ทุกวันนี้ ภาพของขยะพลาสติกที่ลอยเกลื่อนในทะเล ไม่ได้เป็นเพียงภาพที่น่าสลดใจ แต่คือสัญญาณเตือนภัยสีแดงฉาน ที่สะท้อนกลับมายังพฤติกรรมของมนุษย์บนบกโดยตรง ด้วยจำนวนขยะกว่า 13 ล้านตันที่รั่วไหลลงสู่มหาสมุทรทั่วโลกในแต่ละปี วิกฤตการณ์นี้กำลังกัดกร่อนระบบนิเวศ และย้อนกลับมาส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เวทีเสวนา “โต้คลื่นขยะ แก้ปัญหาขยะพลาสติก และวิกฤติทางทะเล” ได้นำสองมุมมองที่แตกต่างแต่มีเป้าหมายร่วมกันมาบรรจบกัน คือ วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักทำสารคดีเจ้าของช่องเถื่อน Channel และนักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม และ ปราชญ์ เกิดไพโรจน์ ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน ธุรกิจ Pet, Feed และ Marine Ingredient บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ทั้งสองได้มาเผยให้เห็นถึงรากลึกของปัญหา และแนวทางแก้ไขที่ต้องไปไกลกว่าแค่การรณรงค์สร้างจิตสำนึก
กับดักของความตั้งใจดี: เมื่อจิตสำนึกเป็นแค่หยดน้ำ
ประเด็นที่น่าสนใจที่สุด คือการทลายความเชื่อดั้งเดิมที่ว่า ปัญหาขยะเป็นเรื่องของความรับผิดชอบส่วนบุคคล วรรณสิงห์ ผู้ที่เคยเชื่อมั่นและทุ่มเทกับการสร้างความตระหนักรู้ (Raise Awareness) มาหลายปี กลับตกผลึกจากการลงพื้นที่จริงและเรียนรู้ปัญหาอย่างลึกซึ้งว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเชื่องช้าเกินไป เปรียบเสมือนความพยายามสร้างการรับรู้ให้ได้ 100% แต่กลับขยับได้เพียงปีละ 0.1-0.2% เท่านั้น
“ต่อให้พวกเราทุกคนพกถุงผ้า ใช้ซ้ำคนละอย่างน้อย 7,000 ครั้ง พกแก้วน้ำอยู่แก้วเดียวแล้วใช้เป็นพัน ๆ ครั้ง ก็อาจจะมีคนทำด้วยความสมัครใจแค่หลักแสนคน แต่เราต้องการคน 70 กว่าล้านคน”
นี่คือที่มาของบทสรุปที่ท้าทายความรู้สึกของใครหลายคนว่า “จิตสำนึกเป็นแค่ 0.00001% ของทางออก” ไม่ใช่เพราะการทำดีเป็นสิ่งไร้ค่า แต่เพราะพลังของปัจเจกบุคคลนั้นเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับขนาดของปัญหาเชิงโครงสร้าง และต้องยอมรับความจริงว่า สำหรับคนทั่วไปแล้ว การดูแลปากท้องและครอบครัวย่อมมีความสำคัญมาก่อนการดูแลส่วนรวมเสมอ การจะรอให้ทุกคนมีจิตสำนึกพร้อมกันจึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ดังนั้น การจะเปลี่ยนพฤติกรรมคนทั้งสังคมได้ ต้องอาศัยกลไกที่ทรงพลังกว่านั้น นั่นคือ นวัตกรรม กฎหมาย และเศรษฐศาสตร์
จากมือถึงทะเล: เจาะรูรั่วระบบจัดการขยะไทย

หากจิตสำนึกไม่ใช่คำตอบ แล้วรากของปัญหาอยู่ที่ไหน? วรรณสิงห์ได้ชำแหละให้เห็น “รูรั่ว” ของระบบการจัดการขยะไทยที่ล้มเหลวตลอดทั้งกระบวนการ ตั้งแต่ขยะยังอยู่ในมือเราจนกระทั่งมันรั่วไหลลงสู่ทะเล
ต้นทาง : การผลิตและบริโภคที่ไร้การควบคุม ประเทศไทยยังขาดกฎหมายบังคับใช้เพื่อลดพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งอย่างจริงจัง มีเพียง “การขอความร่วมมือ” ที่ไม่มีบทลงโทษ ทำให้พฤติกรรมการบริโภคยังคงเดิม วรรณสิงห์ยกตัวอย่างที่เห็นภาพชัดคือ การซื้อกาแฟแก้วเดียว แต่ได้ขยะพลาสติกถึง 4 ชิ้น คือ แก้ว ฝา หลอด และ “ถุงหิ้วแก้วน้ำ” ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่แทบไม่พบในประเทศอื่น เมื่อขยะถูกสร้างขึ้นมาแล้ว การแยกขยะที่ต้นทางก็ไม่มีประสิทธิภาพเพราะขาดแรงจูงใจทางกฎหมายและมักปนเปื้อนเศษอาหารจนนำไปรีไซเคิลได้ยาก
กลางทาง : การเมืองท้องถิ่นและงบประมาณที่ผิดจุด เมื่อขยะถูกทิ้งลงถัง ภาระจะตกอยู่กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งมีปัญหาเชิงโครงสร้างซ้อนอยู่ งบประมาณส่วนใหญ่ที่ได้รับจากส่วนกลางมักจะหมดไปกับ “การจัดเก็บและขนส่ง” เช่น การซื้อรถขยะ หรือจ้างเอกชนมาเก็บขยะ ทำให้ไม่เหลืองบประมาณหรือแรงจูงใจไปจัดการที่ต้นทางอย่างการส่งเสริมการแยกขยะ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ “การเมืองท้องถิ่น” เจ้าหน้าที่หลายคนไม่กล้าออกเทศบัญญัติเพื่อบังคับหรือลงโทษคนไม่แยกขยะ เพราะกลัวจะกระทบฐานเสียงของตัวเอง
ปลายทาง : บ่อขยะที่กลายเป็นต้นกำเนิดขยะลงทะเล นี่คือจุดที่อันตรายที่สุด ขยะที่ถูกรวบรวมมาส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าสู่โรงเผาหรือกระบวนการรีไซเคิลที่มีมาตรฐาน แต่จะไปจบที่บ่อฝังกลบ ซึ่งน่าตกใจว่าส่วนมากเป็นเพียง ลานทิ้งขยะกลางแจ้ง (Open Dump Site) ไม่ใช่บ่อฝังกลบถูกหลักสุขาภิบาล
วรรณสิงห์ย้ำว่า “นี่คือต้นเหตุหลักของขยะลงทะเล” เพราะเมื่อฝนตกหรือน้ำท่วม น้ำจะชะล้างขยะพลาสติกจากกองขยะมหาศาลเหล่านี้ให้ไหลลงสู่คูคลอง แม่น้ำ และออกสู่ทะเลในที่สุด
เมื่อธุรกิจตื่นตัว แต่ไปต่อไม่ได้หากไร้ ‘กติกา’
ในขณะที่ภาครัฐยังคงติดหล่มปัญหาเชิงโครงสร้าง มุมมองจากภาคธุรกิจอย่างคุณปราชญ์ กลับแสดงให้เห็นถึงการ “ตื่นตัว” อย่างเป็นรูปธรรม ไทยยูเนี่ยนในฐานะผู้ผลิตอาหารทะเลรายใหญ่ ตระหนักดีว่าธุรกิจของพวกเขาจะอยู่รอดไม่ได้หากทะเลตาย จึงริเริ่มการเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรอย่างจริงจัง
ภายในโรงงานมีการตั้งเป้าหมายใหญ่ “Zero Waste to Landfill” เพื่อไม่ให้มีขยะไปสู่บ่อฝังกลบ และหันมาพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ เช่น เทคโนโลยี “Eco Twist” ที่เลิกใช้ฟิล์มพลาสติกหุ้มกระป๋อง ซึ่งช่วยลดขยะได้ถึง 400 ตันต่อปี ส่วนภายนอก ก็จับมือกับพันธมิตรลงมือแก้ปัญหาเชิงรุก ตั้งแต่การสนับสนุนการเก็บขยะในทะเลโดยตรงร่วมกับองค์กร Second Life, การใช้นวัตกรรมเรือพลังงานแสงอาทิตย์ดักขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาร่วมกับ Seven Clean Seas ไปจนถึงการใช้เทคโนโลยีโดรนเพื่อตามหาและเก็บกู้ “แหอวนผี” ใต้น้ำร่วมกับองค์กร ARI
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยอมรับว่าความพยายามทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนน้ำหยดเล็กๆ ในมหาสมุทร และชี้ให้เห็นความจริงที่สำคัญว่า การที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงเพียงลำพังนั้นมีความเสี่ยงสูง เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้เสียเปรียบในการแข่งขัน สิ่งที่ภาคธุรกิจต้องการจึงไม่ใช่แค่คำชื่นชม แต่คือ “กติกาที่เท่าเทียม (Level Playing Field)” ที่มาจากกฎหมาย เพื่อบังคับให้ทุกบริษัทต้องปรับตัวไปในทิศทางเดียวกัน คุณปราชญ์ยกตัวอย่างที่ทรงพลังที่สุดคือ “เมื่อสหภาพยุโรป (EU) ออกกฎหมายบังคับให้บรรจุภัณฑ์ต้องรีไซเคิลได้ภายในปี 2030 ลูกค้าที่ไม่เคยสนใจก็ตื่นตัวและหันมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงจากผู้ผลิตทันที” นี่คือบทพิสูจน์ว่า “กฎหมาย” คือกลไกที่มีพลังขับเคลื่อนตลาดทั้งระบบได้อย่างที่การรณรงค์ใดๆ ก็ไม่อาจเทียบได้
ลำพังความตั้งใจดีของปัจเจกบุคคลนั้นไม่เพียงพออีกแล้ว ทางออกที่แท้จริงของวิกฤติขยะทะเลที่ทั้งนักกิจกรรมและยักษ์ใหญ่ทางธุรกิจเห็นพ้องต้องกัน คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่ขับเคลื่อนด้วยกฎหมายที่เฉียบขาด นวัตกรรมที่ถูกบังคับให้เกิด และนโยบายที่มองการณ์ไกล เพราะท้ายที่สุดแล้ว การรักษาท้องทะเลไว้ไม่ใช่ภาระของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทั้งสังคมที่ต้องถูกกำกับด้วยกติกา ไม่ใช่แค่ความสมัครใจ
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
VOICERA จับมือ BOTNOI เป็นพันธมิตร ให้บริการโซลูชัน AI ครบวงจรสำหรับองค์กร
อนาคตประเทศไทย บนสนามแข่งเทคฯโลก: ‘ซิกเว่ เบรกเก้’ ชี้ AI คือเดิมพันครั้งสำคัญที่ต้องชนะ