ในเวที Bangkok Post Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ “Connecting Thailand’s Future: Digital Foundations for Growth” ซิกเว่ เบรกเก้ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ได้ให้มุมมองต่ออนาคตของเศรษฐกิจโลกที่กำลังถูกขับเคลื่อนด้วยความเร็วแบบทวีคูณ พร้อมชี้ว่าโลกได้กลายเป็น “สนามแข่งเทคโนโลยีระดับโลก” (Global Tech Racetrack) ซึ่ง AI คือสมการสำคัญที่จะตัดสินผู้ชนะในสมรภูมินี้
ซิกเว่เริ่มต้นด้วยการเปรียบเทียบความเร็วของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากยุคโทรศัพท์มือถือเครื่องแรก สู่สมาร์ทโฟนที่ใช้เวลาถึง 30 ปี และการที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นกระแสหลักใน 13 ปี แต่สำหรับ Generative AI กลับใช้เวลาเพียง 5 ปีในการเข้าสู่กระแสหลัก โดย ChatGPT มีผู้ใช้งานถึง 100 ล้านคนในเวลาเพียง 2 เดือนเท่านั้น ปรากฏการณ์นี้สะท้อนว่าการเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นเส้นตรงอีกต่อไป แต่เป็นแบบทวีคูณที่ทุกอย่างรวดเร็วและเชื่อมถึงกันมากขึ้น
3 พลังขับเคลื่อนพลิกโลกด้วย AI
พลังมหาศาลของ AI ในปัจจุบันเกิดจากการผสมผสานของ 3 พลังขับเคลื่อนสำคัญ
ประการแรก คือ การเชื่อมต่อความเร็วสูง (Connectivity) โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมอย่าง 5G ที่เป็นรากฐานให้ AI ทำงานได้ในระดับมหภาค เครือข่ายเหล่านี้ทำให้การส่งข้อมูลเป็นไปได้แบบเรียลไทม์ และทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ เชื่อมต่อกันได้อย่างราบรื่น
พลังที่สอง คือ การสร้างข้อมูลปริมาณมหาศาล (Massive Data Generation) ทุกวันนี้วัตถุรอบตัวเรา ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์สวมใส่ รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ล้วนมีเซ็นเซอร์ติดตั้งอยู่ สิ่งนี้ทำให้เกิดการระเบิดของข้อมูล ตั้งแต่ระดับบุคคลไปจนถึงข้อมูลของทั้งเมือง
และพลังสุดท้าย คือ เทคโนโลยี AI ที่ถูกสร้างขึ้นบนข้อมูลเหล่านั้น (AI Built on Top of Data) อัลกอริทึมและโมเดลที่ล้ำสมัยสามารถวิเคราะห์และเรียนรู้จากข้อมูลมหาศาลที่เกิดขึ้นแบบเรียลไทม์ได้ เมื่อนำ AI มาวางซ้อนทับบนระบบนิเวศของข้อมูลนี้ จะเป็นการปลดล็อกระบบอัตโนมัติและข้อมูลเชิงลึกที่ทรงพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อโลกเปลี่ยนเร็ว: ความท้าทายใหม่ที่ธุรกิจและรัฐต้องเผชิญ
การมาถึงของ AI ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงข้อมูลและความรู้ได้อย่างเท่าเทียม แต่ยังมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ (Disruption) ที่รุนแรงและรวดเร็วกว่าในอดีต ในฝั่งธุรกิจ โมเดลธุรกิจใหม่ ๆ กำลังเข้ามาท้าทายรูปแบบเดิม และบริษัทที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็จะหมดความสำคัญลง ซึ่งซิกเว่เชื่อว่าบริษัทชั้นนำในปัจจุบันอาจไม่มีตัวตนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ในขณะเดียวกันภาครัฐก็กำลังถูกท้าทายเช่นกัน โดยบริษัทเอกชนได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในบริการที่เคยเป็นของภาครัฐโดยเฉพาะ ทำให้หน่วยงานและบริการสาธารณะต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
นอกจากนี้ โลกยังเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่ากังวล ไม่ใช่แค่จากอาชญากร แต่มาจากระดับรัฐชาติ การโจมตีทางไซเบอร์ที่ประสบความสำเร็จเพียงครั้งเดียวอาจรุนแรงถึงขั้นทำให้ระบบไฟฟ้า ธนาคาร หรือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศล่มสลายได้
ในมิติภูมิรัฐศาสตร์ การแข่งขันทางเทคโนโลยีได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศต่าง ๆ เช่น จีน สหรัฐฯ และซาอุดีอาระเบีย ต่างทุ่มลงทุนมหาศาลใน AI เพื่อสร้างอำนาจและอิทธิพลในเวทีโลก ข้อมูลยังถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างอิทธิพลต่อเหตุการณ์สำคัญทางการเมือง เช่น Brexit และการเลือกตั้งประธานาธิบดีทรัมป์
4 เสาหลักเพื่อชัยชนะของประเทศไทย
ซิกเว่ได้เสนอ 4 เสาหลักสำคัญ ที่ประเทศไทยต้องสร้างให้แข็งแกร่งเพื่อเอาชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ประกอบด้วย
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) : ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบที่สำคัญคือโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคมที่แข็งแกร่ง ทั้งไฟเบอร์ 5G และความครอบคลุมของสัญญาณ ซึ่งถือว่าดีกว่าหลายประเทศเพื่อนบ้าน
- ข้อมูลคุณภาพสูง (High-Quality Data) : ข้อมูลเป็นหัวใจสำคัญที่จะปลดล็อกประสิทธิภาพในหลายภาคส่วน เช่น สาธารณสุข และโลจิสติกส์ แต่ข้อมูลนั้นจะต้องถูกจัดเก็บอย่างมีโครงสร้าง (structured) ถูกรวมศูนย์ให้เป็นหนึ่งเดียว (unified) และพร้อมนำไปใช้งานได้ (usable)
- บุคลากร (Talent) : ‘สงครามแย่งชิงบุคลากร’ (War for talent) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง การสร้างบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI จึงเป็นเรื่องเร่งด่วน ซิกเว่ยกตัวอย่างทรู คอร์ปอเรชั่น ที่ฝึกอบรมพนักงานให้มีความรู้พื้นฐานด้าน AI ไปแล้ว 55% และตั้งเป้าให้ครบ 100% พร้อมเสนอว่าการศึกษาด้าน AI ควรเริ่มต้นสอนตั้งแต่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
- นโยบาย AI และระบบนิเวศสตาร์ตอัพ (AI Policy & Startup Ecosystem) : ประเทศไทยจำเป็นต้องมีนโยบายด้าน AI ที่ชัดเจนและจริงจัง เช่น การแต่งตั้งรัฐมนตรี AI และการกำหนดนโยบายความเป็นส่วนตัวและอธิปไตยทางข้อมูล (data sovereignty) ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่ยังตามหลังเวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์อยู่ โดยต้องอาศัยมาตรการจูงใจทางภาษี นโยบายที่เอื้อต่อสตาร์ตอัพ และการสนับสนุนด้านการลงทุน
‘ความไว้วางใจ’ รากฐานที่ขาดไม่ได้ในยุค AI
ซิกเว่เน้นย้ำว่าหัวใจสำคัญที่สุดที่จะทำให้การนำ AI มาใช้เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนประเทศได้สำเร็จคือ ‘ความไว้วางใจ’ (Trust) ซึ่งเป็นรากฐานสำหรับทั้งภาคธุรกิจและสังคม ปัจจุบันผู้คนตระหนักรู้มากขึ้นว่าข้อมูลของพวกเขาถูกนำไปใช้อย่างไร แม้กฎหมายคุ้มครองความเป็นส่วนตัวจะมีความสำคัญแต่ก็ยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างนโยบาย AI ระดับชาติที่ชัดเจนพร้อมกรอบธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง และต้องรับประกันว่าการพัฒนา AI นั้นเป็นไปอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส และครอบคลุมทุกคน
ที่ทรู คอร์ปอเรชั่น ความพยายามทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การสร้าง ‘AI ที่มีความรับผิดชอบ’ (Responsible AI) โดยมีการพัฒนา Use Case มากกว่า 62 กรณี ซึ่งทั้งหมดถูกกำกับดูแลด้วยแนวทางที่เข้มงวด หลักการสำคัญคือต้องมีการกำกับดูแลโดยมนุษย์ (Human oversight) เพื่อให้แน่ใจว่า AI จะไม่เลือกปฏิบัติ และเคารพในคุณค่าสากลอย่างความเป็นธรรม ความหลากหลาย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
แนวทางปฏิบัติของทรูประกอบด้วย:
- ความโปร่งใส (Transparency) : ทรูจะแจ้งให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจนเมื่อพวกเขากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับ AI เช่น ผ่าน ‘มาริ-AI แชทบอท’
- การเคารพสิทธิมนุษยชน (Respect for Human Rights) : ข้อมูลทั้งหมดที่นำมาใช้จะถูกทำให้เป็นนิรนาม (anonymized) และปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด ในกรณีที่ละเอียดอ่อนอย่างการตรวจจับการทุจริต จะมีเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์คอยตรวจสอบกระบวนการเพื่อให้เกิดความแม่นยำและเป็นธรรม
- ความเป็นธรรมและการไม่แบ่งแยก (Fairness and Inclusion) : เครื่องมือ AI จะถูกทดสอบกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายเพื่อให้แน่ใจว่าการให้คำแนะนำนั้นไม่เป็นการเลือกปฏิบัติและมีความแม่นยำ ตัวอย่างเช่น การแนะนำแพ็กเกจส่วนบุคคลจะอิงตามพฤติกรรมการใช้งานจริงของลูกค้า ไม่ใช่จากระดับรายได้
- การออกแบบที่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centered Design) : AI ของทรูถูกสร้างให้มีความสุภาพ มีวิจารณญาณ และมีจริยธรรม ที่สำคัญ AI ถูกออกแบบมาให้ไม่มีวันทำอันตรายต่อลูกค้า, ไม่กระทำการใดๆ โดยขาดความโปร่งใส, และไม่ให้คำตอบโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนประกอบ นอกจากนี้ AI ยังถูกปรับให้เข้ากับวัฒนธรรมไทย (localized) เช่น การใช้โทนเสียงที่สุภาพ และการเข้าใจบริบททางสังคม
บทสรุปถึงผู้นำ กล้าตัดสินใจ ปรับตัว และรวมใจให้เป็นหนึ่ง
ซิกเว่ปิดท้ายด้วยการเน้นย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนของ ‘ภาวะผู้นำที่พร้อมรับมือ’ (Leadership Preparedness) ซึ่งต้องตัดสินใจได้เร็วและเด็ดขาดกว่าเดิม ท่ามกลางโลกที่ไม่แน่นอน
เขาได้เสนอคุณสมบัติของ ‘ผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง’ (Transformational Leadership) ผ่านกรอบแนวคิด ‘3A’ ดังนี้:
- Act Bold (กล้าตัดสินใจ) : ผู้นำต้องนำด้วยวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ชัดเจน ในยุคที่ข้อมูลเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ผู้นำไม่สามารถรอจนได้ข้อมูลที่สมบูรณ์แบบ แต่ต้องกล้าตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ และต้องเปิดใจยอมรับการทดลองและกล้ารับความเสี่ยงที่ผ่านการคำนวณมาแล้ว
- พร้อมปรับตัว (Be Adaptive) : คุณสมบัติที่สำคัญคือการเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และเปิดรับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ในทุกๆ วัน
- รวมใจให้เป็นหนึ่ง (Align as One) : ภาวะผู้นำในปัจจุบันไม่ได้วัดกันที่สติปัญญาเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือความสามารถในการเชื่อมต่อกับผู้คนในระดับอารมณ์ สร้างความไว้วางใจ และนำทีมด้วยหัวใจ ผู้นำที่ยอดเยี่ยมจะโอบรับความหลากหลาย รับฟังอย่างลึกซึ้ง และสร้างทีมที่แข็งแกร่งและพร้อมรับทุกสถานการณ์
บทสรุปจากการบรรยายครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมในเสาหลักทั้ง 4 โดยมี “ความไว้วางใจ” เป็นรากฐาน และขับเคลื่อนด้วย “ผู้นำ” ที่พร้อมรับมือ เพื่อนำพาประเทศไปสู่ชัยชนะในสนามแข่งเทคโนโลยีระดับโลกนี้ร่วมกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ถอดรหัสธุรกิจ SaaS ฉบับไทย: ‘ไผท ผดุงถิ่น’ กับวิวัฒนาการจากซอฟต์แวร์กล่องสู่โมเดลที่ยั่งยืน
จากห้องเก็บของ สู่บริษัทมหาชน: เรื่องราว 25 ปี ReadyPlanet