Share on
×

Share

GCNT Expo 2025: ภาคเอกชนชู 7T เร่งเครื่อง SDGs สู้ความท้าทาย AI

ณ จุดบรรจบของการครบรอบ 25 ปี UN Global Compact และเวลาที่เหลืออีกเพียง 5 ปีสู่เส้นตายของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (GCNT) ได้เปิดฉากงาน “GCNT Expo 2025” อย่างยิ่งใหญ่ พร้อมส่งสารที่ชัดเจนและเร่งด่วนถึงสังคมไทยว่า โลกและประเทศไทยกำลังเดินทางเข้าใกล้ “จุดวิกฤติ” (Breaking Point) ที่ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคม GCNT กล่าวสุนทรพจน์เปิดงาน สะท้อนภาพความเป็นจริงที่น่ากังวลว่า ทั่วโลกบรรลุเป้าหมาย SDGs ไปได้เพียง 18% เท่านั้น การจัดงานครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการจุดพลุระดมพลังครั้งสำคัญของภาคเอกชนกว่า 130 องค์กรพันธมิตร เพื่อร่วมกัน “Move Forward Faster” หรือก้าวไปข้างหน้าให้เร็วยิ่งขึ้น

ความท้าทายซ้อนทับ: จาก SDGs สู่สมรภูมิ AI

นอกเหนือจากแรงกดดันด้านเวลาในการบรรลุเป้าหมาย SDGs แล้ว ศุภชัยได้เน้นย้ำว่า โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายระลอกใหม่ที่ทรงพลัง อย่างการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digitalization) โดยมีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นตัวเร่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ

ศุภชัย ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบที่น่าตระหนกจากรายงานของนิตยสาร Forbes ที่ตอกย้ำว่านี่คือความท้าทายที่ต้องรับมืออย่างจริงจัง Goldman Sachs คาดการณ์ว่า AI จะส่งผลกระทบโดยตรงต่องานกว่า 300 ล้านตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็น 1 ใน 4 ของตำแหน่งงานทั้งหมด

ภาพอนาคตยิ่งน่ากังวลขึ้น เมื่อมีการคาดการณ์ว่าภายในปี ค.ศ. 2045 (พ.ศ. 2588) ตำแหน่งงานกว่าครึ่งหนึ่งของโลก จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ขณะที่ CEO ของ BlackRock ประเมินว่า AI จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะในสายงานการเงินและกฎหมาย ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในปี ค.ศ. 2035 หรือในอีกเพียง 10 ปีข้างหน้า

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายของ AI ไม่ได้มีเพียงมิติของตลาดแรงงานเท่านั้น แต่ยังแฝงไปด้วยโจทย์ใหญ่ที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังเทคโนโลยี ได้แก่ ความต้องการพลังงานสะอาดอันมหาศาล การพัฒนาและใช้งาน AI โดยเฉพาะการประมวลผลใน Data Center จำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล ซึ่งสร้างแรงกดดันให้โลกต้องเร่งเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดให้เร็วยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้การพัฒนาเทคโนโลยีกลับมาทำลายสิ่งแวดล้อม

การกำกับดูแลเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ความสามารถของ AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้เกิดคำถามสำคัญถึงแนวทางการกำกับดูแล (Governance) เพื่อให้มั่นใจว่า AI จะถูกนำไปใช้ในทางที่สร้างสรรค์ เป็นธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมโดยรวม ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง

การเตรียมความพร้อมของบุคลากร สถาบันการศึกษาและภาคเอกชนต้องร่วมมือกันอย่างเร่งด่วน เพื่อยกเครื่องระบบการศึกษาและพัฒนาทักษะแรงงาน ให้คนรุ่นใหม่สามารถปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มศักยภาพ แทนที่จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี

“7T” โมเดลพลิกฟื้นประเทศไทย

ท่ามกลางวิกฤติที่ซ้อนอยู่ GCNT ได้เสนอแนวทาง “7 Transformations” หรือ “7T” เพื่อเป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยสู่ความยั่งยืน ซึ่งแต่ละด้านมีความสำคัญในการพลิกฟื้นประเทศดังนี้

  1. Table (อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตรแห่งอนาคต) : พัฒนาภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้ก้าวสู่ระดับโลก ด้วยนวัตกรรมและความยั่งยืน สร้างความมั่นคงทางอาหารและเป็นครัวของโลกที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ
  2. Tourism (การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน) : ต่อยอดจุดแข็งด้านการท่องเที่ยวของไทย โดยเน้นการท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม กระจายรายได้สู่ชุมชน และรักษามรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติให้คงอยู่ต่อไป โดยสองมิติแรกนี้ (Table และ Tourism) ถือเป็นหัวใจสำคัญในการ เสริมสร้าง Soft Power ของประเทศ ให้เป็นที่ประจักษ์และสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม
  3. Tech (เทคโนโลยีเพื่อความยั่งยืน) : สนับสนุนการใช้และพัฒนาเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น AI, IoT หรือเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกื้อกูลต่อเป้าหมายความยั่งยืน
  4. Trade (การค้า การบริการ และการเงิน) : พัฒนาระบบการค้า การบริการ การขนส่ง และการเงินของประเทศให้เชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
  5. Talent (การลงทุนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์) : ให้ความสำคัญสูงสุดกับการลงทุนใน “คน” ทุกกลุ่ม ทุกวัย และทุกพื้นที่ เพื่อให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ มีทักษะที่จำเป็นสำหรับโลกยุคใหม่ โดยเฉพาะทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ควบคู่ไปกับการปลูกฝังจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม และความยั่งยืน
  6. Transition (การปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจอย่างเป็นธรรม) : ผลักดันการเปลี่ยนผ่านโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ที่พึ่งพาพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาด โดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม (Just Transition) ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้ประกอบการรายย่อย (SME) ให้เติบโตไปพร้อมกัน
  7. Trust (การสร้างความเชื่อมั่นและธรรมาภิบาล) : สร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้เกิดขึ้นในระบบเศรษฐกิจและสังคม ผ่านการดำเนินงานที่โปร่งใสยึดหลักธรรมาภิบาล และมีระบบการตรวจสอบที่เข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานที่มั่นคงของการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน

ลงลึกในทางปฏิบัติ: จาก “Trust” สู่ “Talent”

ศุภชัยได้เจาะลึกถึงแนวทางการนำ 2 องค์ประกอบสำคัญอย่าง Trust และ Talent ไปสู่การปฏิบัติจริงอย่างเป็นรูปธรรม ในมิติของ Trust (การสร้างความเชื่อมั่น) กลไกตลาดทุนจะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และ ก.ล.ต. จะต้องส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนเปิดเผยข้อมูล จัดทำรายงาน และวางเป้าหมายด้าน SDGs อย่างเป็นระบบ ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่งที่ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 200 แห่งเข้าร่วมการจัดทำ ESG Ratings และมีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกปี ถือเป็นการ “ใช้กลไกตลาดเพื่อแข่งขันทำความดี” สร้างความโปร่งใสให้เกิดขึ้น โดยสมาคมฯ หวังว่าจะสามารถสร้างแรงจูงใจให้บริษัทจดทะเบียนทั้งหมดเข้าร่วม และขยายผลไปสู่บริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน

นอกจากนี้ ในระดับประเทศ ต้องผลักดันให้เกิดระบบนิเวศอย่าง e-Government เต็มรูปแบบ ส่งเสริมการใช้ Digital ID และการเข้าสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ซึ่งจะช่วยลดปัญหาระบบเศรษฐกิจใต้ดินที่เคยมีการประเมินว่ามีมูลค่าสูงถึง 50% ของ GDP ประเทศ

สำหรับมิติของ Talent (การพัฒนาคน) ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของประเทศ ศุภชัยย้ำว่า การลงทุนในคน โดยเฉพาะเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุด เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืน แนวทางปฏิบัติประกอบด้วย

  • สร้างบุคลากรแบบสั่งตัด : สมาคมฯ ได้ร่วมลงนาม MOU กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดตั้งหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการเพื่อความยั่งยืน เพื่อผลิตบัณฑิตที่พร้อมทั้งความสามารถ ประสบการณ์ และจริยธรรม ตอบโจทย์ความต้องการของภาคเอกชนโดยตรง และพร้อมที่จะขยายผลหลักสูตรนี้ไปสู่สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ทั่วประเทศ
  • สร้างศูนย์การเรียนรู้ระดับจังหวัด : เสนอให้จัดตั้ง Learning Centers ในโรงเรียนและสถานประกอบการทุกจังหวัด เพื่อนำเป้าหมาย SDGs ทั้ง 17 ข้อไปปลูกฝังแก่เยาวชน ให้คิดเป็น ทำเป็น เน้นการปฏิบัติ และส่งเสริมจินตนาการเพื่อแก้ปัญหารอบตัวในชุมชน สร้างจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมภายใต้ภาษาสากลที่เรียกว่า SDGs
  • เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ : ต้อนรับเยาวชนนับพันคนจากมหาวิทยาลัย สถาบันอาชีวศึกษา และโครงการ SDG Young Creators ให้เข้ามามีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในงาน Expo ซึ่งมีมากกว่า 100 เวที เพื่อรับฟังเสียงและพลังของคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

สันติภาพ: รากฐานของความยั่งยืน

เหตุการณ์ความขัดแย้งต่าง ๆ ทั่วโลกได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่า การสู้รบส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ต้นทุนการผลิต และการดำเนินธุรกิจขององค์กรทุกขนาด ดังนั้นจึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สันติภาพและความมั่นคงคือรากฐานที่สำคัญที่สุดของการพัฒนาเศรษฐกิจและความยั่งยืน ด้วยเหตุนี้เอง เป้าหมายความยั่งยืน SDG ข้อที่ 16 ว่าด้วยสังคมสงบสุข ยุติธรรม และสถาบันที่เข้มแข็ง จึงยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้นในยุคปัจจุบัน

สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยยังคง เชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยและประเทศไทย ที่จะสามารถก้าวข้ามทุกปัญหาและอุปสรรคที่เผชิญอยู่ได้

หัวใจสำคัญคือการเร่งพลิกทุกวิกฤติให้เป็นโอกาสซึ่งต้องอาศัยการลงมือทำอย่างจริงจังและพร้อมเพรียงกันในหลายมิติ ตั้งแต่การฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจบนหลักธรรมาภิบาล การขจัดความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างคนที่ตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ ไปจนถึงการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Unilever – CP Group เผยกลยุทธ์ ‘นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน’

ถอดรหัสธุรกิจ SaaS ฉบับไทย: ‘ไผท ผดุงถิ่น’ กับวิวัฒนาการจากซอฟต์แวร์กล่องสู่โมเดลที่ยั่งยืน

การขับเคลื่อนความยั่งยืนสู่กลยุทธ์องค์กรหนึ่งเดียว

×

Share

ผู้เขียน