ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์โลกร้อนอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง และอุณหภูมิเฉลี่ยได้ทะลุขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “เราจะทำอะไรได้บ้าง” แต่คือ “เราจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือในการต่อสู้” คำตอบที่ชัดเจนที่สุดในยุคนี้คือ ‘เทคโนโลยี’ ซึ่งได้ก้าวจากการเป็นเพียงแนวคิดแห่งอนาคต มาสู่การเป็นอาวุธสำคัญที่ถูกใช้งานจริงในภารกิจลดโลกร้อนทั่วโลก
เกียรติชัย รังษีธรรม หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยี ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป กล่าวในงาน Global Compact Network Thailand (GCNT) 2025 ว่า บทบาทของเทคโนโลยีกับภารกิจลดโลกร้อนทั่วโลกมี 3 ด้านหลัก ตั้งแต่การวัดผลและวางแผน การเพิ่มประสิทธิภาพอัตโนมัติ ไปจนถึงการสร้างนวัตกรรมเพื่ออนาคต
ขั้นที่ 1: วัดผลและทำความเข้าใจปัญหาด้วย IoT และ Big Data
หลักการพื้นฐานของการแก้ปัญหาคือ “เราไม่สามารถจัดการสิ่งที่เราวัดผลไม่ได้” ในอดีต องค์กรต่าง ๆ อาจเห็นเพียงตัวเลขค่าไฟฟ้าในภาพรวมรายเดือน ซึ่งไม่สามารถบอกได้เลยว่าพลังงานถูกใช้ไปอย่างสิ้นเปลืองที่จุดไหนและเมื่อไหร่ แต่เทคโนโลยี IoT (Internet of Things) และ Big Data ได้เข้ามาทลายข้อจำกัดนี้โดยสิ้นเชิง
IoT ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ระบบประสาทดิจิทัล” ที่ฝังตัวอยู่ทั่วทั้งองค์กร ผ่านการติดตั้งเซ็นเซอร์อัจฉริยะบนอุปกรณ์ทุกชิ้น ตั้งแต่เครื่องปรับอากาศ ระบบแสงสว่าง ไปจนถึงเครื่องจักรในสายการผลิต เซ็นเซอร์เหล่านี้จะเก็บข้อมูลการทำงานและการใช้พลังงานอย่างละเอียดในระดับวินาที แล้วส่งข้อมูลมหาศาลนั้นขึ้นสู่ระบบกลางแบบเรียลไทม์
ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามานี้ จะถูกจัดเก็บและประมวลผลบนแพลตฟอร์ม Big Data ซึ่งมีความสามารถในการจัดการกับข้อมูลที่ซับซ้อนและมีปริมาณมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อค้นหารูปแบบหรือความผิดปกติที่ซ่อนอยู่ เช่น การค้นพบว่าเครื่องปรับอากาศในห้องประชุมยังคงทำงานเต็มกำลังแม้ไม่มีคนอยู่ หรือตู้แช่ในสาขาหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าอีกสาขาหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความจำเป็นในการบำรุงรักษา
ตัวอย่างที่ชัดเจน คือการนำไปใช้ในภาคธุรกิจผ่านแพลตฟอร์ม Smart Energy Platform ของทรู ดิจิทัล ซึ่งองค์กรไทย เช่น Makro และ Lotus’s ได้นำไปใช้งานแล้ว จากเดิมที่เห็นเพียงบิลค่าไฟรวม ปัจจุบันพวกเขาสามารถมองเห็นการใช้พลังงานของอุปกรณ์แต่ละชิ้นในแต่ละสาขาได้ทันที ทำให้สามารถระบุและแก้ไขปัญหาการใช้พลังงานสิ้นเปลืองได้อย่างตรงจุด
ในทำนองเดียวกัน บริษัทระดับโลกอย่าง Reckitt ได้ยกระดับการใช้ Big Data ไปอีกขั้น จากเดิมที่เคยวิเคราะห์ข้อมูลผลิตภัณฑ์ได้เพียงระดับกลุ่มสินค้า (ประมาณ 300 กลุ่ม) พวกเขาได้เปลี่ยนมาวิเคราะห์ลงลึกถึงระดับ SKU หรือสินค้าแต่ละชิ้นที่มีมากกว่า 25,000 รายการ ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างละเอียดและแม่นยำ เช่น สามารถเปรียบเทียบได้ว่ายาอม Strepsils “เม็ดสีฟ้า” กับ “เม็ดสีชมพู” นั้น แบบไหนใช้พลังงานในการผลิตและปล่อยคาร์บอนมากกว่ากัน การมีข้อมูลที่ละเอียดถึงระดับนี้ช่วยให้สามารถตัดสินใจปรับปรุงสูตรหรือกระบวนการผลิตเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อน
ขั้นที่ 2: เพิ่มประสิทธิภาพและตัดสินใจอัตโนมัติด้วย AI
หาก IoT และ Big Data คือการ “มองเห็น” ปัญหาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็คือสมองอัจฉริยะที่เข้ามาลงมือแก้ปัญหานั้นอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นอัตโนมัติ AI มีความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อนมหาศาล เพื่อเรียนรู้ คาดการณ์ และค้นหารูปแบบการทำงานที่เหมาะสมที่สุด (Optimization) ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินกว่าความสามารถของมนุษย์จะทำได้แบบเรียลไทม์
AI ไม่ได้ทำงานตามกฎที่ตั้งไว้อย่างตายตัว แต่สามารถเรียนรู้และปรับตัวได้ด้วยตัวเอง เช่น ในแพลตฟอร์ม Smart Energy Platform นั้น AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้พลังงานของอาคารแต่ละแห่ง เช่น คาดการณ์ได้ว่าในช่วงบ่ายของวันพรุ่งนี้ที่มีพยากรณ์อากาศร้อนจัดจะต้องใช้พลังงานทำความเย็นเท่าไหร่ จากนั้น AI จะตัดสินใจสั่งการควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยอัตโนมัติ เช่น การหรี่ไฟในพื้นที่ที่ไม่มีคนใช้งาน หรือการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมที่สุดในแต่ละช่วงเวลา
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อมีการติดตั้งแหล่งพลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์เข้ามาในระบบ AI จะทำหน้าที่เป็นผู้จัดการพลังงานอัจฉริยะ มันสามารถเรียนรู้และตัดสินใจได้ว่าเวลาไหนควรดึงพลังงานสะอาดมาใช้งานเพื่อทดแทนพลังงานจากกริดหลัก เวลาไหนควรนำพลังงานไปเก็บในแบตเตอรี่ หรือแม้กระทั่งเวลาไหนที่ควรจะขายพลังงานส่วนเกินกลับคืนสู่ภาครัฐ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
ในภาคส่วนโลจิสติกส์ บริษัทอย่าง DHL ใช้ AI ในการวางแผนเส้นทางที่ซับซ้อน การตัดสินใจของ AI ไม่ได้มองแค่ “ระยะทางที่สั้นที่สุด” แต่วิเคราะห์ปัจจัยนับร้อยอย่างพร้อมกัน ทั้งสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ ประเภทและอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถยนต์ น้ำหนักของสินค้า ไปจนถึงสภาพอากาศ เพื่อเลือกเส้นทางที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยที่สุด แม้ว่าเส้นทางนั้นอาจจะมีระยะทางไกลกว่าเล็กน้อยก็ตาม การปรับปรุงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในทุกการเดินทาง เมื่อรวมกันแล้วจะนำไปสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมหาศาล
ขั้นที่ 3: สร้างนวัตกรรมและวัสดุทดแทนด้วย Advanced AI
นอกจากการปรับปรุงสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว การก้าวกระโดดเพื่อออกจากวิกฤติโลกร้อนจำเป็นต้องอาศัย นวัตกรรมที่จะมาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการผลิตและบริโภคอย่างสิ้นเชิง Advanced AI และ เทคโนโลยีการจำลองสถานการณ์ (Simulation) ได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเร่งการค้นพบและทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ ในโลกเสมือนจริง ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากรได้อย่างมหาศาล
Microsoft คือตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวทางนี้ผ่านแพลตฟอร์ม Matter Gen และ Matter Sim ซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์วัสดุ
Matter Gen ทำหน้าที่เป็น “นักเคมี AI” ที่ผู้ใช้งานสามารถสนทนาหรือป้อนคำสั่งเพื่อให้ออกแบบโครงสร้างโมเลกุลของวัสดุใหม่ ๆ ที่มีคุณสมบัติตามต้องการได้ เช่น การสร้างวัสดุที่สามารถกักเก็บไฟฟ้าได้มากขึ้นสำหรับแบตเตอรี่ยุคถัดไป หรือการออกแบบพอลิเมอร์ที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพเพื่อใช้ทดแทนพลาสติก
หลังจากที่ Matter Gen สร้างพิมพ์เขียวของโมเลกุลขึ้นมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์จะนำโครงสร้างนั้นไปทดสอบในห้องทดลองเสมือนจริงของ MatterSim เพื่อจำลองคุณสมบัติทางกายภาพและทางเคมีของมัน เช่น ความแข็งแรง การนำไฟฟ้า หรือความเป็นพิษ กระบวนการนี้ช่วยคัดกรองแนวคิดนับพันให้เหลือเพียงตัวเลือกที่ดีที่สุด เพื่อนำไปสังเคราะห์และทดลองในโลกแห่งความเป็นจริงต่อไป ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการวิจัยที่เคยใช้เวลาหลายปีให้สั้นลงอย่างก้าวกระโดด
ในขณะเดียวกัน โครงการ Cooling Singapore ได้นำเทคโนโลยี Digital Twin มาใช้สร้างแบบจำลองดิจิทัลของสิงคโปร์ทั้งเมือง โดยใส่ข้อมูลแบบไดนามิกเข้าไป ทั้งสภาพภูมิอากาศ รูปแบบการจราจร การใช้พลังงานของตึกต่าง ๆ และการเคลื่อนที่ของประชากร ทำให้มันกลายเป็น “เมืองเสมือนจริงที่มีชีวิต”
นักวางผังเมืองและนักวิจัยสามารถใช้โมเดลนี้เพื่อทดลองและตอบคำถามสำคัญได้ เช่น “หากเราเปลี่ยนลานจอดรถผืนนี้ให้เป็นสวนสาธารณะ จะส่งผลให้อุณหภูมิโดยรอบลดลงกี่องศา?” หรือ “การกำหนดให้ทุกอาคารใหม่ต้องใช้หลังคาสีอ่อนจะช่วยลดการใช้พลังงานของทั้งเมืองได้มากน้อยเพียงใด?” การจำลองสถานการณ์เหล่านี้ช่วยให้การตัดสินใจวางผังเมืองเพื่อความยั่งยืนตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่แม่นยำ
เทคโนโลยีคือความหวังแต่การลงมือทำคือทางรอด
เส้นทางการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีนั้น สามารถสรุปได้เป็น 3 ขั้นตอนที่ชัดเจน คือ 1) การมองเห็นปัญหา อย่างละเอียดผ่าน IoT และ Big Data 2) การปรับปรุงประสิทธิภาพ อย่างชาญฉลาดด้วย AI และ 3) การปฏิวัติสู่สิ่งใหม่ด้วย Advanced AI และการจำลองสถานการณ์
เทคโนโลยีเหล่านี้ได้มอบความหวังและแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่เป็นไปได้จริงในการแก้ไขวิกฤติ
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความหวังนี้ เราต้องไม่ลืมความจริงอันน่ากังวลว่าโลกได้ร้อนเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียสไปแล้ว และกำลังมุ่งหน้าสู่ “จุดที่ไม่หวนกลับ” ที่ 3 องศาเซลเซียส ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงจนไม่อาจแก้ไขได้ เทคโนโลยีที่เปรียบเสมือนเครื่องมือและอาวุธอันทรงประสิทธิภาพ จะกลายเป็นสิ่งไร้ความหมายหากไม่มีผู้ใช้งาน
ดังนั้น ช่องว่างที่เหลืออยู่ระหว่างความหวังกับความรอด จึงอยู่ที่การลงมือทำอย่างเร่งด่วนและในทุกระดับ ตั้งแต่ ระดับบุคคล เริ่มต้นจากการตระหนักรู้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น การประหยัดพลังงานในบ้าน การเลือกใช้สินค้าและบริการจากบริษัทที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
ระดับองค์กร ต้องมองว่าการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืนไม่ใช่ “ต้นทุน” แต่คือ “หัวใจ” ของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว การปรับใช้แพลตฟอร์มจัดการพลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทาน และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
และระดับนโยบาย ภาครัฐจำเป็นต้องสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวย ทั้งการออกมาตรการสนับสนุนองค์กรที่ปรับตัว การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว และการส่งเสริมการวิจัยในเทคโนโลยีอนาคตอย่างจริงจัง เช่น พลังงานไฮโดรเจนสีเขียว หรือคอมพิวเตอร์ควอนตัมสำหรับการสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศ
“เทคโนโลยีได้มอบแผนที่และเข็มทิศให้เราแล้ว แต่การจะออกเดินทางไปสู่จุดหมายแห่งความยั่งยืนเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและลงมือทำของพวกเราทุกคนในวันนี้ ก่อนที่เวลาจะหมดลง”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
วงเสวนาชำแหละ ‘วิกฤติสื่อไทย’ เมื่อความน่าเชื่อถือขายไม่ได้ และนโยบายรัฐอุ้มไม่เป็น
จากห้องเก็บของ สู่บริษัทมหาชน: เรื่องราว 25 ปี ReadyPlanet