Share on
×

Share

สกสว. ยกเครื่องระบบทุนวิจัย เชื่อมห้องแล็บสู่ตลาด ปั้นนวัตกรรมสร้างชาติ

ในขณะที่แผนยุทธศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ววน.) ฉบับที่ 2 กำลังจะสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2570 และเตรียมก้าวเข้าสู่ฉบับที่ 3 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (สกสว.) นำโดย ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ สกสว.เผยทิศทางการขับเคลื่อนครั้งสำคัญ เพื่อปฏิรูปกลไกการทำงานและจัดสรรงบประมาณให้เกิดผลลัพธ์ และผลกระทบต่อประเทศอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างความมั่นคงให้กับประเทศชาติผ่านพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

กลยุทธ์หลัก: ผสานพลัง “ไร้รอยต่อ” สู่เป้าหมายเดียวกัน

หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนในอนาคต คือการทำงานที่เสริมพลังและเชื่อมโยงกันแบบไร้รอยต่อ (Seamless Collaboration) ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง ย้ำชัดว่าในยุคที่ความท้าทายมีความซับซ้อน ไม่มีหน่วยงานใดสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้โดยลำพังอีกต่อไป ดังนั้น การทลายกำแพงระหว่างหน่วยงานและสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง ซึ่งประกอบด้วยองค์กรกว่า 400 แห่งทั่วประเทศ ทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชน ให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นภารกิจเร่งด่วน

เพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เกิดขึ้นจริง สกสว. จะนำเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัจฉริยะ (Intelligence) เข้ามาเป็นกลไกหลักในการเชื่อมโยงข้อมูลตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่การรับนโยบายจากภาครัฐ การแปลงนโยบายสู่การจัดสรรงบประมาณผ่านกองทุน ไปจนถึงการดำเนินงานจริงของหน่วยงานต่าง ๆ และท้ายที่สุดคือการรวบรวมผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากหน้างานกลับสู่ส่วนกลาง เพื่อประเมินผลกระทบในภาพรวมของประเทศ ระบบนี้จะทำหน้าที่เป็นแกนกลางที่ทำให้ทุกภาคส่วนเห็นภาพเดียวกัน เข้าใจบทบาทของตนเอง และทำงานสอดประสานกันได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน

ปฏิรูปกลไกจัดสรรทุน: จาก “เงินก้อน” สู่ “การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์”

สกสว. กำลังปรับเปลี่ยนแนวทางการจัดสรรงบประมาณครั้งใหญ่ จากเดิมที่เน้นการให้ทุนรายปี ไปสู่การลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ที่มองการณ์ไกลและสร้างผลกระทบในระยะยาว โดยมีเครื่องมือสำคัญที่ทำงานประสานกันเป็นระบบ เริ่มจาก ทุนสนับสนุนต่อเนื่องหลายปี (Multi-year Block Grant) ซึ่งเปรียบเสมือนการสร้างฐานรากที่มั่นคง โดยเปิดโอกาสให้หน่วยงานสามารถวางแผนโครงการวิจัยได้ยาวนานขึ้น 2-3 ปี เพื่อแก้ปัญหาการวิจัยที่ไม่ต่อเนื่อง และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะนักวิจัยรุ่นใหม่ ที่ต้องการเวลาในการสร้างสมประสบการณ์และความเข้มแข็งก่อนจะก้าวไปแข่งขันในเวทีที่ใหญ่ขึ้น

ควบคู่ไปกับการให้ทุนระยะยาว สกสว. ได้สร้างกลไกที่เรียกว่า “การกำหนดจุดมุ่งเน้น (Focus Area)” เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความเป็นอิสระทางวิชาการและการตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โดยสนับสนุนให้หน่วยงานจัดสรรงบประมาณราว 30% ของเงินทุนที่ได้รับ ไปยัง 6 ประเด็นหลักที่สอดคล้องกับทิศทางของประเทศ เช่น การสร้างและพัฒนานักวิจัย การสร้างเครือข่ายความร่วมมือ หรือการวิจัยขั้นแนวหน้าในสาขาที่สถาบันมีความเชี่ยวชาญ กลไกนี้จะช่วยให้งานวิจัยพื้นฐานสามารถเชื่อมโยงและต่อยอดไปสู่ ทุนวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Fund) ซึ่งเป็นทุนขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้นการตอบโจทย์ท้าทายที่สำคัญของประเทศตามนโยบายจากส่วนกลาง

ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้ระบบนิเวศการวิจัยสมบูรณ์ สกสว. จะลงทุนผ่าน แผนงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ST) ซึ่งเปรียบได้กับการสร้างเครื่องมือและโครงสร้างพื้นฐานกลางที่จำเป็นของประเทศ (National Infrastructure Facility) เพื่อแก้ปัญหาคอขวด เช่น การมีนักวิจัยแต่ขาดเครื่องมือที่ทันสมัย หรือมีผลงานดีแต่ไม่มีเครื่องมือสำหรับขยายผล (Scale-up) โดยจะมุ่งเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ ไม่ซ้ำซ้อน เช่น การต่อยอด สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนและ สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ รวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีแห่งอนาคตอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และคลาวด์คอมพิวติ้ง เพื่อให้ประเทศไทยมีเครื่องมือที่พร้อมสำหรับการแข่งขันและสร้างนวัตกรรมระดับโลก

จากห้องปฏิบัติการสู่ตลาด: สร้าง Impact ให้เกิดขึ้นจริง

เพื่อให้การลงทุนด้านการวิจัยไม่หยุดอยู่แค่บนหิ้ง สกสว. ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งสำคัญ โดยมุ่งเน้นการสร้างกลไกที่ชัดเจนเพื่อนำผลงานวิจัยไปขายหรือสร้างประโยชน์ให้เกิดขึ้นจริงในภาคเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีกิจกรรมสำคัญที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

กิจกรรมแรกที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายจะเป็นเวทีจับคู่ธุรกิจเชิงรุกที่จะนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่พร้อมต่อยอดจากทั่วประเทศ มาพบกับภาคอุตสาหกรรมซึ่งเปรียบเสมือนนักรบเศรษฐกิจของชาติ เพื่อให้เกิดการช้อปปิ้งเทคโนโลยี นำไปสู่การขยายผลในเชิงพาณิชย์ สร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน สกสว. ตระหนักดีว่านวัตกรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดบุคลากรที่มีคุณภาพ จึงได้ริเริ่ม Thailand Talent Summit 2025 ในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นงานชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ของบุคลากรในระบบนิเวศวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย ตั้งแต่ระดับนักเรียนทุน นักวิจัยรุ่นใหม่ ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างเครือข่ายและเชื่อมโยง “คนเก่ง” ของประเทศเข้ากับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่ต้องการ นี่คือกลไกสำคัญในการเติมเต็มระบบนิเวศด้วยทรัพยากรมนุษย์ และสร้างหลักประกันว่าประเทศไทยจะมีกำลังคนคุณภาพเพื่อขับเคลื่อนประเทศในอนาคต

นอกจากนี้ เพื่อให้การขับเคลื่อนเป็นไปอย่างมีทิศทางและวัดผลได้ สกสว.จะจัดเวทีนำเสนอสถานการณ์และดัชนีวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (SRI Index) ซึ่งทำร่วมกับธนาคารโลกเป็นประจำทุกปี เพื่อ “ตรวจเช็คสุขภาพ” ของระบบวิจัยและนวัตกรรมของประเทศว่ามีจุดแข็งจุดอ่อนอย่างไร โดยเฉพาะในประเด็นความร่วมมือ (Collaboration) ที่ยังต้องพัฒนา เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันมองภาพอนาคตและกำหนดทิศทางในการพัฒนาให้ตรงจุดยิ่งขึ้นต่อไป

ศาสตราจารย์ ดร.สมปอง กล่าวทิ้งท้ายว่า การเดินทางครั้งนี้คือการสร้างระบบที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการนำวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม มาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ โดยอาศัยความหลากหลายทางชีวภาพและวัฒนธรรมซึ่งเป็นจุดแข็งและเอกลักษณ์ (Niche) ของไทยเป็นฐานในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีและองค์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืนสำหรับคนไทยทุกคน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

‘ขยะที่คนไม่กล้าทิ้ง’ พลิกซากรถเก่าเป็นขุมทรัพย์ 2 แสนล้าน

สวทช. ประกาศวิสัยทัศน์วาระ 2 ชู ‘วิจัยใช้ได้จริง’ แก้ปัญหาชาติด้วยเทคโนโลยี

×

Share

ผู้เขียน