Share on
×

Share

แผนพลิกฟื้นตลาดทุนไทย: ภารกิจทวงคืนสภาพคล่อง-สร้างความเชื่อมั่น

ณ จุดเปลี่ยนที่สำคัญของตลาดทุนไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้นำด้านสภาพคล่องในภูมิภาคอาเซียนด้วยส่วนแบ่งสูงถึง 46% แต่ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 23% คำถามสำคัญที่นักลงทุนต่างเฝ้ารอคำตอบคือ “อนาคตของตลาดหุ้นไทยจะเป็นอย่างไร?” ในงาน SET Thailand Focus 2025 เวทีเสวนาหัวข้อ “Reforming the Capital Markets at an Inflection Point” ได้รวบรวมผู้กำหนดนโยบายและผู้เล่นคนสำคัญของตลาดทุนมาไว้ในที่เดียว เพื่อฉายภาพความท้าทายและเผยพิมพ์เขียวในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยให้ก้าวข้ามผ่านความท้าทาย สู่การเติบโตที่ยั่งยืนอีกครั้ง

โจทย์ข้อแรก: การทวงคืน “สภาพคล่อง” ที่หายไป

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ยอมรับว่าการแข่งขันในภูมิภาคมีอยู่จริง แต่หัวใจสำคัญของการแก้ปัญหาในระยะยาวไม่ใช่การต่อสู้แย่งชิงสภาพคล่อง แต่คือ “การดึงดูดเงินทุนใหม่ (New Capital) เข้าสู่ตลาด” ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องฟื้นตัวตามมา กลยุทธ์หลักจึงมุ่งเน้นไปที่การดูแลทั้งฝั่งอุปทานและอุปสงค์อย่างสมดุล

สำหรับในด้านอุปทาน (Supply) ตลท. ได้ริเริ่มโครงการ Jump Plus ซึ่งมีแนวคิดคล้ายกับโครงการ Value Up ในญี่ปุ่นและเกาหลี เพื่อส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเดิมสื่อสารแผนการสร้างมูลค่าและกลยุทธ์การเติบโตให้นักลงทุนเห็นภาพชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อดึงดูดธุรกิจในเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) เช่น สตาร์ตอัพ และ SME ให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น

ส่วนในด้านอุปสงค์ (Demand) รศ.ดร. พรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. มุ่งเน้นการสร้างอุปสงค์ที่มีคุณภาพ โดยพยายามเปลี่ยนเงินออมให้เป็นการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุน Thai ESGX ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และกำลังศึกษาแนวคิด “บัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนส่วนบุคคล” (Individual Savings Account: ISA) ซึ่งเป็นโมเดลที่ประสบความสำเร็จในต่างประเทศ เพื่อเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดเงินทุนในประเทศ

ข้อเสนอเชิงโครงสร้าง: ทางออกระยะยาวเพื่อความยั่งยืน

ชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ให้มุมมองว่า แม้กองทุนวายุภักษ์และ Thai ESGX จะเป็นทางแก้ปัญหาระยะสั้นที่ดี แต่ตลาดทุนไทยต้องการทางออกเชิงโครงสร้างที่ยั่งยืนกว่านั้น โดยได้เสนอแนวทางสำคัญ 2 ประการ

  • ข้อเสนอแรกคือการผลักดันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพภาคบังคับ (Mandatory Provident Fund) เนื่องจากปัจจุบันมีแรงงานในระบบเพียง 3 ล้านคนจากทั้งหมด 22 ล้านคนเท่านั้นที่มีสวัสดิการนี้ หากสามารถผลักดันให้เป็นภาคบังคับได้ จะเกิดประโยชน์มหาศาล ทั้งการสร้างเสถียรภาพให้ตลาดหุ้น ลดความผันผวน และสร้างความมั่นคงในระยะยาวให้คนไทยผ่านกระแสเงินลงทุนที่สม่ำเสมอ
  • ข้อเสนอที่สองคือการจัดทำบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนส่วนบุคคล (Individual Savings Account: ISA) ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะรวบรวมผลิตภัณฑ์ในตลาดทุนทั้งหมดไว้บนแพลตฟอร์มเดียว ทำให้นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลายตามความต้องการ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมนิสัยการลงทุนระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โจทย์ข้อที่สอง: การฟื้นฟู “ความเชื่อมั่น” ของนักลงทุน

ประเด็นด้านธรรมาภิบาล (Corporate Governance) และความโปร่งใส คืออีกหนึ่งความท้าทายที่สั่นคลอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างหนักในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา

รศ.ดร.พรอนงค์ ย้ำว่า การกำกับดูแลตลาดที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ ธรรมาภิบาลที่ดี การสอดส่องที่เข้มแข็ง และการบังคับใช้กฎหมายที่เฉียบขาด โดย ก.ล.ต. ได้ยกระดับการทำงานในทุกมิติ ทั้งการเพิ่มความเข้มข้นในการตรวจสอบ “ผู้เฝ้าประตู” (Gatekeepers) อย่างผู้สอบบัญชีและที่ปรึกษาทางการเงิน การใช้เทคโนโลยี AI และ Data Analytics (SupTech) เพื่อตรวจจับการกระทำผิดให้รวดเร็วและเป็นเชิงรุกมากขึ้น รวมถึงกำลังผลักดันการแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายให้ฉับไวยิ่งขึ้น

ด้านอัสสเดช ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมามีการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์กลไกตลาดบ่อยครั้ง ซึ่งอาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับนักลงทุน จึงได้ให้คำมั่นว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ที่สำคัญอีกอย่างน้อยจนถึงต้นปีหน้าเพื่อสร้างความแน่นอนและสม่ำเสมอให้กับตลาด

เสียงสะท้อนจากนักลงทุนสถาบัน: ความหวังและสิ่งที่อยากเห็น

ทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ในฐานะนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของประเทศ ส่งสัญญาณบวกว่ากบข. กำลังอยู่ในกระบวนการปรับพอร์ตการลงทุน โดยมีแนวโน้มจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เติบโตจาก 40% เป็น 50-60% ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วย โดยมองว่าการทำงานที่ใกล้ชิดและรวดเร็วขึ้นของก.ล.ต. และตลท. ในช่วงที่ผ่านมาได้สร้างความเชื่อมั่นมากขึ้น

ชวินดา กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนสถาบันอยากเห็นคือมาตรการเชิงป้องกันที่มาพร้อมกับการลงโทษที่รุนแรงและเสนอให้มีการรวมศูนย์อำนาจของหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มความรวดเร็วในการดำเนินการ ซึ่งจะเปรียบเสมือนระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning) ให้กับตลาด

แม้ตลาดทุนไทยจะเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน แต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจ และกำลังเดินหน้าอย่างเต็มกำลังผ่านความร่วมมือที่แข็งแกร่ง ทั้งมาตรการระยะสั้นเพื่อกระตุ้นสภาพคล่อง และการวางรากฐานเชิงโครงสร้างเพื่ออนาคต ภายใต้เป้าหมายร่วมกันคือการฟื้นฟูตลาดทุนไทยให้กลับมาเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพและน่าเชื่อถืออีกครั้ง

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Virtual Bank: สมรภูมิใหม่พลิกโฉมการเงินไทย

‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

×

Share

ผู้เขียน