ในบริบทของยุคดิจิทัลปัจจุบัน เครือข่ายมีบทบาทสำคัญนอกเหนือจากโครงสร้างพื้นฐานพื้นฐานทั่วไป โดยทำหน้าที่เป็นกลไกขับเคลื่อนความคล่องตัวขององค์กร และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูง หากไม่มีเครือข่ายที่ทันสมัย เทคโนโลยีอย่าง AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing), IoT และแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ซับซ้อนก็อาจไม่สามารถแสดงประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่
ภายในงาน AIS Business Digital Future 2026 จึงได้มีการนำเสนอนวัตกรรมและแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายและสร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับภาคธุรกิจโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็น แพลตฟอร์ม Business Network Portal ที่จะเข้ามาช่วยยกระดับการบริหารจัดการเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด, AIS Open API ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อระบบต่าง ๆ, รวมถึง AIS Cloud PC โซลูชันคอมพิวเตอร์บนคลาวด์ที่จะช่วยให้การทำงานคล่องตัวและเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา
อย่างไรก็ตาม การจะบรรลุการเชื่อมต่อที่คล่องตัว (Agile Connectivity) นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เบนนี่ ยง โฮ ลิม (Benny Yong How Lim) หัวหน้าฝ่าย Enterprise Data Service Business Production ได้ชี้ว่าเครือข่ายแบบดั้งเดิมมักจะเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ 3 ประการได้แก่
- การจัดเตรียมที่ล่าช้า (Slow Provisioning): เกิดจากการพึ่งพาการกำหนดค่าแบบ Manual ที่ซับซ้อน และการมีสัญญาที่แยกส่วนสำหรับผู้ให้บริการแต่ละราย ทำให้กระบวนการใช้งานใหม่ๆ หรือการปรับเปลี่ยนใช้เวลานานและขาดประสิทธิภาพ
- การดำเนินงานที่ไม่ยืดหยุ่น (Operational Inflexibility): ไม่สามารถที่จะปรับเพิ่มหรือลดแบนด์วิธให้สอดรับกับความต้องการที่ผันผวนได้อย่างรวดเร็วในทันที ส่งผลให้องค์กรพลาดโอกาสทางธุรกิจหรือตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้ล่าช้าเนื่องจากข้อจำกัดของโครงสร้างพื้นฐาน
- สัญญาผูกมัด (Lock-in Contract): ข้อตกลงระยะยาว เช่น สัญญา 12 เดือน บังคับให้ธุรกิจต้องจ่ายค่าบริการเกินกว่าปริมาณที่ใช้งานจริง และจำกัดความสามารถในการปรับเพิ่มหรือลดขนาดการใช้งานได้อย่างรวดเร็วตามความจำเป็นที่แท้จริง
AIS Business Network Portal: โซลูชันสู่เป้าหมาย “Agile Connectivity”
เพื่อเอาชนะความท้าทายข้างต้น และผลักดัน AIS Network สู่เป้าหมาย Agile Connectivity พงษธร พิมล หัวหน้าฝ่าย Telco Network and Business Solution จึงได้นำเสนอแพลตฟอร์ม AIS Business Network Portal ที่ประกอบไปด้วย 3 โซลูชันสำคัญ ได้แก่
- ตอบโจทย์ทุกความต้องการทางธุรกิจ (Across Business Needs): ด้วยการขยายโครงข่ายไร้สายผ่านโครงการ 5G Fixed Wireless Network (FWA) ความเร็วมากกว่า 2 Gbps ซึ่งปัจจุบันให้บริการแล้วกว่า 3,000 ลิงก์ และเติบโตโดดเด่นถึง 150% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ AIS ยังได้พัฒนาและให้บริการเครือข่ายเน็ตเวิร์คระหว่างประเทศ โดยปัจจุบันได้ติดตั้งสายไฟเบอร์ออปติกไปแล้วกว่า 160,000 กิโลเมตร เชื่อมต่อประเทศสำคัญ อาธิ ลาว สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
- สร้างความยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ (Flexible and Scalable): AIS นำเสนอ AIS NaaS Platform (Network as a Service) แพลตฟอร์มสำหรับการให้บริการ 5G Bandwidth on Demand ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับค่าแบนด์วิธได้ตามความต้องการ และบริการ 5G Network Slicing on Demand ที่เป็นการแบ่งช่องสัญญาณเครือข่ายส่วนตัวสำหรับแต่ละบริษัท เพื่อสร้างความเป็นส่วนตัว และป้องกันสัญญาณขัดข้องเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน นอกจากนี้ บริการทั้งหมดเป็นสัญญาระยะสั้น ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องจ่ายเหมารวม
- ความอัจฉริยะและความปลอดภัย (Smart and Secured): AIS มีการรักษาความปลอดภัยผ่านการเข้ารหัสข้อมูลอย่างแน่นหนา มีระบบป้องกันการ DDOS พร้อมกันนั้นยังคำนึงถึงภัยคุกคามในอนาคตด้วยการเปิดตัวระบบป้องกันการแฮกจาก Quantum Computer ที่อาจก้าวเขามาเป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีในภายภาคหน้า
AIS Open API: ยกระดับความปลอดภัยทางดิจิทัล ลดความซับซ้อน สู่การใช้งานที่ง่ายขึ้นสำหรับธุรกิจ

ด้าน อัศนีย์ วิภาตเวทย์ หัวหน้าฝ่ายงานผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีโทรคมนาคมองค์กรของ AIS นำเสนอนวัตกรรม AIS Open API ซึ่งจะยกระดับความปลอดภัยขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการให้บริการป้องกันการฉ้อโกง (Fraud Prevention) ผ่านระบบตรวจสอบหลากหลายรูปแบบ เช่น การตรวจสอบประวัติการเปลี่ยน SIM มือถือ การตรวจสอบความถูกต้องของที่อยู่ นอกจากนี้การตรวจสอบทั้งหมดยังเป็นระบบ Single Step Verification ผู้ใช้สามารถเข้าถึงความปลอดภัยทั้งหมดได้ภายในขั้นตอนเดียว ไม่จำเป็นต้องมีระบบ 2FA หรือระบบยืนยันอีเมลอีกต่อไป ซึ่งเหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการมองความปลอดภัยควบคู่ไปกับความสะดวกสะบายให้กับลูกค้าของตน
AIS Cloud PC: นวัตกรรมเพื่อการบริหารจัดการคอมพิวเตอร์ธุรกิจอย่างปลอดภัยและยืดหยุ่น
เทคโนโลยีสุดท้าย คือ เทคโนโลยี Cloud PC พงษธรให้ข้อมูลเกี่ยวไว้ว่าเป็นระบบคอมพิวเตอร์ส่วนกลางที่ทำงานอยู่บนคลาวด์ ซึ่งมีข้อได้เปรียบกว่า PC รูปแบบดั่งเดิมหลายด้าน อาทิ ศักยภาพในการลดการใช้พลังงานได้มากกว่า 50% เมื่อเทียบกับการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม อายุการใช้งานของระบบ Cloud PC ที่ยาวนานขึ้น รวมไปถึงความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนสเปกของเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนได้ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
ในด้านความปลอดภัยของข้อมูล Cloud PC เองก็มีระบบป้องกันข้อมูลรั่วไหล ซึ่งรวมถึงการป้องกันการถ่ายภาพหน้าจอ (Screen shot) หรือการคัดลอกข้อมูลสำคัญด้วยระบบลายน้ำบนหน้าจอที่ระบุ IP เฉพาะแต่ละเครื่อง รวมถึงการป้องกันการคัดลอกข้อความหรือเนื้อหาไปยังอุปกรณ์ภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลภายในองค์กร
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Crescendo Lab พลิกโฉมสู่ AI-First โชว์ ‘AiMon’ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า 5.1 หมื่นล้านบาท
ทิศทาง AI ไทย: เมื่อ “คน-วัฒนธรรม” คือคอขวดสำคัญกว่าเทคโนโลยี