ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและความท้าทายทางภูมิรัฐศาสตร์ คำถามสำคัญที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามองคือ “ประเทศไทยยังคงน่าสนใจอยู่หรือไม่?” บนเวทีเสวนา Thailand Focus 2025 หัวข้อ “Thailand’s competitiveness and investment outlook” ผู้บริหารระดับสูงจากภาครัฐและเอกชนชั้นนำได้มาร่วมมองภาพอนาคตของไทย ว่าประเทศไทยไม่เพียงแต่ยังคงแข็งแกร่ง แต่กำลังทะยานสู่การเป็นศูนย์กลางการลงทุนแห่งอนาคต ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่มั่นคงและโอกาสใหม่ ๆ ที่กำลังเบ่งบาน
สถิติสะท้อนความเชื่อมั่น: เม็ดเงินลงทุนพุ่งทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้เปิดฉากด้วยข้อมูลสถิติที่สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างเป็นรูปธรรม โดยชี้ว่าปี 2567 ที่ผ่านมา เป็นปีที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ด้วยยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่พุ่งสูงถึงกว่า 1.13 ล้านล้านบาท จากกว่า 3,100 โครงการ ซึ่งถือเป็นมูลค่าสูงสุดในรอบทศวรรษ
โมเมนตัมดังกล่าวไม่เพียงแต่ไม่แผ่วลง แต่ยังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม-มิถุนายน) โดยมีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 1,880 โครงการ (เพิ่มขึ้น 38%) คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 1.058 ล้านล้านบาท ซึ่งเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 138% การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เป็นสำคัญ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 7.37 แสนล้านบาท (เพิ่มขึ้น 132%) จาก 1,369 โครงการ (เพิ่มขึ้น 59%) โดยมีนักลงทุนหลักมาจากญี่ปุ่น จีน สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา และฮ่องกง
เมื่อเจาะลึกในรายอุตสาหกรรม จะเห็นทิศทางการลงทุนที่มุ่งสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงอย่างชัดเจน นำโดย อุตสาหกรรมดิจิทัล ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงถึง 5.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในกิจการ Data Center ขนาดใหญ่ ตามมาด้วย อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า 1.25 แสนล้านบาท ซึ่งรวมถึงการผลิตชิปและแผงวงจร (PCB) และ ยานยนต์และชิ้นส่วน 4.5 หมื่นล้านบาท ที่เน้นการขยายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่
นอกจากนี้ พลังงานหมุนเวียน ก็เป็นอีกกลุ่มที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญด้วยมูลค่าลงทุนกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้คือเครื่องยืนยันที่ชัดเจนว่านักลงทุนทั่วโลกมองเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในอนาคตของประเทศไทย
อะไรคือจุดแข็งที่ทำให้ไทยแตกต่าง?
เมื่อเจาะลึกถึงปัจจัยที่ทำให้ไทยยังคงเป็นหมุดหมายสำคัญของนักลงทุน ทั้งภาครัฐและเอกชนได้ให้ภาพที่สอดคล้องกันว่า ความแข็งแกร่งของไทยไม่ได้มาจากปัจจัยใดเพียงปัจจัยหนึ่ง แต่เป็นการผสมผสานของรากฐานที่มั่นคงและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปข้างหน้า
รากฐานโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งทั้งทางกายภาพและดิจิทัล ประเทศไทยมีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนามาอย่างดี ทั้งท่าเรือน้ำลึก สนามบินนานาชาติ และนิคมอุตสาหกรรมกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ขณะเดียวกันโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลก็แข็งแกร่งไม่แพ้กัน โดยมีดาต้าเซ็นเตอร์ระดับ Top-tier ที่ทันสมัย
ซึ่ง ศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยด้านทำเลที่ตั้งที่เหมาะสมผนวกกับนโยบายภาครัฐที่เปิดกว้าง ทำให้ไทยมีศักยภาพสูงที่จะก้าวขึ้นเป็น “ฮับของดาต้าเซ็นเตอร์” แห่งใหม่ในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจยุค AI
ประตูสู่ตลาดโลกและห่วงโซ่อุปทานที่มั่นคง ไทยเป็นประตูสู่ตลาดโลก ผ่านข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) 17 ฉบับกับ 24 ประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง RCEP
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญอย่างสหภาพยุโรป (EU) แคนาดา และเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งนี้ยังรวมไปถึงห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจร โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเคมี ซึ่งเป็นฐานทุนที่สำคัญในการต่อยอดไปยังอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เซมิคอนดักเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง
พลังงานสะอาดและระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุน จุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์และโดดเด่นของไทยคือ พลังงานสะอาด (Green Energy) รัฐบาลได้ริเริ่มกลไกใหม่ที่เรียกว่า Utility Green Tariff (UGT) เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดพร้อมใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC) ได้โดยตรง นอกจากนี้ ยังมีการจัดสรรโควต้าไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์
สำหรับธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์โดยเฉพาะ ผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้าโดยตรง (Direct PPA) ทั้งหมดนี้ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐผ่านสิทธิประโยชน์ทั้งทางภาษีและไม่ใช่ภาษี การอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจผ่าน “ศูนย์บริการการลงทุนและชาวต่างชาติ” ที่อาคารวัน แบงค็อก และ “วีซ่าพำนักระยะยาว” (Long-Term Resident Visa) 10 ปี สำหรับ 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ ผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ
ความน่าอยู่และศักยภาพของบุคลากร ไทยได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง โดย US News จัดอันดับให้เป็น “ประเทศที่ดีที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ” และ Kearney จัดให้เป็นอันดับ 1 ในอาเซียนด้านดัชนีความเชื่อมั่น FDI นอกจากนี้ยังเป็นอันดับ 1 ของอาเซียนด้านเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG) และติดอันดับ 6 ของโลกในฐานะ “จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดสำหรับชาวต่างชาติ”
ศุภชัย มองว่า ความน่าอยู่และวัฒนธรรมคือซอฟต์พาวเวอร์ที่ดึงดูดทั้งการลงทุนและบุคลากรที่มีคุณภาพ ขณะที่ดร.ชวพล ชี้ว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทย-จีนที่ยาวนาน คือปัจจัยสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้หัวเว่ยเลือกลงทุนในไทยตั้งแต่แรกเริ่ม และแม้ว่าการพัฒนาบุคลากรจะเป็นความท้าทาย แต่ประเทศไทยก็มีศักยภาพในการผลิตบัณฑิตสาย STEM ได้ถึงปีละกว่า 100,000 คน และ BOI กำลังร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ เพื่อพัฒนาทักษะขั้นสูงสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายโดยเฉพาะ
มุมมองจากภาคเอกชน: รากฐานที่ใช่ในทำเลที่เหมาะสม
ศุภชัย ได้สะท้อนความเชื่อมั่นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการยืนยันว่า กลุ่มบริษัทในเครือยังคงเดินหน้าลงทุนในธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่องคิดเป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ไม่ใช่เพียงเพราะนโยบาย แต่เพราะมองเห็นโอกาสในการเติบโตที่แท้จริง เขามองว่าประเทศไทยเปรียบเสมือน “อสังหาริมทรัพย์ในทำเลทอง” ที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมหาศาล ด้วยทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และรากฐานที่ถูกต้อง
โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านจากฐานอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแบบดั้งเดิม ไปสู่การเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยุคใหม่และศูนย์กลางดาต้าเซ็นเตอร์อย่างเต็มรูปแบบ คุณศุภชัยยังได้เสนอแนวคิดเชิงนโยบายที่กล้าหาญ เช่น การเปิดให้ต่างชาติสามารถถือครองที่ดินได้ 99 ปี ซึ่งเขาเชื่อว่าจะไม่เพียงดึงดูดการลงทุน แต่จะดึงดูดบุคลากรระดับโลกให้เข้ามาตั้งรกรากและทำงานในประเทศไทยได้อย่างมหาศาล
“สถานการณ์โลกตอนนี้อาจเปรียบเหมือนเครื่องบินที่กำลังบินฝ่ากลุ่มเมฆ แต่ผมเชื่อว่าเรามาถูกทางแล้ว แค่มีเมฆบดบังอยู่บ้างเท่านั้น” เขากล่าว
ในมุมมองของนักลงทุนต่างชาติ ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจว่าทำไมบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จึงเลือกปักหลักในไทยมานานถึง 28 ปี และเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ นอกจีนที่หัวเว่ยเลือกลงทุนระยะยาวในฐานะบริษัทที่จดทะเบียนอย่างเต็มรูปแบบภายใต้กฎหมายไทย เหตุผลสำคัญคือ “อุปสงค์” หรือความต้องการในการปฏิรูปสู่ดิจิทัล (Digital Transformation) ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งในทุกภาคส่วนของไทย ตั้งแต่ภาคการเงิน การผลิต ไปจนถึงการแพทย์และสุขภาพ ทำให้ไทยเป็นตลาดที่ใช่สำหรับบริษัทเทคโนโลยี
นอกจากนี้ นโยบายที่ชัดเจนของภาครัฐ เช่น EEC, Thailand 4.0 และ Cloud First Policy เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยกำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ปัจจัยสำคัญอีกประการคือ ความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานระหว่างไทย-จีน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้กับนักลงทุน และแม้จะมีความท้าทายเรื่องช่องว่างทางทักษะ แต่หัวเว่ยมองว่านี่คือโอกาสในการเข้ามามีส่วนร่วมและช่วยยกระดับบุคลากรในประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน
เผชิญหน้าสงครามการค้า: วิกฤติหรือโอกาส?
ในประเด็นสงครามการค้าและกำแพงภาษีที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ทุกฝ่ายบนเวทีเสวนามองตรงกันว่า นี่ไม่ใช่แค่วิกฤติ แต่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและเป็นโอกาสครั้งสำคัญของประเทศไทยในการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน
นฤตม์ มองว่านี่คือเกมระยะยาวที่ต้องอาศัยความยั่งยืนและความยืดหยุ่น เนื่องจากอัตราภาษีของกลุ่มประเทศอาเซียนอยู่ในระดับใกล้เคียงกันที่ประมาณ 19-20% ปัจจัยที่จะสร้างความแตกต่างได้อย่างแท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องภาษี แต่เป็นความแข็งแกร่งของปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แต่ละประเทศมี
ดังนั้น BOI จึงใช้โอกาสนี้ในการผลักดันนโยบาย Localization หรือการส่งเสริมให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงและสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทานของไทย ขณะเดียวกัน คณะทำงานของรัฐบาลที่นำโดยรองนายกรัฐมนตรี พิชัย ชุณหวชิร ก็กำลังเจรจาอย่างเต็มที่เพื่อหาข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับประเทศ
ในมุมมองของภาคเกษตรและอาหาร ศุภชัย กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงทางภาษีอาจส่งผลบวกต่อต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ เนื่องจากเปิดโอกาสให้สามารถนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาซึ่งมีราคาที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่าอาจมีผลกระทบต่อเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองในประเทศ ซึ่งภาครัฐจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือและส่งเสริมให้ปรับเปลี่ยนไปสู่พืชที่มีมูลค่าสูงขึ้น ที่สำคัญที่สุด คุณศุภชัยมองว่านี่คือโอกาสที่ประเทศไทยจะยกระดับตัวเองให้เป็นฐานการผลิตที่มีคุณภาพและมีห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ไม่ใช่เป็นเพียงฐานการผลิตเพื่อสวมสิทธิ์จากประเทศอื่น และเป็นช่วงเวลาสำคัญในการดึงดูดให้ SME ของไทยเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานใหม่นี้
ขณะที่ดร.ชวพล กล่าวว่า ทุกความท้าทายคือโอกาสในการพัฒนาตัวเอง สถานการณ์นี้ได้สร้างความเร่งด่วนให้ทุกภาคส่วนต้องทบทวนและตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยวมากขึ้น นี่คือโอกาสที่ไทยจะกระจายความเสี่ยงไปสู่อุตสาหกรรมอื่นนอกเหนือจากการผลิต เช่น การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมไปยกระดับภาคบริการ การท่องเที่ยว และเกษตรกรรมให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับสร้างระบบนิเวศของบุคลากรในประเทศ (Local Ecosystem) ให้แข็งแกร่ง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว
ก้าวต่อไป: โจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องทำเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
วิสัยทัศน์จากภาคเอกชนได้ถูกขานรับและผลักดันให้เป็นรูปธรรมผ่านนโยบายและโครงการยุทธศาสตร์ของภาครัฐ เพื่อสร้างหลักประกันว่าประเทศไทยจะสามารถรักษาและเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
การยกระดับอุตสาหกรรมและสร้างความเข้มแข็งให้ห่วงโซ่อุปทาน ภาครัฐกำลังเดินหน้าอย่างเต็มที่ผ่าน มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรม (Smart and Sustainable Industry) ของ BOI ที่มุ่งสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเดิมนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และ AI เข้ามาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิด การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Localization) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานภายในประเทศที่เข้มแข็งและลดการพึ่งพาจากภายนอก
การสร้าง Talent Hub และดึงดูดบุคลากรระดับโลก โจทย์สำคัญเรื่องการดึงดูดบุคลากรทักษะสูง หรือ Talent ถูกตอบรับด้วยการผลักดัน วีซ่าพำนักระยะยาว (Long-Term Resident Visa – LTR Visa) อย่างจริงจัง ซึ่งปัจจุบันได้อนุมัติให้กับบุคลากรต่างชาติศักยภาพสูงไปแล้วกว่า 6,000 รายทั่วโลก มาตรการนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเติมเต็มช่องว่างด้านทักษะในอุตสาหกรรมเป้าหมาย แต่ยังเป็นทางลัดในการถ่ายทอดองค์ความรู้และเร่งการพัฒนาทักษะของบุคลากรไทยไปพร้อมกัน
การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาค (Connectivity Hub) เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลกำลังขับเคลื่อนเมกะโปรเจกต์อย่าง โครงการสะพานเศรษฐกิจภาคใต้ (Landbridge) ที่จะเชื่อมโยงทะเลอันดามันและอ่าวไทยเข้าด้วยกัน โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างเส้นทางการค้าทางทะเลสายใหม่ของโลก ที่จะช่วยลดระยะเวลาและต้นทุนการขนส่งได้อย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับการเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกา ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ที่สำคัญและขาดไม่ได้ในภูมิภาค
การปฏิรูปภาคเกษตรและมุ่งสู่เศรษฐกิจสีเขียว–ดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านภาคเกษตรกรรมดั้งเดิมกำลังเกิดขึ้นผ่านนโยบายเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming) ที่ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT, AI และโดรน มาใช้ในการวางแผน เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร ทั้งหมดนี้ดำเนินไปภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ชาติที่ใหญ่กว่า นั่นคือ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งมุ่งสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
สอดรับกับวิสัยทัศน์ของชวพลที่ต้องการเห็นไทยเป็นแพลตฟอร์มแห่งนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานอย่าง Data Center, AI และ Sovereign Cloud เพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ
แม้เส้นทางข้างหน้าจะมีความท้าทาย แต่ประเทศไทยมีรากฐานที่มั่นคงและทิศทางที่ชัดเจนในการปรับตัวและคว้าโอกาสใหม่ ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนทั่วโลกต่อไป
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘เวียดนาม’ เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย
พลังงานเพื่อใคร? ถึงเวลาทลายกำแพงความคิด-เทคโนโลยี-อำนาจผูกขาด