ปัจจุบันดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ใช่เป็นเพียงโครงสร้างพื้นฐานอีกต่อไป แต่ถือเป็นรากฐานสำคัญสำหรับอนาคตดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังเติบโตของประเทศไทย การลงทุนเชิงกลยุทธ์และนวัตกรรมในดาต้าเซ็นเตอร์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการก้าวขึ้นเป็นผู้นำของประเทศในยุค AI ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ กำลังคน และการเติบโตที่ยั่งยืนของชาติ
บุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ Country Head บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวในระหว่างการบรรยายหัวข้อ “การเสริมศักยภาพอนาคตดิจิทัลและ AI ของประเทศไทย” ในงาน Huawei Summit 2025 ว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากยุค Digital Transformation ไปสู่ AI Transformation ซึ่งเป็นทิศทางที่ประเทศไทยรับรู้และปรับตัวตามอย่างชัดเจน โดยอ้างอิงผลการศึกษาของ ETDA ที่พบว่าองค์กรไทยกว่า 73% เตรียมนำ AI มาปรับใช้ภายในปี 2567 โดยเฉพาะในกลุ่มฟินเทค โลจิสติกส์ และการศึกษา รวมถึง Generative AI ที่เริ่มมีการประยุกต์ใช้งานจริงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การวิจัยและพัฒนา การตลาด การขาย การบริการลูกค้า และการปรับปรุงกระบวนการผลิต
“ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าดาต้าเซ็นเตอร์คือรากฐานที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริง”
ความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการสนับสนุนจากยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติของไทย ได้ส่งผลให้ตลาดดาต้าเซ็นเตอร์เติบโตมากกว่า 300% ระหว่างปี 2566 ถึง 2568 และคาดการณ์ว่าตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ระดับไฮเปอร์สเกลในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดจาก 2.9 หมื่นล้านบาท เป็นมากกว่า 2 แสนล้านบาทภายในปี 2572 หรือเพิ่มขึ้นกว่า 600% ตัวเลขนี้สะท้อนถึงความต้องการที่พุ่งสูงขึ้นสำหรับภาระงาน AI ระดับองค์กร การนำคลาวด์มาใช้ และการสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นของประเทศในการเป็นเศรษฐกิจที่พร้อมสำหรับ AI
อย่างไรก็ตาม การเดินทางเข้าสู่ยุคอัจฉริยะนี้ บุศรินทร์ได้กล่าวว่ามีประเด็นท้าทายหลักสามประการคือ ประการแรก ความต้องการด้านพลังงาน เนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ AI ต้องการพลังงานมหาศาล ทำให้เกิดแรงกดดันต่อผู้ให้บริการพลังงานและโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศ การสร้างความมั่นคงให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานมีความเสถียร ขยายขนาดได้ และยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ประการต่อมาคือ ช่องว่างด้านบุคลากร โดยความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้าน AI และดิจิทัล “พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว” ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรง มีความจำเป็นเร่งด่วนในการยกระดับทักษะ (upskill) และเพิ่มพูนทักษะใหม่ (reskill) ให้กับบุคลากรในตลาด ทั้งด้าน AI, Data Science และวิศวกรรมคลาวด์ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา
ประการสุดท้ายคือ ความพร้อมในการนำ AI มาปรับใช้ในวงกว้าง (AI Readiness at Scale) ซึ่งองค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีให้ทันสมัยเพื่อรองรับการประมวลผลและข้อมูลจำนวนมหาศาล นอกเหนือจากเทคโนโลยีแล้ว กรอบการกำกับดูแลข้อมูล (Data Governance) ความเป็นส่วนตัว และความปลอดภัยก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง การบูรณาการ AI เข้ากับกระบวนการหลักของธุรกิจต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ การบริหารการเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญที่สุดคือวิสัยทัศน์ของผู้นำ
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ บุศรินทร์กล่าวว่า อุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์กำลังปรับใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ โดยสรุปความคิดริเริ่มที่สำคัญว่า เริ่มต้นจากการดำเนินงานที่ยั่งยืน โดยมีการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม รวมถึงเทคโนโลยีระบายความร้อนขั้นสูงเป็นสิ่งจำเป็น ล่าสุด บริษัท เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) ได้เปิดตัวห้องปฏิบัติการเทคโนโลยีระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบส่งตรงถึงชิป (Direct-to-Chip Liquid Cooling) ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้อย่างมากเมื่อเทียบกับการระบายความร้อนด้วยอากาศแบบเดิม เมื่อรวมกับระบบบริหารจัดการพลังงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและลดต้นทุนการดำเนินงาน
นอกจากนี้ ยังมีการใช้ประโยชน์จาก AI โดยนำระบบวิเคราะห์และระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของดาต้าเซ็นเตอร์ และยกระดับข้อเสนอบริการแก่ลูกค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากร ผ่านการลงทุนด้านบุคลากรและความเป็นเลิศในการปฏิบัติงานเพื่อสร้างกลุ่มบุคลากรที่มีทักษะอย่างยั่งยืน และท้ายที่สุดคือความร่วมมือ โดยการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับภาครัฐและภาคอุตสาหกรรมเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและกรอบนโยบาย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบนิเวศทั้งหมดพร้อมสำหรับ AI
บุศรินทร์ กล่าวว่า เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ เป็นผู้นำในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าเหล่านี้ โดยประกาศว่า STT Bangkok 1 เป็นดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง Nvidia DGX-Ready และเป็นพันธมิตรด้าน Colocation กับ Nvidia ดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมสำหรับ AI ของบริษัทได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับชิป GPU ประสิทธิภาพสูง ประกอบด้วยตู้แร็คความหนาแน่นสูง (รองรับได้ถึง 150 กิโลวัตต์ต่อแร็ค) และโซลูชันระบายความร้อนขั้นสูง เช่น การระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบส่งตรงถึงชิป เมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทได้เปิดตัว Liquid Cooling Showcase แห่งแรก โดยมี Huawei เป็นพันธมิตรสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและล้ำสมัย
“ที่เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) เราไม่ได้สร้างเพียงดาต้าเซ็นเตอร์ แต่เรากำลังสร้างรากฐานสำหรับนวัตกรรม AI ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของคุณ” บุศรินทร์ กล่าว
สำหรับประเทศไทย การพัฒนาเหล่านี้มีความหมายสำคัญหลายประการ บุศรินทร์ชี้ว่า ประการแรกคือ การดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก เนื่องจากความมุ่งมั่นที่ชัดเจนในการสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ประสิทธิภาพสูงและประหยัดพลังงานกำลังดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ซึ่งช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะจุดหมายปลายทางที่เป็นที่ต้องการสำหรับการลงทุนด้านดิจิทัลระดับโลก
ประการต่อมาคือ การพัฒนาบุคลากรและทักษะ โดยการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยั่งยืนสร้างเส้นทางสำหรับบุคลากรไทยที่มีทักษะสูง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อหลายภาคส่วนนอกเหนือจากแวดวงไอที
และประการสุดท้ายคือ ความยืดหยุ่นในระยะยาว ซึ่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ยั่งยืนและปรับขนาดได้ในปัจจุบัน ช่วยให้มั่นใจได้ว่าประเทศไทยพร้อมสำหรับความท้าทายในอนาคตด้าน AI และความต้องการทางดิจิทัล สนับสนุนการเติบโตที่ยั่งยืนของประเทศและเป้าหมายทางเศรษฐกิจในวงกว้าง
บุศรินทร์ กล่าวว่า วิวัฒนาการของดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยเป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของประเทศ