ทุกครั้งที่สายลมหนาวพัดมาเยือน ท้องฟ้าของประเทศไทยกลับถูกแทนที่ด้วยม่านหมอกสีเทาหม่น การตรวจสอบค่าฝุ่นในแอปพลิเคชัน การสวมหน้ากาก N95 และความกังวลต่อสุขภาพกลายเป็น “พิธีกรรมตามฤดูกาล” ที่เราต่างคุ้นชิน แต่ความเคยชินนี้อาจเป็นกับดักที่อันตรายที่สุด ที่ทำให้เราวนเวียนอยู่กับปัญหาเดิมๆ โดยไม่เคยไปถึงทางออกที่แท้จริง
ในเวทีเสวนา Sustrends 2025: Year of Volunteers จัดโดย The Cloud ดร.บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ ผู้อำนวยการสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้ฉายภาพให้เห็นว่า การจะก้าวไปสู่การแก้ไขวิกฤติฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืนได้นั้น เราจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการทลาย “มายาคติ” หรือกับดักทางความคิดที่ฝังรากลึกในสังคมเสียก่อน
มายาคติที่ 1: ฝุ่นเป็นแค่ ‘ปัญหาตามฤดูกาล’
ความเชื่อที่ว่าฝุ่นพิษเป็นเพียงปัญหาชั่วคราวที่มาพร้อมฤดูหนาวและจะจางหายไปเองเมื่อฤดูเปลี่ยน คือความเข้าใจผิด ที่ฉุดรั้งการแก้ปัญหาที่ต้นตอมากที่สุด ดร.บัณฑูร ชี้ว่า เราต้องแยกแยะระหว่าง ‘อาการ’ ของโรคกับ ‘ตัวโรค’ ให้ชัดเจน
ความจริงแล้ว ‘ตัวโรค’ หรือ ต้นกำเนิดของมลพิษไม่ว่าจะเป็นควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การปล่อยสารพิษจากโรงงาน หรือการเผาในที่โล่ง ล้วนเกิดขึ้นตลอด 365 วัน
ส่วน ‘อาการ’ ที่เราเห็นเป็นม่านฝุ่นหนาทึบในช่วงฤดูหนาวนั้น เป็นผลมาจากปัจจัยทางสภาพอากาศ เช่น ภาวะอากาศนิ่งและปรากฏการณ์ฝาชีครอบ (Inversion Layer) ที่ทำหน้าที่เหมือนฝาปิดขนาดมหึมา กดทับมลพิษที่ถูกปล่อยออกมาทุกวันไม่ให้ลอยขึ้นไปไหน
มายาคตินี้ทำให้สังคมและภาครัฐเข้าสู่ “วงจรแห่งความตื่นตระหนกและหลงลืม” (Cycle of Panic and Forgetfulness) เมื่อถึงฤดูฝุ่น เราจะตื่นตัวแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การแจกหน้ากาก หรือการพ่นละอองน้ำ แต่เมื่อฝนมาหรือลมพัดผ่านไป เราก็ลืมเลือนต้นตอของปัญหา ทำให้ไม่มีการวางแผนจัดการแหล่งกำเนิดมลพิษอย่างต่อเนื่องและจริงจังตลอดทั้งปี
มายาคติที่ 2: ‘การเผาของเกษตรกร’ คือจำเลยหลัก

การชี้นิ้วไปที่กลุ่มเกษตรกรว่าเป็นผู้ร้ายเพียงหนึ่งเดียวอาจเป็นวิธีที่ง่าย แต่กลับบดบังความจริงที่ซับซ้อนกว่านั้น ดร.บัณฑูรยอมรับว่าการเผาในภาคเกษตรโดยเฉพาะพืชไร่อย่างข้าวโพดและอ้อย รวมถึงปัญหาฝุ่นควันข้ามพรมแดนเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของวิกฤตการณ์นี้ โดยเฉพาะเมื่อมองในภาพรวมระดับประเทศและภูมิภาค
อย่างไรก็ตาม มายาคตินี้อันตรายเพราะมันทำให้เกิด “การกล่าวโทษข้ามพื้นที่” (Geographical Blame Game) และทำให้ละเลยต้นตอสำคัญที่อยู่ใกล้ตัวเรามากกว่าที่คิด
“เราต้องทำความเข้าใจว่า ‘โปรไฟล์มลพิษ’ ของแต่ละพื้นที่มีความแตกต่างกัน มลพิษใจกลางกรุงเทพฯ ไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกับมลพิษบนดอยที่จังหวัดน่าน ในเขตเมือง แหล่งกำเนิดหลักคือ ‘มลพิษที่เราผลิตเอง’ (Locally-Generated Pollution) จากการจราจรที่หนาแน่น โดยเฉพาะรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเก่า การก่อสร้างที่ไม่หยุดหย่อน และโรงงานอุตสาหกรรมในเขตปริมณฑล”
ยิ่งไปกว่านั้น การชี้เป้าไปที่เกษตรกรเพียงอย่างเดียวยังเป็นการมองปัญหาอย่างผิวเผิน โดยไม่ได้ถามคำถามที่ลึกลงไปว่า “ทำไมเขาถึงต้องเผา?” คำตอบที่แท้จริงมักเกี่ยวข้องกับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ขาดทางเลือก ขาดเทคโนโลยีในการจัดการเศษวัสดุทางการเกษตร และขาดแรงจูงใจจากภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบ มายาคตินี้จึงเป็นเหมือนม่านควันที่เบี่ยงเบนความสนใจจากความรับผิดชอบของคนเมืองและภาคอุตสาหกรรม นำไปสู่ทางออกที่ไม่ยั่งยืน เพราะการแก้ปัญหาที่แท้จริงต้องทำควบคู่กันไปทั้งระบบ ทั้งการสนับสนุนเกษตรกรให้เปลี่ยนผ่าน และการคุมเข้มแหล่งกำเนิดมลพิษในเมืองอย่างจริงจัง
มายาคติที่ 3: ‘หน้ากากและเครื่องฟอกอากาศ’ คือทางรอด
ในขณะที่หน้ากาก N95 และเครื่องฟอกอากาศเป็นเครื่องมือป้องกันสุขภาพส่วนบุคคลที่จำเป็นอย่างยิ่ง ดร.บัณฑูรย้ำว่านี่คือเครื่องมือลดทอนความเสี่ยง (Harm Reduction) ที่สำคัญ แต่มายาคติที่อันตรายคือการยกระดับเครื่องมือเหล่านี้จากการรับมือ (Coping Mechanism) ไปสู่ ‘ทางออก’ (Solution) ของปัญหา
“การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการสร้าง ‘ฟองสบู่แห่งอากาศสะอาด’ ส่วนตัวขึ้นมา แต่เราไม่สามารถใช้ชีวิตทั้งหมดในฟองสบู่นี้ได้ ทันทีที่เราก้าวออกจากบ้านหรืออาคาร เรายังคงต้องเผชิญกับมลพิษที่ไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย”
ที่สำคัญกว่านั้น มายาคตินี้ยังซ่อนเร้นปัญหา ‘ความเหลื่อมล้ำทางอากาศ’ (The Clean Air Divide) เอาไว้ เมื่ออากาศสะอาดกลายเป็นสินค้าที่ต้องซื้อหา คนที่มีกำลังทรัพย์สามารถเข้าถึงเครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงได้ ในขณะที่กลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้มีรายได้น้อย คนทำงานกลางแจ้ง หรือเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ขาดแคลนงบประมาณ กลับต้องแบกรับความเสี่ยงทางสุขภาพไปอย่างเต็ม ๆ
การมองว่าการป้องกันตัวเองคือทางรอด จึงเป็นการยอมจำนนต่อสภาวะที่เป็นอยู่ และเป็นการผลักภาระการดูแลสุขภาพจากรัฐและผู้ก่อมลพิษมาสู่บ่าของประชาชนแต่ละคน ทางออกที่แท้จริงจึงไม่ใช่การสร้างเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดให้ตัวเอง แต่คือการทลายกำแพงมลพิษเพื่อให้ทุกคนไม่ต้องสวมเกราะนี้อีกต่อไป
ก้าวสู่ “มาตรการจริง” : เมื่อพลังภาคประชาชนคือคำตอบ
เมื่อทลายกำแพงมายาคติได้แล้ว การเดินหน้าสู่มาตรการจริงที่ยั่งยืนคือเป้าหมายถัดไป ซึ่งพลังของภาคประชาชนและอาสาสมัครมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
ผลักดันกฎหมายอากาศสะอาด คือ การมี “พ.ร.บ.อากาศสะอาด” คือการสร้างเครื่องมือทางกฎหมายที่ใช้ในการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษและเอาผิดผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ซึ่งพลังของภาคประชาชนคือกุญแจสำคัญในการกดดันและสนับสนุนให้กฎหมายฉบับนี้เกิดขึ้นจริง
สร้างเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์ภาคประชาชน (Citizen Scientists) เพราะข้อมูลคืออำนาจ ในยุคที่เครื่องมือวัดฝุ่นมีราคาไม่แพง ประชาชนสามารถสร้างเครือข่ายตรวจวัดคุณภาพอากาศในระดับชุมชนของตนเองได้ ข้อมูลที่แม่นยำและละเอียดในระดับพื้นที่จะกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการชี้เป้าแหล่งกำเนิดมลพิษ และสร้างอำนาจต่อรองให้ชุมชนสามารถเรียกร้องให้เกิดการแก้ไขได้อย่างตรงจุด
เปลี่ยนจากผู้ตั้งรับเป็นผู้ลงมือทำ เปลี่ยนพลังของอาสาสมัครเป็นกลไลการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงรุก ตั้งแต่การรณรงค์ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว การสร้างพื้นที่สีเขียวในชุมชน ไปจนถึงการกดดันให้ภาคธุรกิจแสดงความรับผิดชอบผ่านนโยบายตลอดห่วงโซ่อุปทาน เช่น การรับซื้อผลผลิตทางการเกษตรที่ไม่ผ่านการเผา
“ท้ายที่สุดแล้ว วิกฤติฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่การวิ่งแข่งระยะสั้นที่เราจะอดทนรอให้ผ่านพ้นไปตามฤดูกาล แต่มันคือการวิ่งมาราธอนที่ต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนตลอดทั้งปี เพราะอากาศที่สะอาด ไม่ใช่ของขวัญตามฤดูกาลที่รอคอยได้ แต่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่เราทุกคนต้องร่วมมือกันสร้างขึ้นมา”
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
สวนทางยุค Pet Parent? เปิดวิกฤติคุณภาพชีวิตสัตวแพทย์ไทย ที่สังคมต้องรู้
รพ.วิมุตพลิกเกมสู่ ‘Tertiary Care’ เจาะตลาดโรคซับซ้อนด้วยโมเดล ‘Health to Home’