Share on
×

Share

มช. ก้าวสู่ ‘มหาวิทยาลัย AI’ เปิดตัวแพลตฟอร์ม ‘ChatGen-Matthew’

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประกาศความสำเร็จ พัฒนา ‘ChatGen’ และ ‘Matthew’ บนคลาวด์ AWS แพลตฟอร์ม Generative AI แห่งแรกของวงการศึกษาไทย รองรับผู้ใช้กว่า 5.2 หมื่นคน ตอบโจทย์การเรียนรู้-วิจัยยุคใหม่

แพลตฟอร์มทั้งสองพัฒนาบนโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ของ AWS โดยใช้ประโยชน์จาก AWS Thailand Region ที่เปิดตัวเมื่อต้นปี และบริการ Amazon Bedrock นับเป็นก้าวสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของ มช. ที่ไม่ได้มองเพียงการนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่ยังคำนึงถึงการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมให้แก่ทุกคนในประชาคมมหาวิทยาลัย

ChatJen & Matthew: สองพลัง AI ตอบโจทย์ มช.

“ChatJen AI” ซึ่งชื่อพ้องเสียงกับคำว่า “ชัดเจน” ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะด้านการบริหารจัดการ สามารถวิเคราะห์ สรุป และแปลเอกสาร รวมถึงตอบคำถามเกี่ยวกับข้อมูลเฉพาะของมหาวิทยาลัยได้แม่นยำ ผ่านการสร้างฐานความรู้ด้วยเทคโนโลยี Retrieval-Augmented Generation (RAG) บน Amazon Bedrock ทำให้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับระเบียบ ขั้นตอนการลงทะเบียน หรือนโยบายต่าง ๆ ที่โมเดล AI ทั่วไปไม่รู้

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาย รังสิยากูล ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการเมืองเพื่อความยั่งยืน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า จุดเด่นที่เห็นผลเป็นรูปธรรมคือ การนำ ChatJen AI มาช่วยฝ่ายการคลังในการคัดกรองและตรวจสอบใบเสร็จรับเงินจำนวนมหาศาลกว่า 30,000-40,000 ใบต่อเดือน โดยใช้โมเดลการมองเห็น (Vision Models) ใน AWS Bedrock ตรวจสอบความถูกต้องและความครบถ้วนของข้อมูลโดยอัตโนมัติ ช่วยลดเวลาการทำงานของบุคลากรและลดข้อผิดพลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ “Matthew” ทำหน้าที่เสมือน “ติวเตอร์ส่วนตัว” และ “ผู้ช่วยสอน AI” (AI TA) สำหรับนักศึกษาและคณาจารย์ โดยมีฟีเจอร์เด่นคือ “Student Compass AI” ที่ช่วยวางแผนการเรียน เลือกหลักสูตร ติดตามความก้าวหน้า และเชื่อมโยงเส้นทางการศึกษากับอาชีพในอนาคต

ม.เชียงใหม่ ร่วมมือกับ AWS เปิดตัว ‘Matthew” Gen AI เพื่อการศึกษา

นอกจากนี้ อาจารย์ยังสามารถสร้าง AI TA เฉพาะสำหรับรายวิชาของตนเองได้ เช่น “กะทิ” ผู้ช่วยสอน AI สำหรับวิชาความรู้ดิจิทัลที่มีนักศึกษากว่า 2,000 คน ซึ่งช่วยแก้ปัญหาการให้ข้อเสนอแนะส่วนบุคคลในชั้นเรียนขนาดใหญ่

ปัจจุบันมีการสร้าง AI TA บน Matthew แล้วกว่า 1,000 รายการ แพลตฟอร์มนี้ยังช่วยสรุปวิดีโอการบรรยายและเอกสารประกอบการเรียนได้อีกด้วย

Matthew เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน “AI Learning Day” เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2568 โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานการเรียนรู้และเตรียมความพร้อมนักศึกษาสู่ยุคดิจิทัล

ทำไมต้อง AWS? ความยืดหยุ่น ปลอดภัย และ Thailand Region

การตัดสินใจเลือกใช้ AWS เป็นโครงสร้างพื้นฐานหลัก มาจากการต้องการหลีกเลี่ยงความซับซ้อนในการจัดการเซิร์ฟเวอร์เอง (On-premise) รวมถึงความกังวลเรื่องความสามารถในการขยายระบบ (Scalability) ความน่าเชื่อถือ (Reliability) และความปลอดภัย ดร.ชาย (นามสมมติ) ผู้บริหารโครงการ กล่าวว่า ประสบการณ์จากการจัดการเลือกตั้งนักศึกษาออนไลน์ที่ต้องรองรับผู้ใช้งานพร้อมกัน 500-600 คนต่อนาที แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ที่ปรับขนาดอัตโนมัติได้

หัวใจสำคัญคือ Amazon Bedrock ที่เปิดให้ มช. เลือกใช้โมเดลพื้นฐาน (Foundation Models) จากหลากหลายผู้พัฒนาชั้นนำ (เช่น Anthropic, Cohere, Meta) ผ่าน API เดียว ทำให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับแต่ละงาน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างข้อความ การสรุป หรือวิเคราะห์ข้อมูล เปรียบเสมือนการมีกล่องเครื่องมือครบครัน

การเปิดตัว AWS Thailand Region เมื่อต้นปี 2568 ถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง ช่วยให้ มช. สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency) จัดเก็บข้อมูลที่ละเอียดอ่อนภายในประเทศได้อย่างปลอดภัย และยังช่วยลดความหน่วง (Latency) ทำให้แพลตฟอร์ม AI ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ธรรมาภิบาล AI และการปรับเปลี่ยนสู่การเรียนรู้ที่เน้นผลลัพธ์ (OBL)

มช. ตระหนักถึงความท้าทายและโอกาสของ Generative AI จึงได้ออกแนวปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบก่อนการเปิดตัวในวงกว้าง มีการใช้เครื่องมือป้องกันการคัดลอกผลงาน (Anti-plagiarism) และเน้นย้ำให้ผู้ใช้ประเมินผลลัพธ์จาก AI อย่างมีวิจารณญาณ เพราะ AI ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป

พร้อมกันนี้ มหาวิทยาลัยกำลังปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์การเรียนการสอนไปสู่การเรียนรู้ที่เน้นผลลัพธ์ (Outcome-Based Learning – OBL) ซึ่งมุ่งเน้นที่การวัดผลว่านักศึกษาบรรลุผลการเรียนรู้ที่ตั้งไว้อย่างแท้จริง แทนที่จะมุ่งเน้นเพียงการทำงานหรือการบ้านให้เสร็จ การเปลี่ยนแปลงนี้จะช่วยลดความกังวลเรื่องการใช้ AI ในทางที่ผิด และเปลี่ยนบทบาทของ AI ให้กลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ หากเป้าหมายคือความเข้าใจและความสามารถที่แท้จริงของนักศึกษา

เร่งสร้างทักษะ AI ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน

ความร่วมมือนี้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นของ AWS ในการพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งได้ฝึกอบรมทักษะคลาวด์ให้คนไทยไปแล้วกว่า 50,000 คนตั้งแต่ปี 2560 ผ่านโครงการต่างๆ เช่น AWS Academy (ซึ่ง มช. เข้าร่วม), AWS Educate, AWS re/Start และล่าสุดคือโครงการ “AI Ready” ที่ตั้งเป้าฝึกอบรมทักษะ AI ให้ผู้คน 2 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568

AWS ตอกย้ำความสำคัญของการพัฒนาทักษะดิจิทัล โดยวางให้เป็นรากฐานหลักของกลยุทธ์การดำเนินงานทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยความเข้าใจว่าการนำเทคโนโลยีคลาวด์มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องอาศัยบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถ AWS ได้ริเริ่มโครงการหลากหลายรูปแบบเพื่อสร้างและยกระดับทักษะด้านคลาวด์คอมพิวติ้งและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้กับคนไทย

นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 เป็นต้นมา AWS ได้ดำเนินการฝึกอบรมทักษะคลาวด์ให้กับบุคคลในประเทศไทยไปแล้วกว่า 50,000 คน และได้ตั้งเป้าหมายที่ท้าทายในการเพิ่มจำนวนผู้ได้รับการฝึกอบรมให้ถึง 100,000 คนภายในปี พ.ศ. 2569 เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

ข้อมูลจาก Access Partnership ชี้ว่า คนทำงานไทยที่มีทักษะ AI มีเงินเดือนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 41% และ 94% ของนายจ้างไทยมองว่าการจ้างบุคลากรที่มีทักษะ AI เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ แม้ว่า 64% จะประสบปัญหาในการหาบุคลากรก็ตาม ขณะที่ 95% ของคนทำงานไทยสนใจพัฒนาทักษะ AI และผลสำรวจยังพบว่า 86% ของนักศึกษามหาวิทยาลัยใช้ AI เพื่อการเรียนอยู่แล้ว

การผนึกกำลังระหว่าง มช. และ AWS ในครั้งนี้ จึงไม่เพียงเป็นการนำ Generative AI มาใช้อย่างเต็มรูปแบบในสถาบันอุดมศึกษาไทย แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญในการสร้างบุคลากรที่มีทักษะแห่งอนาคต พร้อมรับมือกับโลกยุคดิจิทัลอย่างเท่าเทียมและมีความรับผิดชอบ นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

AWS ชูการพัฒนาทักษะดิจิทัลเป็นหัวใจสำคัญ ขับเคลื่อนกลยุทธ์ในไทย ตั้งเป้าฝึกอบรม 100,000 คนภายในปี 2569 รับมือความต้องการบุคลากร AI พุ่ง

เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว AWS ได้ดำเนินกลยุทธ์ผ่านโครงการริเริ่มหลายด้านที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแตกต่างกันไป เริ่มตั้งแต่ AWS Academy ซึ่งมอบหลักสูตรคลาวด์คอมพิวติ้งที่พร้อมสอนและสอดคล้องกับมาตรฐานอุตสาหกรรมให้แก่สถาบันอุดมศึกษาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ปัจจุบันโครงการนี้ถูกนำไปใช้ในมหาวิทยาลัยชั้นนำกว่า 30 แห่งทั่วประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สำหรับเยาวชนในระดับมัธยมศึกษาและอุดมศึกษา AWS Educate ได้นำเสนอทรัพยากรการเรียนรู้และโปรแกรมที่ออกแบบมาเฉพาะ เพื่อช่วยปูพื้นฐานทักษะคลาวด์ตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการ AWS re/Start ที่เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 เป็นหลักสูตรเร่งรัดฟรี 12 สัปดาห์สำหรับผู้ว่างงานหรือผู้ที่ต้องการเปลี่ยนสายงาน เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ตำแหน่งงานคลาวด์ระดับเริ่มต้น โดยได้ฝึกอบรมไปแล้ว 400 คนใน 10 รุ่น และช่วยเชื่อมต่อกับนายจ้าง

นอกเหนือจากโครงการที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มผู้เรียนโดยตรง AWS ยังสร้างความร่วมมือในวงกว้างผ่าน Skills to Jobs Tech Alliance ซึ่งประกาศจัดตั้งเมื่อเดือนเมษายน 2568 โดยเป็นการผนึกกำลังระหว่างหน่วยงานภาครัฐสำคัญอย่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันการศึกษา 11 แห่ง และองค์กรนายจ้างชั้นนำ 10 ราย เพื่อร่วมกันสร้างเส้นทางที่ชัดเจนตั้งแต่การพัฒนาทักษะไปจนถึงการจ้างงานในตำแหน่งด้านเทคโนโลยีที่เป็นที่ต้องการสูง พร้อมกันนี้ AWS ยังเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงการเรียนรู้ได้สะดวกผ่าน AWS Skill Builder ซึ่งมีหลักสูตรออนไลน์ฟรีกว่า 600 หลักสูตรให้เลือกเรียนรู้ได้ตามอัธยาศัย โดยมีมากกว่า 60 หลักสูตรที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้ว

เน้นพัฒนาทักษะ AI รับกระแสโลกและความต้องการในประเทศ

นอกเหนือจากทักษะคลาวด์พื้นฐาน AWS ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะด้าน AI อย่างเร่งด่วน ผ่านโครงการ AI Ready ที่เปิดตัวทั่วโลกในช่วงปลายปี 2566 โครงการนี้มีเป้าหมายในการฝึกอบรมทักษะ AI และ Generative AI ฟรี ให้กับผู้คน 2 ล้านคนทั่วโลกภายในปี 2568 ทั้งในสายงานเทคนิคและไม่ใช่เทคนิค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายใหญ่ในการฝึกอบรมทักษะคลาวด์ให้แก่ประชากร 29 ล้านคนทั่วโลก

ความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาทักษะ AI ในประเทศไทย ได้รับการยืนยันจากข้อมูลตลาดที่น่าสนใจ การศึกษาโดย Access Partnership พบว่า คนทำงานในไทยที่มีทักษะ AI มีรายได้เฉลี่ยสูงขึ้นกว่า 41% โดยเฉพาะในสายงานไอที (เพิ่มขึ้น 54%) และการดำเนินธุรกิจ (เพิ่มขึ้น 51%) ขณะเดียวกัน นายจ้างในไทยถึง 94% ระบุว่าการจ้างบุคลากรที่มีทักษะ AI เป็นความสำคัญอันดับต้น ๆ แต่ 64% ของนายจ้างกลุ่มนี้ยอมรับว่าประสบปัญหาในการหาบุคลากรที่มีทักษะตามที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม คนทำงานชาวไทยถึง 95% แสดงความสนใจที่จะพัฒนาทักษะ AI เพื่อความก้าวหน้าในอาชีพการงาน โดยความสนใจนี้พบได้ในทุกกลุ่มอายุ

สอดคล้องกับแนวโน้มนี้ ผลสำรวจยังชี้ให้เห็นว่านักศึกษามหาวิทยาลัยในปัจจุบันมีการนำเครื่องมือ AI มาใช้ในการเรียนอย่างแพร่หลาย โดย 86% เคยใช้เครื่องมือ AI และ 54% ใช้เป็นประจำทุกสัปดาห์ เพื่อช่วยในการทำวิจัย ตรวจสอบไวยากรณ์ สรุปเนื้อหา หรือแม้กระทั่งการถอดความและสร้างร่างเอกสารเบื้องต้น

ความมุ่งมั่นของ AWS ในการพัฒนาทักษะดิจิทัลและ AI อย่างครอบคลุมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย โดยเน้นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการนำเทคโนโลยีมาใช้ในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรุงศรีฯ ผนึก AWS พลิกโฉมธนาคารด้วยคลาวด์และ AI ชู Use Case วัดผลได้จริง รับมือสมรภูมิดิจิทัล

คลาวด์ AWS เบื้องหลังความสำเร็จ LINE MAN Wongnai

ซีพีแรม เปิดตัวศูนย์แลกเปลี่ยนเทคโนโลยีอาหาร ดันไทยสู่ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารโลก

×

Share

ผู้เขียน