริง โดยสาธิตให้เห็นว่า Copilot ที่อยู่ใน Microsoft 365 สามารถเปลี่ยนวิธีการทำงานได้อย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการใช้งานใน Microsoft Teams ที่หลายคนคุ้นเคย
“หากคุณเข้าประชุมสายไป 15 นาที คุณสามารถกดปุ่มเดียวให้ Copilot สรุปเนื้อหาก่อนหน้าให้ฟังได้ทันทีว่าใครพูดเรื่องอะไร หรือแม้กระทั่งเจ้านายพูดถึงคุณว่าอย่างไรบ้าง และเมื่อประชุมเสร็จ มันจะสรุปประเด็นสำคัญและรายการสิ่งที่ต้องทำ (Action Items) ให้ทั้งหมด เสมือนมีเลขาส่วนตัวคอยจดบันทึกให้ตลอดเวลา”
นอกจากนี้ ยังได้ขยายภาพไปสู่โลกของ Agentic AI ซึ่งทำให้พนักงานธรรมดากลายเป็น “Boss of Agent” หรือหัวหน้าของเหล่าเอเจนต์ผู้เชี่ยวชาญ
“คุณสามารถสร้างเอเจนต์ขึ้นมาเพื่อทำงานเฉพาะทาง เช่น เอเจนต์พิสูจน์อักษรที่ลดเวลาทำงานจาก 3 เดือนเหลือเพียง 3 สัปดาห์ หรือเอเจนต์นักวิจัยที่สามารถสรุปข้อมูลจากเอกสาร 300 หน้าให้เหลือเพียงประเด็นสำคัญเพื่อเตรียมเข้าพบลูกค้าได้ภายใน 10 นาที ซึ่งทั้งหมดนี้ทำงานผ่านแพลตฟอร์ม Copilot Studio ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบหลังบ้านขององค์กรไม่ว่าจะเป็น ERP, ระบบสต็อก หรือระบบการเงินได้อย่างไร้รอยต่อ”
ความปลอดภัยระดับ Enterprise: รากฐานสำคัญที่ SME มองข้ามไม่ได้
ท้ายที่สุด ประเด็นที่สำคัญที่สุดในการนำ AI มาใช้ในองค์กรคือเรื่อง ความปลอดภัย (Security) เพราะในขณะที่ใช้ AI เพื่อทำธุรกิจ ผู้ไม่หวังดีหรือแฮกเกอร์ก็ใช้ AI ในการโจมตีเราเช่นกัน Microsoft จึงออกแบบแพลตฟอร์มทั้งหมดให้มีความปลอดภัยระดับ Enterprise Grade ซึ่งเป็นระดับเดียวกับที่สถาบันการเงินขนาดใหญ่ใช้งาน ทำให้ธุรกิจ SME สามารถเข้าถึงระบบความปลอดภัยระดับโลกได้โดยไม่ต้องลงทุนมหาศาล
ปัจจุบันมีลูกค้า SME กว่า 100,000 รายในไทยที่ใช้แพลตฟอร์มของ Microsoft และกว่า 75% ให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัยเป็นอันดับแรก บทสรุปจากทั้งสองท่านคือ AI ไม่ได้มาเพื่อแทนที่ใคร แต่มาเพื่อเป็นเครื่องมือเสริมศักยภาพให้มนุษย์ และการเริ่มต้นทำความรู้จักและปรับใช้ AI ตั้งแต่วันนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะนำพาธุรกิจของคุณไปสู่การเป็น “Frontier Firm” ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ความพร้อมระบบการศึกษาไทยในการบูรณาการเทคโนโลยี AI อย่างยั่งยืน
IBM ชี้ ‘ควอนตัม+AI’ กุญแจแก้ปัญหายากที่สุดของโลก
วิกฤติโลก-ไทยป่วยหนัก! ‘สมคิด จิรานันตรัตน์’ ชู AI พลิกเกมก่อนจม