ในยุคที่ข้อมูลคือขุมทรัพย์ที่สำคัญที่สุด การเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้กลายเป็นภาพเดียวกัน คือหัวใจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน นี่คือสาระสำคัญที่สะท้อนออกมาจากงาน TUC 2025 (Thai GIS User Conference 2025) งานสัมมนาประจำปีครั้งที่ 29 ของบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเปรียบเสมือนงานรวมพลครั้งใหญ่ที่สุดของคอมมูนิตี้ผู้ใช้งานเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ (GIS) ในประเทศไทย โดยมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน
ภายใต้ธีมหลัก “GIS: Integrating Everything, Everywhere” แพร พันธุมวนิช President บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ The Story Thailand ว่า วันนี้ GIS ได้ก้าวข้ามบทบาทของการเป็นเพียง “เทคโนโลยีแผนที่” ไปสู่การเป็น “แพลตฟอร์มกลางสำหรับบูรณาการข้อมูล” (Single Platform) ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งและทุกคนเข้าไว้ด้วยกันผ่านมิติของตำแหน่งที่ตั้ง (Location)
Cloud และ AI: สองขุมพลังขับเคลื่อนการบูรณาการ
การจะเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้กลายเป็นจริงได้นั้นต้องอาศัยเทคโนโลยีที่เป็นแกนหลัก ซึ่ง อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) ได้ชูโรง Cloud และ AI ในฐานะสองเครื่องยนต์สำคัญที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
Cloud: ไม่ใช่แค่การย้ายที่เก็บข้อมูล แต่คือการทลายกำแพงการทำงาน
แพรเน้นย้ำว่า การนำ GIS ขึ้นสู่ระบบคลาวด์ไม่ใช่เพียงการเปลี่ยนที่เก็บข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวไปไว้บนเซิร์ฟเวอร์กลาง แต่เป็นการ “เปลี่ยนโครงสร้างการทำงานทั้งหมด” หัวใจสำคัญคือการเปิดประตูสู่การทำงานร่วมกัน (Collaboration) อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
Real-time Collaboration: ในอดีต ข้อมูลแผนที่มักถูกจำกัดอยู่ในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ทำให้เกิดปัญหาข้อมูลไม่ตรงกันและล่าช้า แต่เมื่อข้อมูลทั้งหมดอยู่บนคลาวด์ มันจะกลายเป็น “แผนที่ฉบับเดียวที่มีชีวิต” (Single Source of Truth) ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและแก้ไขได้พร้อมกันแบบเรียลไทม์ เช่น ทีมภาคสนามอัปเดตสถานการณ์น้ำท่วมเข้ามาในระบบ ผู้บริหารในห้องประชุมก็จะเห็นภาพเดียวกันทันที ทำให้การตัดสินใจและสั่งการเป็นไปอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
Data Sharing: คลาวด์ทำลายกำแพงข้อมูลระหว่างหน่วยงาน ทำให้องค์กรที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถแบ่งปันข้อมูลของตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมได้ เช่น กรมชลประทานแชร์ข้อมูลระดับน้ำ กรมอุตุฯ แชร์ข้อมูลพยากรณ์อากาศ เพื่อให้หน่วยงานท้องถิ่นนำไปใช้วางแผนป้องกันภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนในการทำงานและสร้างคุณค่าจากข้อมูลได้มหาศาล
User Type Model: รูปแบบการใช้งานซอฟต์แวร์ ArcGIS ถูกปรับเปลี่ยนให้ง่ายและยืดหยุ่นขึ้น จากเดิมที่ต้องซื้อเป็นแอปพลิเคชันเดี่ยวๆ กลายเป็นรูปแบบ “User Type” ที่จัดกลุ่มเครื่องมือตามบทบาทของผู้ใช้งาน เช่น “นักวิเคราะห์” จะได้เครื่องมือสำหรับประมวลผลขั้นสูง ในขณะที่ “ผู้บริหาร” จะได้แอปพลิเคชันสำหรับดู Dashboard สรุปผล ทำให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ตามความจำเป็น โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค
GeoAI: เปลี่ยนบทบาทมนุษย์จาก “ผู้สร้างแผนที่” สู่ “ผู้ตั้งโจทย์เชิงกลยุทธ์“

ปัญญาประดิษฐ์สำหรับงานด้านภูมิสารสนเทศ หรือ GeoAI คือเครื่องมือที่จะเข้ามาปฏิวัติกระบวนการทำงานแบบเดิม ๆ โดยมีความสามารถหลักในการ ค้นหาความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ (Pattern Recognition) และ การคาดการณ์อนาคต (Prediction)จากข้อมูลเชิงพื้นที่จำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็ว เช่น การให้ GeoAI วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมนับพันภาพย้อนหลัง 10 ปี เพื่อตรวจจับพื้นที่ป่าที่ลดลง หรือการวิเคราะห์ข้อมูลปริมาณน้ำฝนร่วมกับข้อมูลความลาดชันของพื้นที่เพื่อคาดการณ์จุดเสี่ยงดินถล่ม ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้เวลาและกำลังคนมหาศาลหากทำด้วยวิธีดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม แพรมองว่านี่ไม่ใช่การเข้ามาแทนที่มนุษย์ แต่เป็นการเปลี่ยนบทบาทและยกระดับคุณค่าของผู้เชี่ยวชาญด้าน GIS จากเดิมที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงานสร้างและประมวลผลข้อมูลแผนที่ (Map Making) ซึ่งเป็นงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ
บทบาทใหม่ของมนุษย์คือการเป็นผู้ตั้งโจทย์ที่เฉียบคมให้กับ AI โดยใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการกำหนดเป้าหมายและขอบเขตของปัญหา จากนั้นจึงทำหน้าที่เป็น “ผู้ควบคุม” และ “ผู้ตรวจสอบ” ความถูกต้องของผลลัพธ์ที่ได้จาก AI เพื่อตีความและเชื่อมโยงกับบริบทของโลกความจริง และท้ายที่สุดคือการเป็น “ผู้รับผิดชอบ” ต่อการนำข้อมูลนั้นไปใช้ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
คุณค่าของมนุษย์จะเปลี่ยนจากการทำงานซ้ำ ๆ ไปสู่การคิดเชิงวิเคราะห์ การตีความ และการตัดสินใจในภาพใหญ่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการ “Trusted AI” ของ Esri ที่เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใสและการให้มนุษย์เป็นศูนย์กลางในการควบคุมและรับผิดชอบเสมอ
บทพิสูจน์จากโลกจริง: เมื่อ GIS สร้างการเปลี่ยนแปลงที่จับต้องได้
แนวคิดการบูรณาการข้อมูลได้ถูกนำไปใช้งานจริงและสร้างผลกระทบในวงกว้างแล้วในหลากหลายมิติ ตั้งแต่การดำเนินธุรกิจไปจนถึงการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในภาวะวิกฤติ
ด้านธุรกิจ (Use Case : BIG C Digital Transformation): ในสมรภูมิค้าปลีกออนไลน์ที่การจัดส่งที่รวดเร็วคือความได้เปรียบ GIS ช่วยให้ BIG C Digital Transformation ก้าวข้ามการวางแผนแบบเดิม ๆ ที่มองแค่ “ระยะทางเส้นตรง” ไปสู่การวิเคราะห์ “เส้นทางที่ดีที่สุด” ในโลกความเป็นจริง โดยนำข้อมูลตำแหน่งสาขา คำสั่งซื้อของลูกค้า และเครือข่ายถนนจริง (รวมถึงสภาพจราจร จุดกลับรถ เส้นทางวันเวย์) มาประมวลผลร่วมกัน
นอกจากนี้ GIS ยังช่วยวิเคราะห์ศักยภาพของสาขาโดยดูจากปริมาณคำสั่งซื้อในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เห็นว่าสาขาใดทำงานหนักเกินไป (Over Capacity) และควรนำสาขาใกล้เคียงเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ เพื่อให้การจัดส่งยังคงรวดเร็วและรักษามาตรฐานบริการไว้ได้ สิ่งนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนการขนส่ง แต่ยังเพิ่มความพึงพอใจและสร้างความภักดีของลูกค้าได้อย่างเป็นรูปธรรม
ด้านการจัดการภัยพิบัติ (Use Case: เหตุตึกถล่ม/ภารกิจถ้ำหลวง): ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่เต็มไปด้วยความสับสน GIS คือเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างแผนที่กลางหรือ Common Operational Picture ที่ทุกหน่วยงานมองเห็นภาพสถานการณ์เดียวกัน
ในภารกิจค้นหากู้ภัยจากเหตุตึกถล่ม GIS ช่วยให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์สามารถแบ่งเขตการค้นหา (Search and Rescue Zones) ได้อย่างชัดเจน และติดตามความคืบหน้าของทีมกู้ภัยแต่ละทีมได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การสั่งการเป็นระบบและลดความซ้ำซ้อน
ขณะที่ในภารกิจช่วยเหลือทีมหมูป่า GIS ถูกนำมาใช้ใน 2 สมรภูมิสำคัญ คือการสร้างแผนที่หน้าตัดสามมิติของถ้ำเพื่อให้นักดำน้ำวางแผนการเดินทางที่อันตราย และการวิเคราะห์ภูมิประเทศภายนอกเพื่อหาช่องทางน้ำไหลและเบี่ยงเส้นทางน้ำฝนไม่ให้ไหลเข้าถ้ำเพิ่ม เป็นการใช้ข้อมูลเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจในภาวะวิกฤติที่ทุกวินาทีมีความหมายต่อชีวิต
ด้านสาธารณสุข (Use Case: Covid-19): ช่วงการระบาดของ Covid-19 GIS มีบทบาทสำคัญในการจัดทำ “แผนที่สถานการณ์” ที่แสดงการกระจายตัวของผู้ติดเชื้อ ช่วยให้ประชาชนรับรู้และป้องกันตัวเองได้ดียิ่งขึ้น แต่เบื้องหลังนั้น GIS ยังถูกใช้ในภารกิจที่ซับซ้อนกว่า คือการวิเคราะห์หา “ตำแหน่งที่ตั้งที่เหมาะสมที่สุด” สำหรับศูนย์ฉีดวัคซีน โดยไม่ได้ดูแค่ความหนาแน่นของประชากร แต่ยังนำข้อมูลกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว การเข้าถึงด้วยระบบขนส่งสาธารณะ และระยะห่างจากสถานพยาบาล มาพิจารณาประกอบกัน เพื่อให้มั่นใจว่าการกระจายวัคซีนซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่า จะเป็นไปอย่างทั่วถึง มีประสิทธิภาพ และช่วยเหลือผู้ที่ต้องการมากที่สุดได้ก่อน ปกป้องประชากรในภาพรวมได้อย่างรวดเร็ว
สร้างอนาคต: ปั้น “นัก GIS” รุ่นใหม่และความฝันสู่ Single Data Platform ของชาติ
วิสัยทัศน์สุดท้ายที่คุแพรได้ฝากไว้ คือความฝันที่จะเห็น “ระบบ GIS กลางของประเทศ” หรือ Single Data Platform ที่ไม่ได้เป็นเพียงแพลตฟอร์มขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่ทุกคนเป็นเจ้าของและสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันได้
ลองจินตนาการถึงอนาคตที่นักวางผังเมืองสามารถออกแบบเมืองโดยเห็นข้อมูลแนวท่อประปา สายไฟฟ้าใต้ดิน และพื้นที่เสี่ยงภัยจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้บนแผนที่เดียวกัน หรือเกษตรกรสามารถวางแผนการเพาะปลูกโดยใช้ข้อมูลดิน น้ำ และความต้องการของตลาดจากหลายกระทรวงมาประกอบการตัดสินใจได้ทันที นี่คือภาพของ “สมองกลของชาติ” ที่ข้อมูลจากภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา สามารถไหลเวียนและแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
อย่างไรก็ตาม สมองที่ทรงพลังนี้จะไร้ความหมายหากขาดผู้ใช้งานที่มีคุณภาพ นี่คือจุดที่ “นัก GIS” แห่งอนาคตจะเข้ามามีบทบาทสำคัญ แพรได้ให้คำนิยามใหม่ของคนกลุ่มนี้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่จบการศึกษาด้านภูมิศาสตร์โดยตรงอีกต่อไป แต่คือบุคลากรในทุกสาขาอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นนักการตลาด นักโลจิสติกส์ นักสาธารณสุข หรือนักการเกษตร ที่มีทักษะสำคัญร่วมกันคือ ความสามารถในการมองเห็นคุณค่าของข้อมูลเชิงพื้นที่ และรู้จักตั้งคำถามที่ถูกต้องเพื่อนำข้อมูลนั้นมาสร้างความได้เปรียบให้กับองค์กรและสังคม
ด้วยเหตุนี้ อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จึงให้ความสำคัญกับการสร้างระบบนิเวศเพื่อปั้นบุคลากรเหล่านี้ผ่านการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และการจัดกิจกรรม “TUC Next Gen” ซึ่งเป็นเวทีสำหรับคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ
ท้ายที่สุดแล้ว ความฝันนี้ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของการสร้างสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง เพราะ GIS ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือ “โลเคชัน” ที่อยู่ในทุกมิติของชีวิต และเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยเชื่อมโยงและปลดปล่อยศักยภาพของข้อมูลทั้งหมด เพื่อนำพาประเทศไทยไปสู่อนาคตที่ปลอดภัย มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สกสว. ยกเครื่องระบบทุนวิจัย เชื่อมห้องแล็บสู่ตลาด ปั้นนวัตกรรมสร้างชาติ
สวทช. ประกาศวิสัยทัศน์วาระ 2 ชู ‘วิจัยใช้ได้จริง’ แก้ปัญหาชาติด้วยเทคโนโลยี