Share on
×

Share

Net Zero ในทางปฏิบัติ: CP Axtra และ รพ.ธนบุรีใช้ AI ลดคาร์บอน

ในยุคที่ทุกธุรกิจต้องเผชิญกับแรงกดดันสองด้านพร้อมกัน ทั้งต้นทุนการดำเนินงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และข้อกำหนดด้านความยั่งยืน (ESG) ที่เข้มข้นขึ้นจากนักลงทุน ผู้บริโภค และหน่วยงานกำกับดูแล เป้าหมาย Net Zero จึงได้แปรสภาพจาก “ทางเลือกเพื่อโลก” ไปสู่ “ใบอนุญาต” ในการดำเนินธุรกิจแห่งอนาคต ที่ชี้วัดความสามารถในการแข่งขันและความอยู่รอดขององค์กรโดยตรง

อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรที่มุ่งมั่นในเส้นทางนี้กำลังเผชิญกับกำแพงที่มองไม่เห็น นั่นคือข้อจำกัดของวิธีการประหยัดพลังงานแบบเดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนตามฤดูกาล การใช้คนคอยตรวจสอบและจดบันทึก หรือการตั้งเวลาเปิด-ปิดแบบพื้นฐาน แม้จะเป็นความพยายามที่ดี แต่มาตรการเหล่านี้ได้เดินทางมาถึงจุดอิ่มตัว ไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ก้าวกระโดดได้อีกต่อไป

แต่ตอนนี้ “ตัวพลิกเกม” (Game Changer) ได้เดินทางมาถึงแล้วในรูปแบบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งไม่ได้มาเพื่อปรับปรุง แต่มาเพื่อปฏิวัติแนวทางการจัดการพลังงานของทั้งองค์กร โดยทำหน้าที่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่ไขประตูสู่ประสิทธิภาพในระดับที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้

บทความนี้จะพาไปถอดรหัสก้าวแห่งความสำเร็จ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วจากองค์กรชั้นนำว่า AI สามารถเปลี่ยนเป้าหมายที่ดูไกลตัว ให้กลายเป็นความจริงที่วัดผลได้ทั้งในแง่ของตัวเงินและคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างไร

ติดตั้ง “สมองกล AI” หัวใจของการเปลี่ยนแปลง

ก้าวแรกที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนมุมมองจากการซื้อโซลูชันสำเร็จรูป ไปสู่การติดตั้งสมองกล AI ที่เป็นศูนย์กลางการบัญชาการพลังงานขององค์กร

ฉัตรชัย เครือรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่าย ทรู ดิจิทัล กรุ๊ป กล่าวว่า Climate Tech Platform เกิดจากการเอาชนะข้อจำกัดของโซลูชันจากต่างประเทศ ที่มักเป็นระบบปิด (Proprietary) ซึ่งผูกติดกับอุปกรณ์เฉพาะยี่ห้อ ทำให้ขาดความยืดหยุ่นและยากต่อการควบคุมต้นทุน จึงเป็นที่มาของการพัฒนาสมองกลขึ้นมาเอง เพื่อให้เป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง โดยสมองกลนี้ไม่ได้ทำงานตามคำสั่งที่ตั้งค่าไว้ แต่มีความสามารถในการ “คิด-วิเคราะห์-ตัดสินใจ” ด้วยตัวเองอย่างฉลาด

ความอัจฉริยะนี้เริ่มต้นจากการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลจากทุกมิติแบบเรียลไทม์ ทั้งข้อมูลภายนอก เช่น สภาพอากาศที่แม่นยำจากเซ็นเซอร์เฉพาะจุด และอัตราค่าไฟฟ้าที่ผันผวนตลอดวัน (TOU/TOD) และข้อมูลภายในอาคาร เช่น จำนวนคนในแต่ละพื้นที่ผ่านเทคโนโลยี Heatmap และพฤติกรรมการใช้งาน ไปจนถึงข้อมูลจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนอย่างปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์เซลล์ ณ เวลานั้น ๆ

เมื่อได้รับข้อมูลทั้งหมด สมองกล AI จะเริ่มทำหน้าที่สั่งการไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อปรับการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด (AI Energy Optimization) พร้อมกับบริหารจัดการการใช้พลังงานหมุนเวียน (Smart Renewable Operation) เพื่อตอบคำถามสำคัญในทุก ๆ วินาทีว่า “ตอนนี้ควรใช้ไฟฟ้าจากแหล่งไหน? ในปริมาณเท่าไหร่? เพื่อให้ต้นทุนต่ำที่สุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด โดยไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจแม้แต่น้อย”

ยิ่งไปกว่านั้น สมองกลนี้ยังก้าวไปอีกขั้นด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้พยากรณ์ผ่านระบบ Predictive Maintenance โดย AI จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้พลังงานของเครื่องจักรแต่ละชิ้น และเมื่อใดที่ตรวจพบว่า อุปกรณ์ชิ้นใดเริ่มใช้พลังงานผิดปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการชำรุด ระบบจะส่งการแจ้งเตือนไปยังทีมวิศวกรทันที ทำให้สามารถเข้าไปบำรุงรักษาได้ก่อนที่เครื่องจักรจะเสียหายและกระทบต่อธุรกิจ นี่คือการเปลี่ยนจากการซ่อมเมื่อเสีย ไปสู่การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ซึ่งช่วยสร้างความเสถียรในการดำเนินงานและปลดปล่อยทีมงานให้ไปทำงานที่สร้างสรรค์กว่าเดิม

ลงมือปฏิบัติจริงในสนามรบธุรกิจ

ทฤษฎีจะไร้ความหมายหากไม่สามารถพิสูจน์ได้ในสนามรบทางธุรกิจจริง และนี่คือผลลัพธ์จาก 2 สมรภูมิที่แตกต่างกันสุดขั้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างผลกระทบได้อย่างมหาศาล

สมรภูมิที่ 1: The Mega-Scale Retail Arena (CP Extra)

ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร ซีพี แอ็กซ์ตร้า
ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร ซีพี แอ็กซ์ตร้า

ในสมรภูมิค้าปลีกขนาดมหึมา ภารกิจของซีพี แอ็กซ์ตร้า คือการลดคาร์บอนจำนวนมหาศาลกว่า 200,000 ตัน ดร.อนันต์ วัชรพงษ์วินิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายก่อสร้างและบริหารทรัพยากรอาคาร ได้เปิดเผยถึงความท้าทายมหาศาลขององค์กรที่มีสาขากว่า 2,600 แห่ง และมีอาคารขนาดใหญ่ราว 600 แห่ง ซึ่งมีเป้าหมาย Net Zero ที่ชัดเจน แม้เดิมทีจะมีระบบจัดการอาคาร (BMS) อยู่แล้ว แต่ก็เป็นการทำงานแบบตั้งค่าตามฤดูกาลซึ่งไม่ยืดหยุ่นพอ การมาของ AI จึงเป็นการพลิกโฉมครั้งใหญ่ โดยเริ่มจากจุดที่ใช้พลังงานมากที่สุดคือ “ระบบปรับอากาศ” ซึ่งคิดเป็น 40% ของพลังงานทั้งหมด

AI ได้เข้ามาควบคุมการทำงานให้สอดคล้องกับจำนวนลูกค้าและสภาพอากาศจริงแบบเรียลไทม์ ทำให้ลูกค้าได้รับ “สภาวะน่าสบาย” ที่คงที่เสมอ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นชัดเจนเป็นรูปธรรม ด้วยการลดคาร์บอนได้ถึง 200,000 ตันต่อปี และสร้างผลตอบแทนทางการเงินจากการประหยัดค่าใช้จ่ายได้กว่า 165 ล้านบาทต่อปี

เป้าหมายต่อไปคือการนำ AI ไปใช้กับระบบแสงสว่างโดยใช้เทคโนโลยี Heatmap เพื่อปรับความสว่างตามจำนวนคนในแต่ละพื้นที่ และที่ท้าทายที่สุดคือ “ระบบทำความเย็น” ซึ่งทำงานตลอด 24 ชั่วโมงและเกี่ยวข้องกับคุณภาพสินค้าโดยตรง โดย AI จะต้องบริหารจัดการการใช้พลังงานในตู้แช่ให้ต่ำที่สุดโดยไม่กระทบต่อความสดใหม่ของสินค้า ซึ่งทั้งหมดนี้คือบทพิสูจน์ของการวางกลยุทธ์ระยะยาวที่ใช้เทคโนโลยีเป็นหัวหอก

‘เทคโนโลยีลดโลกร้อน’ AI, IoT, และ Big Data ช่วยโลกได้อย่างไร

สมรภูมิที่ 2: The Mission-Critical Healthcare Zone (โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง)

ดร.สานิตย์ แสงขาม ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนงานบริการ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง
ดร.สานิตย์ แสงขาม ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนงานบริการ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง

สำหรับสมรภูมิที่ “ความผิดพลาด” ต้องเท่ากับ “ศูนย์” ภารกิจของโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง คือการพลิกวิกฤติสู่รางวัล ดร.สานิตย์ แสงขาม ผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุนงานบริการ ได้เล่าถึงเส้นทางที่เริ่มต้นจากการถูกบังคับโดยกฎเกณฑ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ และความท้าทายแรก คือคาร์บอนฟุตพริ้นท์กว่า 6,000 ตัน ที่ต้องชดเชยด้วยการปลูกป่าเทียบเท่าระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงหัวหิน

พวกเขาเริ่มต้นด้วย “การจดมือ” ให้วิศวกรบันทึกข้อมูลทุก 2 ชั่วโมง ซึ่งแม้จะเป็นงานที่หนักหนาสาหัส แต่ก็พิสูจน์ให้เห็นผลลัพธ์จากการลดค่าไฟจาก 4.5 ล้านบาทเหลือ 2.6 ล้านบาทต่อเดือนได้ จนกระทั่งวิกฤติมาเยือนเมื่อทีมงานถูกลดจาก 24 เหลือ 2 คน ทำให้เกือบต้องล้มเลิกโครงการ

การมาของ AI เข้ามาแทนที่กระบวนการที่เสี่ยงต่อความผิดพลาดของมนุษย์ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ความแม่นยำหมายถึงชีวิต เช่น ห้องปฏิบัติการ IVF ที่ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจหมายถึงการสูญเสียที่ประเมินค่าไม่ได้ ผลลัพธ์ที่ได้ คือการพลิกวิกฤติขาดแคลนบุคลากรให้กลายเป็นโอกาสในการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี สามารถประหยัดค่าไฟได้สูงสุดถึง 1.7 ล้านบาท แม้ในเดือนที่ร้อนที่สุด และยังสะท้อนวัฒนธรรมการประหยัด ผ่านการสลับการทำงานของลิฟต์ 11 ตัว และการใช้เซ็นเซอร์กับบันไดเลื่อน 12 ชุด บทพิสูจน์ขั้นสุดท้ายคือการคว้า รางวัลสถานประกอบการระดับดีเด่นด้านการจัดการมลพิษ มาครองได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

แปลงผลลัพธ์สู่ความได้เปรียบที่ยั่งยืน

ท้ายที่สุดแล้ว การนำ AI มาใช้ไม่ใช่แค่การติดตั้งเทคโนโลยี แต่คือการเก็บเกี่ยวผลลัพธ์เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจที่ยั่งยืนใน 3 มิติสำคัญ

มิติที่ 1: ความได้เปรียบด้านการเงินและเศรษฐศาสตร์ AI ได้เปลี่ยนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ผันผวนและควบคุมได้ยาก ให้กลายเป็นผลกำไรที่เกิดจากการประหยัดซึ่งสามารถวัดผลและพยากรณ์ได้อย่างชัดเจน (Measurable ROI) เงินจำนวนมหาศาลที่เคยจ่ายเป็นค่าไฟ สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นงบประมาณเพื่อการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือแม้กระทั่งจัดสรรเป็นโบนัสเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้แก่พนักงาน การทำเพื่อความยั่งยืนจึงไม่ใช่ต้นทุนอีกต่อไป แต่เป็นการสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินให้แก่องค์กรโดยตรง

มิติที่ 2: ความได้เปรียบด้านปฏิบัติการและกลยุทธ์ การมีสมองกล AI เข้ามาดูแลระบบที่ซับซ้อน ช่วยยกระดับการทำงานของบุคลากรได้อย่างมหาศาล ทีมวิศวกรจะหลุดพ้นจากภาระงานซ้ำซ้อนที่ต้องคอยเฝ้าระวังและจดบันทึก เปลี่ยนบทบาทจากผู้ตามแก้ปัญหาไปสู่นักวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่ใช้ข้อมูลจาก AI เพื่อวางแผนการบำรุงรักษา พัฒนากระบวนการ และมองหาโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพในจุดอื่น ๆ ต่อไป สิ่งนี้ไม่เพียงแต่สร้างความเสถียรและความต่อเนื่องทางธุรกิจ แต่ยังเป็นการปลดปล่อยศักยภาพสูงสุดของคนในองค์กร

มิติที่ 3: ความได้เปรียบด้านแบรนด์และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การลงมือทำจริงจนเกิดผลลัพธ์ที่จับต้องได้ คือการสื่อสารที่ทรงพลังที่สุดที่องค์กรสามารถทำได้ มันสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักลงทุนและกรรมการบริษัทที่เห็นตัวเลขผลตอบแทนชัดเจน ลูกค้าที่ได้รับบริการและสินค้าที่ดีขึ้นในสภาพแวดล้อมที่น่าสบาย ไปจนถึงสังคมในวงกว้างที่ได้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น การสร้างธุรกิจให้เติบโตควบคู่ไปกับการดูแลโลก จึงเป็นรากฐานของการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง น่าเชื่อถือ และเป็นที่รักในระยะยาว

การเดินทางสู่ Net Zero ด้วย AI จึงไม่ใช่การเดินทางที่เต็มไปด้วยต้นทุน แต่คือการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุด เพื่อสร้างองค์กรที่แข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ และพร้อมสำหรับทุกความท้าทายในอนาคต

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AIS และ PJ Wood กับการขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลด้วย SAP และ AI ก้าวสู่ ‘องค์กรอัจฉริยะ’

5 บทเรียนความสำเร็จ 10 ปี FlowAccount สตาร์ตอัพ SaaS ไทย

×

Share

ผู้เขียน