Share on
×

Share

Unilever – CP Group เผยกลยุทธ์ ‘นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน’

ในยุคที่โลกเผชิญความท้าทายรอบด้าน ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ไปจนถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม คำว่า “ความยั่งยืน” (Sustainability) ไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียวของมนุษยชาติ บนเวทีเสวนา “Innovation for Sustainability” ในงาน GCNT Expo 2025 สององค์กรระดับโลกอย่าง Unilever และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) ได้มาเผยวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ที่น่าสนใจ แม้จะมาจากคนละอุตสาหกรรม แต่ทั้งสองมีจุดร่วมที่ทรงพลัง นั่นคือการใช้ “นวัตกรรม” เป็นหัวใจในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืน เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน

Unilever: เมื่อความยั่งยืนคือ “หัวใจ” ไม่ใช่ “ส่วนเสริม”

อภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร กลุ่มประเทศเอเชีย (Greater Asia) บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย
อภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร กลุ่มประเทศเอเชีย (Greater Asia) บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย

อภิพร อดุลย์พิจิตร ผู้อำนวยการด้านงานวิจัยและพัฒนาอาหาร กลุ่มประเทศเอเชีย (Greater Asia) บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย กล่าว่า สำหรับ Unilever ซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่มีรายได้กว่า 6 หมื่นล้านยูโร และมีผลิตภัณฑ์เข้าถึงผู้บริโภค 3.4 พันล้านคนในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก ความยั่งยืนไม่ใช่แค่โครงการเพื่อสังคม (CSR) แต่ถูกฝังลึกอยู่ในเจตจำนงหลักของบริษัทที่จะทำให้ทุกวันของทุกคนดีขึ้น (brighten everyday life for all)

ปรัชญานี้สะท้อนให้เห็นว่า Unilever มองความรับผิดชอบต่อโลกและสังคมเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อแท้ในการทำธุรกิจ ไม่ใช่ภารกิจเสริม Unilever ได้แปลงเจตจำนงให้กลายเป็นเป้าหมายที่วัดผลได้จริง โดยอิงกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมแล้วในหลายด้าน

ด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate) ไม่ใช่แค่การตั้งเป้า แต่ลงมือทำจนสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงงาน (Scope 1 และ 2) ได้แล้วถึง 72% นับตั้งแต่ปี 2015 และตั้งเป้าให้สำเร็จ 100% ภายในปี 2030 พร้อมทั้งขยายไปสู่การลดการปล่อยตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Scope 3) ลง 42%

ด้านทรัพยากรธรรมชาติ (Nature) มุ่งส่งเสริม เกษตรกรรมฟื้นฟู (Regenerative Agriculture) ในพื้นที่ 1 ล้านเฮกตาร์ (6 ล้านไร่) ทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่การเพิ่มผลผลิต แต่คือการดูแลคุณภาพดิน การจัดการน้ำ และคุณภาพชีวิตของเกษตรกร พร้อมคำมั่นสัญญาว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า (Zero Deforestation)

ด้านพลาสติก (Plastic) ​ปัจจุบันบรรจุภัณฑ์พลาสติกของบริษัทกว่า 57% เข้าสู่ระบบที่สามารถใช้ซ้ำ, รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ แล้ว และตั้งเป้าให้ครบ 100% พร้อมลดการใช้พลาสติกผลิตใหม่ (Virgin Plastic) ลง 40% ภายในปี 2028

ด้านคุณภาพชีวิต (Livelihood) มุ่งสร้างความเป็นธรรมในห่วงโซ่ธุรกิจ โดยดูแลให้คู่ค้าจ่ายค่าแรงที่เป็นธรรม และสนับสนุนเกษตรกรรายย่อยกว่า 250,000 คน รวมถึงผู้ประกอบการ SME ทั่วโลก

นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย ‘คน’ และ ‘Ecosystem’ อัจฉริยะ

อภิพร เน้นย้ำว่าเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการสร้างนวัตกรรมคือ บุคลากร Unilever ลงทุนมหาศาลกับทีมนักวิจัยกว่า 5,000 คนทั่วโลก และถือครองสิทธิบัตรกว่า 20,000 ฉบับ แต่หัวใจสำคัญไม่ได้อยู่ที่ขนาด แต่อยู่ที่กลยุทธ์การสร้าง “Ecosystem” หรือระบบนิเวศแห่งความร่วมมือ

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือศูนย์วิจัย Hive Center ที่เมืองวาเกนิงเกน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “Silicon Valley แห่งวงการอาหาร” ที่นี่ Unilever ไม่ได้สร้างกำแพง แต่สร้างพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเปิด (Co-working space) ที่ไม่มีแม้กระทั่งห้องผู้บริหาร เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างทีมงาน Startup, SME, นักศึกษา และคู่ค้า จนได้รับรางวัลการออกแบบอาคารที่ยั่งยืนระดับโลก (BREEAM Award) ถึง 3 ปีซ้อน

ขณะเดียวกัน เพื่อให้เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง Unilever ได้จัดตั้ง “ศูนย์ออกแบบระดับภูมิภาค” (Regional Design Center) อีก 12 แห่งทั่วโลก รวมถึงที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบังในประเทศไทย เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์คนในท้องถิ่นโดยเฉพาะ ซึ่งอภิพรเองเป็นผู้อำนวยการคนไทยคนแรกของศูนย์แห่งนี้

ถอดรหัสความท้าทายที่ใหญ่ที่สุด: ‘ใจผู้บริโภค

แม้จะมีเป้าหมายและเครื่องมือที่พร้อม แต่อภิพรยอมรับว่าความท้าทายสูงสุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคที่หยั่งรากลึก ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมที่สำคัญ

  • จากเนื้อสัตว์สู่ Plant-based: ทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์จากพืชมีรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ “อร่อย” ถูกใจ จนผู้บริโภคยอมเปิดใจและเปลี่ยนพฤติกรรม เพราะไม่ว่าจะเพื่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อม สุดท้ายแล้ว “ความอร่อย” คือปัจจัยตัดสิน
  • สมรภูมิลดหวาน ลดเค็ม: เป็นเรื่องยากที่สุด เพราะ “รสหวาน” คือรสชาติแรกที่มนุษย์คุ้นเคยจากแลคโตสในนมแม่ ทำให้การลดน้ำตาลไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในวันเดียว เช่น การปรับสูตรชาลิปตันต้องใช้เวลาวางแผนยาวนานถึง 3-5 ปี เพื่อค่อย ๆ ปรับการรับรสของผู้บริโภค
  • วัฒนธรรมและบรรจุภัณฑ์: พฤติกรรมการใช้บรรจุภัณฑ์ซองเล็ก (Sachet) ในบางประเทศเกิดจากข้อจำกัดด้านงบประมาณและความเคยชิน ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งนวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์และโมเดลธุรกิจเข้ามาแก้ไข

CP Group: นวัตกรรมคือ “Game Changer” สู่โลกในฝัน

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์ เริ่มต้นด้วยการฉายภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลว่า โลกกำลังเดินไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ของสหประชาชาติช้าเกินไป ด้วยความคืบหน้าเพียง 18% แต่มีเวลาเหลืออีกไม่ถึง 10 ปีที่จะต้องไปให้ถึง 100% การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ หรือการใช้ชีวิตแบบเดิมจึงไม่สามารถพาเราไปถึงเป้าหมายได้

ดร.ธีระพล ย้ำว่า ปัญหาของโลกนั้นใหญ่และใกล้ตัวกว่าที่คิด ทั้งที่เรามีเทคโนโลยีการเกษตรที่ก้าวหน้า แต่กลับมีผู้คนกว่า 700-800 ล้านคนทั่วโลกที่ยังคงหิวโหย ในขณะเดียวกัน อาหาร 1 ใน 3 ที่ผลิตได้กลับถูกทิ้งให้กลายเป็นขยะ ซึ่งมีปริมาณมหาศาลกว่า 1 พันล้านตันต่อปี เปรียบได้กับภาพของ “รถสิบล้อบรรทุกขยะอาหารถึง 1 พันล้านคัน”

ที่น่าตกตะลึงยิ่งไปกว่านั้น โลกยังเผชิญวิกฤติทรัพยากรที่รุนแรง ทั้งปริมาณน้ำจืดที่ใช้ได้จริงซึ่งมีเพียง 2.5% และภัยเงียบจากไมโครพลาสติกที่ปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารจนย้อนกลับมาสู่จานของเราทุกคนแล้ว ด้วยภาพของวิกฤติที่ซ้อนทับกันนี้เอง “เทคโนโลยีและนวัตกรรม” โดยเฉพาะ AI จึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็น “Game Changer” ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการถมช่องว่างมหาศาลนี้

AI และเทคโนโลยี: พรวิเศษที่ต้องใช้อย่างเข้าใจ

ดร.ธีระพล มองว่า AI คือเทคโนโลยีที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด แต่ก็เป็นดาบสองคมที่อาจสร้างความเหลื่อมล้ำให้ถ่างกว้างขึ้น ระหว่าง “คนที่ปรับตัวได้ก็จะพุ่งทะยานเหมือนจรวด” และ “คนปรับตัวไม่ได้ก็จะถูกทิ้งห่างไปเรื่อย ๆ”

เครือซีพีจึงนำ AI และเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในระดับปฏิบัติการจริง เพื่อสร้างประโยชน์ในวงกว้าง คือ

  • Smart Farming: เปลี่ยนภาพเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมไปโดยสิ้นเชิง ด้วยเครื่องจักรที่ทำงานได้ 24 ชั่วโมง และโดรนที่สามารถบินไปพ่นยาฆ่าแมลงหรือปุ๋ย “เฉพาะจุด” ที่มีปัญหา ไม่ใช่การโปรยแบบเหวี่ยงแห ทำให้ลดการใช้สารเคมีและเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด บทบาทของเกษตรกรจะเปลี่ยนไปเป็น “นักวิทยาศาสตร์ นักนวัตกรรม และช่างเทคนิค”
  • Telemedicine: แอปพลิเคชัน “หมอดี” คือตัวอย่างของการใช้ AI เพื่อการดูแลสุขภาพเชิงรุก โดยใช้ข้อมูลสุขภาพ (Health Data) ของแต่ละบุคคลมาวิเคราะห์ เพื่อแนะนำโภชนาการหรือวิตามินที่เหมาะสม “ก่อนที่จะป่วย”
  • Smart Energy: นำเทคโนโลยีเข้ามาบริหารจัดการการใช้พลังงานในโรงงานและอาคารอย่างชาญฉลาด เช่น การหรี่ไฟอัตโนมัติเมื่อไม่ใช้งาน เพื่อลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ความยั่งยืนที่รากฐาน: จากความมั่นคงทางอาหารสู่ความรู้ทางการเงิน

นอกเหนือจากเทคโนโลยีล้ำสมัย ดร.ธีระพลได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นพื้นฐานที่มักถูกมองข้าม นั่นคือ ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืนในระดับบุคคล โดยได้ยกตัวอย่างที่น่าตกใจว่า “เกษตรกรไทยที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง มีรายได้สุทธิต่อวันเพียง 56-167 บาท” ซึ่งไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพ

ดังนั้น การสร้างความมั่นคงให้แก่เกษตรกรและคนในสังคม จึงไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีการผลิต แต่ต้องรวมถึงการสร้างความรู้ทางการเงิน เพื่อให้ทุกคนสามารถบริหารจัดการชีวิตและหลุดพ้นจากความยากจนได้อย่างยั่งยืน

บ้านแห่งความยั่งยืนและ 3 เป้าหมายใหญ่

ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์
ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ ประธานคณะผู้บริหารด้านความยั่งยืนองค์กรและการพัฒนากลยุทธ์ เครือเจริญโภคภัณฑ์

วิสัยทัศน์ทั้งหมดถูกรวบรวมอยู่ในกรอบการทำงานที่เรียกว่า “บ้านแห่งความยั่งยืน” ของเครือซีพี ซึ่งครอบคลุม 3 มิติคือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมี 3 เป้าหมายใหญ่ที่เครือฯ กำลังมุ่งมั่นขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมคือ

  • Carbon Neutral 2030 และ Net Zero 2050: เร่งติดตั้งโซลาร์เซลล์ วางแผนเปลี่ยนยานพาหนะในห่วงโซ่ธุรกิจเป็นรถ EV และลงทุนในเทคโนโลยีชีวภาพอย่างไบโอแก๊สและไบโอแมส
  • Zero Waste to Landfill 2030: ตั้งเป้าลดขยะสู่หลุมฝังกลบให้เป็นศูนย์ โดยให้ความสำคัญกับ ขยะอาหาร ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) และเตรียมรับมือกับ แบตเตอรี่รถ EV ที่จะเป็นขยะในอนาคต พร้อมทั้งเตรียมพร้อมรับมือกับกลไกตลาดใหม่ ๆ อย่าง ภาษีพลาสติก
  • สร้างการเข้าถึงการศึกษาคุณภาพให้คน 50 ล้านคน: เพราะเชื่อมั่นว่าการศึกษาคือรากฐานของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงและยั่งยืนที่สุด

สำหรับ CP Group นวัตกรรมไม่ใช่เพียงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ แต่เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาระดับโครงสร้างของโลก เพื่อขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความยั่งยืนที่ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างแท้จริง

วิกฤติคือโอกาส เราต้องไปด้วยกัน

สาระสำคัญที่ตกผลึกจากทั้งสององค์กรคือ โลกใบเก่าได้ตายไปแล้ว การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ไม่สามารถอยู่รอดได้อีกต่อไป และนี่คือแนวทางสู่การลงมือทำจริง

Partnership คือหัวใจ ไม่มีใครสามารถแก้ปัญหาใหญ่ระดับโลกได้เพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็น Unilever ที่สร้าง Ecosystem หรือ CP Group ที่ย้ำเรื่อง Partnership for the Goal (SDG 17) ทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคม ต้องร่วมมือกัน

โอบกอดเทคโนโลยี มอง AI และนวัตกรรมเป็น “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “คู่แข่ง” ดร.ธีระพล เปรียบเทียบว่า การกลัว AI ในวันนี้ไม่ต่างจากการกลัวอินเทอร์เน็ตเมื่อ 20 ปีก่อน คนที่ไม่ปรับตัวจะถูกทิ้งห่างอย่างแน่นอน

วิกฤติคือโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด: ปัญหาความยั่งยืนของโลกที่ดูเหมือนจะใหญ่เกินแก้ คือ Pain Point ที่รอคอยนักธุรกิจและคนรุ่นใหม่เข้ามาเสนอทางออก (Solution) นี่คือโอกาสทางธุรกิจมหาศาลที่จะสร้างโลกให้ดีขึ้น พร้อมกับสร้างธุรกิจให้เติบโตและยั่งยืนไปพร้อมกัน

อนาคตที่ยั่งยืนไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นสิ่งที่สร้างได้ด้วย “นวัตกรรม” ที่ขับเคลื่อนจากการ “ร่วมมือกัน” โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

วงเสวนาชำแหละ ‘วิกฤติสื่อไทย’ เมื่อความน่าเชื่อถือขายไม่ได้ และนโยบายรัฐอุ้มไม่เป็น

AIS และ PJ Wood กับการขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลด้วย SAP และ AI ก้าวสู่ ‘องค์กรอัจฉริยะ’

×

Share

ผู้เขียน