ท่ามกลางภูมิทัศน์โลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว วิกฤติสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ได้แปรสภาพจากภัยคุกคามระยะไกลกลายเป็น “กติกาใหม่” ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การดำเนินธุรกิจแบบเดิมโดยไม่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมกำลังจะหมดสมัยลงภายใต้แรงกดดันจากกฎระเบียบระหว่างประเทศและโซ่อุปทานโลกที่เข้มข้นขึ้น
ในสมรภูมิแห่งการปรับตัวนี้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญชิ้นใหม่ที่จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านความท้าทายนี้และเปลี่ยนภัยคุกคามให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจมหาศาลได้ AI คือ อาวุธใหม่ของไทยในสมรภูมิ Climate Change เปลี่ยน ‘ป่า’ เป็น ‘สินทรัพย์’ สู้กติกาโลก
กติกาโลกใหม่: เมื่อ Climate Change คือใบอนุญาตการค้า
ปัจจุบันนี้ กติกาการค้าโลกกำลังถูกเขียนขึ้นใหม่โดยมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจสำคัญ ดร.พูนเพิ่ม วรรธนะพินทุ Chief Technology Officer, Azolla Climate กล่าวบนเวทีเสวนา “Smart Planet AI and Climate Crisis” ในงาน Bangkok AI Week 2025 ว่า มาตรการ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรปนั้น ทำหน้าที่ไม่ต่างจากภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้านำเข้า ซึ่งหมายความว่าหากสินค้าจากประเทศไทยมีกระบวนการผลิตที่ปลดปล่อยคาร์บอนสูงจะถูกบวกเพิ่มต้นทุนเมื่อเข้าสู่ตลาดยุโรป ทำให้ผู้นำเข้าหันไปเลือกสินค้าจากแหล่งผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
ในขณะที่ ชยุตม์ สกุลคู CEO, Tact AI กล่าวเสริมว่า มีผู้ประกอบการ SME ไทยที่ผลิตน็อตส่งให้บริษัทญี่ปุ่นเพื่อส่งต่อไปยังยุโรป ถูกขอข้อมูล “Carbon Footprint” ของผลิตภัณฑ์อย่างเร่งด่วน และเสี่ยงที่จะสูญเสียลูกค้าไปหากไม่สามารถจัดหาข้อมูลดังกล่าวได้
แรงกดดันนี้ไม่ได้มาจากภาคนโยบายเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากโซ่อุปทานโดยตรง เมื่อบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Apple หรือ Microsoft ต่างประกาศเป้าหมายสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนและผลักดันให้ซัพพลายเออร์ทั่วโลกต้องปฏิบัติตาม แม้แต่ในสหรัฐอเมริกาที่ภาพลักษณ์ทางการเมืองอาจดูไม่ใส่ใจเรื่องโลกร้อน แต่ภาคเอกชนรายใหญ่ต่างเดินหน้าทำเรื่องนี้อย่างเงียบๆ เพราะตระหนักดีว่านี่คือเมกะเทรนด์ของโลกที่ไม่อาจหวนกลับได้อีกต่อไป
ตลาดคาร์บอนเครดิตไทย กับความท้าทายสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
Taxonomy กับการพัฒนาการเงินเพื่อความยั่งยืน
ป่าไม้: สินทรัพย์เศรษฐกิจและความท้าทายในการตรวจวัด
ท่ามกลางความท้าทายนี้ ประเทศไทยกลับมีจุดแข็งและทรัพยากรล้ำค่าซ่อนอยู่ นั่นคือ “Nature-based Solution” หรือแนวทางการแก้ปัญหาโลกร้อนโดยอาศัยกลไกทางธรรมชาติ ซึ่งมี “ต้นไม้” เป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด
พณัญญา เจริญสวัสดิ์พงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท วรุณา (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า พื้นที่ป่าของไทยที่มีอยู่มหาศาลกว่า 30-40 ล้านไร่ สามารถเปลี่ยนให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าได้ผ่านกลไกคาร์บอนเครดิต ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ที่ต้นไม้แต่ละต้นดูดซับและกักเก็บไว้ขณะเติบโตสามารถนำไปคำนวณและรับรองเพื่อใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยน หรือนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรต่าง ๆ ได้ แต่ทว่าอุปสรรคสำคัญที่ผ่านมาคือกระบวนการตรวจวัดและรับรองที่ยุ่งยากและมีต้นทุนสูงลิ่ว
“วิธีการปัจจุบันคือเราต้องเดินขึ้นภูเขาไปพร้อมกับสายวัด แล้ววัดขนาดต้นไม้ทีละต้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในทางปฏิบัติหากต้องทำกับป่าขนาดใหญ่ที่มีต้นไม้นับล้านต้น”
ความยากลำบากนี้เองที่ทำให้การทำคาร์บอนเครดิตยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร และยังเป็นช่องโหว่ที่นำไปสู่การกล่าวอ้างโดยไม่มีการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ หรือที่เรียกว่า “Greenwashing“
AI: อาวุธสำคัญปลดล็อกศักยภาพในสมรภูมิสีเขียว
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นผู้เปลี่ยนเกมครั้งสำคัญ เพื่อแก้ปัญหาที่เป็นคอขวดของกระบวนการนี้โดยตรง ในมิติของการตรวจวัดป่าไม้ วรุณาได้นำเทคโนโลยีโดรนและภาพถ่ายดาวเทียมมาทำงานร่วมกับ AI เพื่อวิเคราะห์พื้นที่ป่าจากมุมสูงได้อย่างครอบคลุมและรวดเร็ว แทนที่จะใช้แรงงานคนเดินวัดทีละต้น ซึ่ง AI สามารถประมวลผลจากภาพถ่ายเพื่อประเมินปริมาณคาร์บอนที่ต้นไม้กักเก็บไว้ได้อย่างแม่นยำ
“จากเดิมที่อาจใช้เวลา 1 ชั่วโมงวัดต้นไม้ได้ 20 ต้น ตอนนี้เราใช้เวลาเท่ากันประเมินต้นไม้ได้เป็นล้านต้น”
ขณะเดียวกัน ในมิติของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME ที่ขาดแคลนทั้งบุคลากรและความรู้ในการทำบัญชีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ AI ก็สามารถเข้ามาช่วยลดความซับซ้อนได้อย่างมหาศาล ชยุตม์ กล่าวว่า AI มีความสามารถในการอ่านและดึงข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ เช่น บิลค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมัน หรือข้อมูลทางบัญชี แล้วนำมาคำนวณการปล่อยคาร์บอนได้โดยอัตโนมัติ
ซึ่ง ดร.พูนเพิ่ม กล่าวเสริมว่า ในอนาคตอันใกล้ จำนวนนิติบุคคลที่ต้องรายงานคาร์บอนอาจก้าวกระโดดจาก 2,000 ราย เป็น 700,000 รายภายใต้ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ดังนั้น การนำ AI มาใช้จึงไม่ใช่แค่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเพื่อความอยู่รอด
ก้าวต่อไปของไทย: โจทย์ใหญ่ที่ต้องก้าวข้าม
แม้ว่า AI จะมีศักยภาพสูงและเป็นคำตอบของหลายปัญหา แต่การที่ประเทศไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพ ยังคงมีโจทย์ใหญ่และความท้าทายอีกหลายด้านที่ต้องเร่งแก้ไข
ประการแรกคือด้านนโยบายและกฎหมายที่ยังตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะกฎเกณฑ์การตรวจวัดคาร์บอนเครดิตที่ยังคงยึดติดกับวิธีการแบบดั้งเดิมที่ใช้คนเป็นหลัก และยังไม่เปิดรับรองการใช้ AI ในการตรวจวัดอย่างเป็นทางการ
ประการที่สองคือปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐานข้อมูล ซึ่งประเทศไทยยังขาดแคลนฐานข้อมูลกลาง (Database) ด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นของประเทศเอง ทำให้การพัฒนาและฝึกฝน AI ต้องพึ่งพาข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับบริบทของป่าไม้และสภาพแวดล้อมในประเทศไทย
และประการสุดท้ายคือช่องว่างทางความรู้ (Knowledge Gap) ของทั้งผู้ประกอบการและประชาชนโดยทั่วไปที่ยังต้องมีการส่งเสริมและสร้างทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นสำหรับยุคเศรษฐกิจสีเขียว หรือที่เรียกว่า “Green Skills” ควบคู่ไปกับทักษะด้านดิจิทัล
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้มาเคาะประตูบ้านของทุกคนแล้ว การเตรียมความพร้อมจึงเป็นกุญแจสำคัญที่สุด ผู้ประกอบการควรเริ่มต้นจากการจัดระเบียบข้อมูลขององค์กรตนเองให้เป็นระบบ เพราะนั่นคือรากฐานและต้นทุนของการทำบัญชีคาร์บอนในอนาคต พร้อมทั้งเริ่มศึกษาและนำ AI พื้นฐานมาปรับใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
แม้ว่าในวันนี้บรรยากาศภาพรวมอาจยังดูเงียบและมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่เบื้องหลังนั้น กลไกของเศรษฐกิจโลกกำลังขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง และองค์กรที่พร้อมปรับตัวและนำเทคโนโลยีมาใช้ก่อน ย่อมเป็นผู้ที่สามารถคว้าโอกาสมหาศาลจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไว้ได้ในที่สุด
พลิกโฉมวงการแพทย์ไทย: AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ เพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัย
ทิศทาง AI ไทย: เมื่อ “คน-วัฒนธรรม” คือคอขวดสำคัญกว่าเทคโนโลยี