สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ยังคงเป็นประเด็นท้าทายสำคัญระดับโลก ส่งผลให้เกิดความพยายามในการพัฒนาแนวทางแก้ไขและปรับตัวในหลากหลายภาคส่วน รวมถึงการเกิดขึ้นของกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืน หรือ Sustainability Startups ซึ่งนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว โดยมีกรณีศึกษาจากหลายบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงแนวทางการดำเนินงานและโซลูชันที่น่าสนใจ
DiMuto: ข้อมูลอัจฉริยะ พลิกโฉมเกษตรกรรมยั่งยืน
การสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ในห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการลดความสูญเสียและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ในประเด็นนี้ Gary Loh, Founder & Chief Executive Officer ของ DiMuto กล่าวว่า บริษัทกำลังพลิกโฉมเกษตรกรรมเพื่อลดขยะและลดคาร์บอนด้วยข้อมูลอัจฉริยะ บริษัทตระหนักดีว่าปัญหาขยะอาหารและการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองในภาคเกษตรเป็นปัจจัยซ้ำเติมปัญหาโลกร้อน จึงเข้ามาตอบโจทย์นี้โดยตรงด้วยการสร้างความโปร่งใสตลอดห่วงโซ่อุปทานสินค้าเกษตรสด ตั้งแต่ฟาร์มถึงผู้บริโภค
การใช้เทคโนโลยีอย่าง QR Code, Mobile Application และ AI ช่วยลดการสูญเสียในห่วงโซ่ได้อย่างมีนัยสำคัญ การติดตามสินค้าทุกกล่อง เช่น มะม่วงหรืออะโวคาโดจากผู้ผลิตอย่าง Grupo Paizano พร้อมภาพถ่ายและข้อมูลคุณภาพ ช่วยให้การจัดการสต็อกดีขึ้น ลดการเน่าเสีย และส่งมอบสินค้าที่สดใหม่ถึงมือผู้บริโภค ซึ่งหมายถึงการใช้ทรัพยากรที่ปลูกมาอย่างคุ้มค่า
นอกจากนี้ ข้อมูลจากฟาร์มยังช่วยให้เกษตรกรเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร โดยสามารถประเมินผลผลิต จัดการพื้นที่เพาะปลูก และใช้ปัจจัยการผลิตเช่นน้ำและยาฆ่าแมลงได้อย่างเหมาะสม ซึ่งช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์มของ DiMuto ยังสร้างความตระหนักรู้ผ่านข้อมูลคาร์บอน โดยสามารถคำนวณคาร์บอนฟุตพรินต์ตั้งแต่การเพาะปลูก การขนส่ง รวมถึงรถบรรทุกจากท่าเรือถึงคลังสินค้า ทำให้ทุกภาคส่วนเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงและนำไปสู่การตัดสินใจที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
DiMuto ยังส่งเสริมการเงินที่ยั่งยืนผ่าน DiMuto Financial AI ซึ่งช่วยให้ธุรกิจที่โปร่งใสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น สนับสนุนการเติบโตของธุรกิจเกษตรที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ด้วยการติดตามสินค้ารวมมูลค่ากว่า 33 ล้านดอลลาร์สหรัฐ DiMuto กำลังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการเกษตรที่ข้อมูลจะนำไปสู่การลด Climate Change อย่างเป็นรูปธรรม
Ion Energy: ขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสะอาดครบวงจร
การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเป็นวาระสำคัญที่ทั่วโลกให้ความสนใจ โดยมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เพื่อสร้างระบบพลังงานที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ พีรกานต์มานะกิจ ประธานอำนวยการ บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ (Ion Energy) กล่าวว่า ทางบริษัทกำลังเร่งกระบวนการปลดแอกพลังงานสู่ยุคสะอาดด้วยโซลูชันพลังงานครบวงจร การเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดคือหัวใจหลักในการต่อสู้กับ Climate Change และ Ion Energy ทำให้โซลาร์เข้าถึงง่ายผ่านโมเดล Solar Private PPA ที่ลงทุนติดตั้งให้ฟรีและขายไฟฟ้าในราคาถูกกว่า ช่วยให้โรงงานและธุรกิจต่างๆ ลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิลได้ทันทีโดยไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่
บริษัทยังผสานโซลาร์เข้ากับวิถีชีวิตผ่านการร่วมมือกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำอย่างแสนสิริ ศุภาลัย และ AP ในการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาบ้านเรือน ทำให้ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ผลิตและผู้ใช้พลังงานในคนเดียว หรือที่เรียกว่า Prosumer ซึ่งช่วยลดภาระของกริดไฟฟ้าหลัก
เพื่อสร้างเสถียรภาพให้พลังงานหมุนเวียน Ion Energy ได้นำระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) จากพันธมิตรอย่าง Thai Heim มาใช้ แก้ปัญหาความไม่แน่นอนของพลังงานแสงอาทิตย์ ทำให้สามารถใช้พลังงานสะอาดได้ตลอดวัน แม้ในเวลากลางคืน ดังตัวอย่างคลับเฮาส์ของแสนสิริที่ลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้ถึง 80% ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเมื่อสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนในระบบสูงขึ้น นอกจากนี้ แพลตฟอร์มจัดการพลังงานอัจฉริยะของบริษัทยังช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจและบริหารจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Ion Energy ไม่เพียงติดตั้งฮาร์ดแวร์ แต่กำลังสร้างระบบนิเวศพลังงานสะอาดที่ชาญฉลาดและยั่งยืน ซึ่งเป็นอนาคตของการใช้พลังงานของโลก
Kazam: สร้างระบบนิเวศ EV ลดมลพิษเพื่อโลก
การเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก ทำให้ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จและระบบบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการนี้ Dhiraj Ganjoo, VP of Global Sales ของ Kazam กล่าวว่า บริษัทกำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานและระบบนิเวศที่จำเป็นสำหรับการเติบโตของ EV เพื่อลดมลพิษบนท้องถนน
บริษัทขยายเครือข่ายการชาร์จด้วยการให้บริการโซลูชันการชาร์จที่หลากหลาย ทั้งสำหรับบ้าน ชุมชน และสาธารณะ ปัจจุบันมีจุดชาร์จกว่า 60,000 จุด ช่วยลดความกังวลเรื่องระยะทางการใช้งาน (Range Anxiety) และทำให้การใช้ EV เป็นเรื่องสะดวก
แพลตฟอร์มของ Kazam ยังช่วยในการบริหารจัดการการชาร์จ สร้างมาตรฐานและความปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้ ขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานผ่านซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยให้ผู้ให้บริการจุดชาร์จ (CPO) และผู้ผลิตรถยนต์ (OEM) จัดการพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงเทคโนโลยีเพื่อความยืดหยุ่นของกริด (Grid Resilience) ด้วยการสนับสนุนการเดินทางกว่า 20 ล้านกิโลเมตรต่อเดือน Kazam มีส่วนช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 40,000 ตันต่อปี ทำให้ Kazam กำลังทำให้วิสัยทัศน์เรื่องการขนส่งไร้มลพิษเป็นจริง ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจาก Climate Change ได้อย่างมหาศาล
Primo: พลังผู้บริโภค สร้างพฤติกรรมรักษ์โลกด้วย Loyalty Tech
การส่งเสริมพฤติกรรมผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน โดยภาคธุรกิจสามารถมีบทบาทสำคัญผ่านการสร้างแรงจูงใจและการมีส่วนร่วม ในมุมมองนี้ วีร์สิรสุนทรประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโมเวิร์ล จำกัด (Primo) กล่าวว่า เทคโนโลยีการตลาด (Marketing Technology) สามารถเป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการสร้างนิสัยที่ยั่งยืน โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคในวงกว้างมีส่วนสำคัญในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
Primo ได้ส่งเสริมการลดขยะผ่านกรณีความร่วมมือกับร้านกาแฟ Roots ด้วยแคมเปญที่ชื่อว่า Re-Union Club ซึ่งให้รางวัลลูกค้าเมื่อนำแก้วมาเองซ้ำ ๆ เช่น เมื่อครบ 10 ครั้ง แคมเปญนี้ได้เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคจากการรับส่วนลดเพียงเล็กน้อยสู่การสร้างนิสัยลดการใช้แก้วครั้งเดียวทิ้งอย่างจริงจัง
นอกจากนี้ Primo ยังใช้ข้อมูลจากแคมเปญเพื่อสร้างชุมชนคนรักษ์โลก โดยแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารและจัดกิจกรรม เช่น การชวนปลูกป่า ได้ตรงกลุ่ม และกระตุ้นการมีส่วนร่วมในวงกว้าง เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำดี บริษัทยังมีโครงการ Cup Lending ที่ให้ลูกค้ายืมแก้ว โดยใช้คะแนนเป็นมัดจำ สำหรับกลุ่มลูกค้าประจำ ช่วยลดอุปสรรคในการลดขยะ Primo พิสูจน์ว่าการสร้างความภักดีต่อแบรนด์สามารถควบคู่ไปกับการสร้างความรับผิดชอบต่อโลก การปลูกฝังพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในผู้คนจำนวนมากจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ต่อการต่อสู้กับ Climate Change
KCLIMATE 1.5: ติดอาวุธธุรกิจ สู่การลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
ความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมผลักดันให้องค์กรธุรกิจต้องให้ความสำคัญกับการวัดผลและบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองอย่างจริงจัง เพื่อมุ่งสู่การดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ ตอบโจทย์ดังกล่าว วิชิดาสังขนฤบดี Head of Business Development ของ KCLIMATE 1.5, กล่าวว่า บริษัทเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปรียบเสมือนปรอทวัดไข้และเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กร เพื่อติดอาวุธให้ธุรกิจสามารถวัดผลและลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ
บริการการวัดคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร หรือ Carbon Footprint for Organization (CFO) ช่วยให้ธุรกิจวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากทุกกิจกรรมได้อย่างเข้าใจง่าย ตั้งแต่การใช้เชื้อเพลิง การขนส่ง การใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการเดินทางของพนักงาน แม้จะมีข้อมูลนับแสนจุดก็ตาม
แพลตฟอร์มของ KCLIMATE 1.5 ซึ่งได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ ช่วยให้การคำนวณเป็นไปอย่างถูกต้องแม่นยำตามมาตรฐานสากล และลดความซับซ้อนด้วยระบบ Automation และ API Integration ที่สำคัญคือข้อมูลที่ได้ไม่ได้จบแค่รายงาน แต่ KCLIMATE 1.5 ช่วยนำข้อมูลนั้นไปสู่การลงมือทำจริง โดยช่วยวิเคราะห์และวางแผนการลดการปล่อยก๊าซฯ ที่มีประสิทธิภาพและคุ้มค่าต่อการลงทุน ดังกรณีศึกษาโรงพิมพ์ ที่ไม่เพียงลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ Green Energy และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน KCLIMATE 1.5 กำลังช่วยให้ธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญในการบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของประเทศและของโลก
จากกรณีศึกษาของ DiMuto, Ion Energy, Kazam, Primo และ KCLIMATE 1.5 แสดงให้เห็นถึงบทบาทของกลุ่มสตาร์ตอัพด้านความยั่งยืนในการนำเสนอแนวทางและเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อจัดการกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติต่าง ๆ ทั้งในภาคเกษตรกรรม พลังงาน การขนส่ง การสร้างพฤติกรรมผู้บริโภค และการดำเนินงานของภาคธุรกิจ การพัฒนาและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้สะท้อนถึงแนวโน้มการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งการสนับสนุนระบบนิเวศสำหรับธุรกิจเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายความยั่งยืนในระยะยาว