ประเทศไทยกำลังเดินหน้าสู่การปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับการลงทุนด้านการวิจัยของประเทศที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาทต่อปี ให้สามารถสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการวางแนวทางงบประมาณปี 2570 ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ นั่นคือการเชื่อมโยงระหว่างภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมที่ยังคงเป็นจุดอ่อนสำคัญ
ในการประชุมชี้แจงเป้าหมายการสนับสนุนงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และแนวทางการจัดทำคำของบประมาณของหน่วยงานในระบบวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ซึ่งมีหน่วยงานในระบบกว่า 400 แห่งเข้าร่วม ศาสตราจารย์ ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กสว.) ได้ฉายภาพทิศทางใหม่ที่ชัดเจนว่า การจัดสรรทุน ววน. จากนี้ไป ไม่ใช่แค่การให้ทุน แต่คือ “การลงทุน” เพื่อขับเคลื่อนประเทศ
ผลตรวจสุขภาพระบบววน. ไทย: แข็งแกร่งแต่ขาดการเชื่อมโยง
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ได้เปิดเผยผลการตรวจสุขภาพระบบ ววน. ของไทยครั้งล่าสุด ซึ่งจัดทำร่วมกับธนาคารโลก (World Bank) พบว่าภาพรวมของไทยอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ด้วยคะแนน 7.8195 เต็ม 10 ซึ่งสะท้อนสถานะที่เป็นจริงของประเทศได้เป็นอย่างดี โดยการประเมินนี้พิจารณาจาก 5 มิติหลัก
มิติแรกคือ การลงทุน (Input) ซึ่งวัดทั้งทรัพยากรด้านงบประมาณ บุคลากรวิจัย และโครงสร้างพื้นฐาน มิติที่สองคือ ผลผลิต (Output) ที่นับผลงานทางวิชาการ เช่น ผลงานตีพิมพ์ และทรัพย์สินทางปัญญา และมิติที่สามคือ การใช้ประโยชน์ (Utilization) ซึ่งดูจากความก้าวหน้าและระดับเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมและการผลิตของประเทศ ซึ่ง ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ระบุว่าทั้งสามมิตินี้ประเทศไทยทำได้ดีและมีคะแนนอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่สำคัญที่สุดซึ่งฉุดรั้งศักยภาพของประเทศคือ มิติที่ 4 ด้านการเชื่อมโยงและความร่วมมือ ระหว่างสามมิติแรก กล่าวคือ ภาควิชาการและภาคอุตสาหกรรมยังทำงานแยกส่วนกัน ไม่ได้นำศักยภาพของอีกฝ่ายมาใช้ประโยชน์เท่าที่ควร ซึ่งศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ กล่าวว่าภาคอุตสาหกรรมอาจเติบโตได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพางานวิจัยในประเทศ ขณะที่นักวิชาการก็รู้สึกว่าภาคอุตสาหกรรมไม่ได้นำผลงานของตนไปใช้ ช่องว่างนี้ส่งผลโดยตรงให้ มิติที่ 5 คือการสร้างผลกระทบ (Impact) ต่อสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การยกระดับคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม หรือความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ยุทธศาสตร์ใหม่ต้องเข้ามาแก้ไข
5 ยุทธศาสตร์ใหม่: ขับเคลื่อนววน. สู่เป้าหมายที่จับต้องได้
เพื่ออุดช่องว่างและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ได้นำเสนอ 5 แนวทางหลักที่จะเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อผลักดันให้ระบบ ววน. สร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- ประการแรก คือการยกระดับการวิจัยสู่การมีเป้าหมายที่ชัดเจน (Goal-oriented Research) โดยนอกเหนือจากการวิจัยตามสาขาวิชา (Discipline-based) และการวิจัยตามประเด็นปัญหา (Issue-based) ที่ยังคงเป็นรากฐานสำคัญ ระบบ ววน. จะต้องตั้งเป้าหมายที่จับต้องได้และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนโดยตรง เช่น คนไทยสุขภาพดีขึ้น, น้ำไม่ท่วม, ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้ผลงานวิจัยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่วัดผลได้จริง
- ประการที่สอง คือการสร้างความต่อเนื่องและยืดหยุ่นด้วยงบประมาณผูกพันต่อเนื่องหลายปี (Multi-year Block Grant) เพื่อตอบสนองต่อเสียงของนักวิจัยและให้โครงการสำคัญสามารถดำเนินการได้อย่างไม่สะดุด โดยตั้งเป้าให้งบประมาณอย่างน้อย 30% เป็นงบประมาณต่อเนื่องหลายปี พร้อมทั้งคงรูปแบบงบประมาณก้อน (Block Grant) ที่ให้อิสระแก่หน่วยงานในการบริหารจัดการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- ประการที่สาม คือการเพิ่มบุคลากรวิจัยรุ่นใหม่ โดยตั้งเป้าหมายดึงดูดนักวิจัยใหม่เข้าสู่ระบบให้ได้ 3,000 คน ภายในปี 2569 เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนใหม่ๆ ให้กับวงการ และจะมีการจัดงาน “Thailand Talent Summit” เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้
- ประการที่สี่ คือการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายเพื่อทำให้ระบบววน. มีความโปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยจะผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน และมุ่งสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Partnership) ที่แข็งแกร่งขึ้น
- ประการสุดท้าย คือการร่วมมือและร่วมลงทุนกับกลไกอื่น ระบบ ววน. จะต้องทำงานเชื่อมโยงกับกองทุนอื่น ๆ ของภาครัฐ และที่สำคัญที่สุดคือภาคเอกชน ซึ่งเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวจริง โดยยกตัวอย่างความสำเร็จจากการทำงานร่วมกับสปสช. ที่แต่ละฝ่ายนำจุดแข็งของตนเองมาใช้จนเกิดผลกระทบมหาศาลซึ่งแนวทางนี้คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดการเชื่อมโยงและทำให้ผลงานวิจัยของประเทศสร้างประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ
กลไกการจัดสรรทุน: จากรากฐานสู่ยุทธศาสตร์ชาติ
ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ได้อธิบายเพิ่มเติมถึงกลไกการจัดสรรงบประมาณที่ถูกออกแบบมาเพื่อแปลงนโยบายสู่การปฏิบัติอย่างเป็นระบบ โดยมีโครงสร้างที่หนุนเสริมกันในหลายมิติ ตั้งแต่การสร้างความเข้มแข็งภายในหน่วยงานไปจนถึงการตอบโจทย์ใหญ่ของประเทศ
หัวใจสำคัญคือ งบประมาณสนับสนุนงานมูลฐาน (Fundamental Fund – FF) ซึ่งไม่ใช่การวิจัยพื้นฐาน แต่เป็นงบประมาณที่จัดสรรโดยตรงไปยังหน่วยงานตามภารกิจหลัก เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้บุคลากรและระบบนิเวศภายในมีความพร้อม เช่น การสนับสนุนให้มหาวิทยาลัยสร้างนักวิจัยที่มีศักยภาพ หรือการทำให้หน่วยงานภาครัฐอย่างกรมควบคุมโรคมีความพร้อมด้านเทคโนโลยี โดยงบประมาณส่วนนี้จะจัดสรรเป็นก้อน (Block Grant) ให้ผู้บริหารหน่วยงานมีอำนาจตัดสินใจใช้งบประมาณเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามภารกิจของตน
ขณะเดียวกัน งบประมาณตามยุทธศาสตร์ (Strategic Fund – SF) จะมุ่งเน้นการสนับสนุนโครงการที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์หลักของประเทศโดยตรง เช่น เกษตรสมัยใหม่ หรือการจัดการภัยพิบัติ ซึ่งจะขับเคลื่อนผ่านหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) โดยงบประมาณสองส่วนนี้จะทำงานทับซ้อนและเสริมกัน เพราะการมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งจาก FF จะช่วยให้การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ SF สำเร็จได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีงบประมาณพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Science and Technology Development Fund) เพื่อใช้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่ออนาคตการวิจัยของประเทศ เช่น ห้องปฏิบัติการที่ไม่เคยมีมาก่อน หรือเทคโนโลยีที่จะขับเคลื่อนประเทศในอีก 10 ปีข้างหน้า และงบประมาณเพื่อการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ (Research Utilization Fund) ซึ่งเป็นกลไกเพิ่มเติมสำหรับสนับสนุนการทดสอบหรือนำร่องโครงการวิจัยในสถานการณ์จริง เพื่อให้ผลงานวิจัยสามารถบรรลุเป้าหมายและสร้างผลกระทบได้อย่างเป็นรูปธรรม
ทิศทางทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า การขับเคลื่อนระบบ ววน.ของไทยในอนาคตจะไม่ใช่การทำงานแบบแยกส่วนอีกต่อไป แต่เป็นการผนึกกำลังของทุกภาคส่วนภายใต้ยุทธศาสตร์ร่วมกันเพื่อเปลี่ยนองค์ความรู้และงานวิจัยที่แข็งแกร่งให้กลายเป็นพลังที่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงและขับเคลื่อนประเทศไทยไปข้างหน้าได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Esri ชี้ GIS ยุคใหม่ต้องผนวก Cloud และ AI สู่แพลตฟอร์มข้อมูลแห่งชาติ
เจาะลึกอาชีพ ‘นักภาษาโบราณ’ ผู้ไขรหัสอดีตอันล้ำค่าของชาติ