ในยุคที่ทุกการบริโภคสะท้อนตัวตนและมุมมองที่เรามีต่อโลก คำว่า “ความงาม” กำลังถูกตีความใหม่อย่างลึกซึ้ง จากเดิมที่เคยวัดกันเพียงรูปลักษณ์ภายนอก สู่ “ความงามที่มีความหมาย” ซึ่งหมายถึงความงามที่ไม่ได้สร้างประโยชน์แค่กับตัวเรา แต่ยังต้องโอบอุ้มและใส่ใจโลกใบนี้ไว้ด้วย เทรนด์ Sustainable Beauty หรือความงามที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่แค่กระแสที่ผ่านมาแล้วผ่านไป แต่ได้กลายเป็นเมกะเทรนด์ที่ทั้งแบรนด์ยักษ์ใหญ่และผู้บริโภคทั่วโลกต้องหันมาปรับตัวและเรียนรู้ไปด้วยกัน
บทสนทนาบนเวทีเสวนา “Green Glam จากห้องแต่งหน้าสู่โลกที่ยั่งยืน” ในงาน GCNT Expo 2025 ได้สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางของนิยามความงามที่เปลี่ยนไป ผ่านมุมมองของผู้หญิงผู้ทรงอิทธิพลสองท่าน คือ อรอนงค์ ประทักษ์พิริยะ ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการองค์กรและสื่อสารสัมพันธ์ ลอรีอัล ประเทศไทย และ อมตา จิตตะเสนีย์ (แพรี่พาย) ผู้ก่อตั้ง Pearypie Sky Garden และนักวิจัยระดับปริญญาเอกด้านพืชเครื่องสำอางพื้นบ้าน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
จาก “ความงามเพื่อตัวเอง” สู่ “ความงามเพื่อโลก”
อรอนงค์เริ่มต้นด้วยการพาเราย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์กว่า 300,000 ปี ที่มนุษย์เริ่มใช้ดินสีต่าง ๆ มาตกแต่งร่างกาย แสดงให้เห็นว่าความงามนั้นหยั่งรากลึกในอารยธรรมของเรามาอย่างยาวนาน ความงามไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวไปพร้อมกับสังคมและยุคสมัย และได้กลายเป็นเครื่องมือในการขับเคลื่อนสังคม (Social Movement) ครั้งสำคัญ เช่น ในปี 1920 ที่ผู้หญิงลุกขึ้นมาตัดผมบ๊อบสั้นเพื่อปลดแอกตัวเองจากกรอบเดิม ๆ หรือในยุค 70 ที่ผู้ชายไว้ผมยาวเพื่อสื่อถึงความลื่นไหลทางเพศภาวะ (Gender Fluidity)
เรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดคือบทบาทของ “ลิปสติก” ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รัฐบาลของวินสตัน เชอร์ชิล และกาชาดใช้เป็นเครื่องมือเสริมสร้างขวัญและพลังใจให้กับผู้หญิงที่ทำงานในช่วงสงคราม ความงามในวันนั้นจึงเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความเข้มแข็ง
จวบจนปัจจุบันความงามคือเครื่องมือที่เราใช้แสดงออกถึงตัวตนในเวอร์ชันที่ดีที่สุด แต่เมื่อโลกกำลังเผชิญกับวิกฤติด้านสิ่งแวดล้อม ความงามจึงไม่สามารถเป็นแค่เรื่องภายนอกได้อีกต่อไป อรอนงค์ย้ำว่าความงามต้องสร้างผลกระทบเชิงบวก ทำให้ปัจจัยในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้บริโภคเปลี่ยนไป จากเดิมที่มองแค่ ประสิทธิภาพ คุณภาพ และความปลอดภัยวันนี้ต้องมีมิติที่ 4 เพิ่มขึ้นมา นั่นคือ ความยั่งยืน
ในขณะที่แพรี่พายได้แบ่งปันเรื่องราวการเดินทางส่วนตัวที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เธอยอมรับว่าในวัย 20 ต้น ๆ ที่เป็นบิวตี้ครีเอเตอร์ชื่อดัง เธอไม่เคยใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมเลย ชีวิตวนเวียนอยู่กับการตามเทรนด์ และความโลภมากที่อยากจะได้ทุกอย่างทุกคอลเลคชั่น จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้นและได้ออกไปเผชิญความจริงนอกโลกแฟชั่น เธอได้เห็น “ภูเขาขยะ” ขนาดมหึมาบนเกาะเต่า และ “ภูเขาหัวโล้น” ที่จังหวัดน่าน ภาพเหล่านั้นสร้างความตระหนักรู้และทำให้เธอเริ่มตั้งคำถามถึงความหมายของชีวิต
เธอตัดสินใจเดินถอยหลังออกมาจากโลกแห่งความเร็วของอุตสาหกรรมความงาม เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิตและค้นหาสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เปรียบเหมือนการเพิ่มบทใหม่ให้กับหนังสือชีวิตของตัวเอง บทที่ว่าด้วยการกลับคืนสู่ธรรมชาติ การกินอาหารตามฤดูกาล และการเห็นคุณค่าของภูมิปัญญาท้องถิ่น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายในที่สะท้อนออกมาสู่การใช้ชีวิตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
สวย มีสไตล์ และยั่งยืน คือเรื่องเดียวกัน
หลายคนอาจติดภาพว่าการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน คือการละทิ้งสไตล์และความสวยงาม แต่แพรี่พายคือข้อพิสูจน์ที่มีชีวิตว่าแนวคิดนั้นไม่จริง “ปัจจุบันแพรทำสวนดาดฟ้ามา 5 ปี ก็ยังถือว่าตัวเองเป็นคนสวนที่ยังเป็นคนสวยอยู่” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม เธอยังคงดูแลผิวพรรณ ยังรักการแต่งตัวและแต่งหน้า แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือมุมมองและวิธีการเลือก
เธอเปลี่ยนจากการวิ่งตามฟาสต์แฟชั่น มาสู่สโลว์แฟชั่น ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราวและคุณค่าที่แท้จริงแทนที่จะซื้อของตามคอลเลคชันใหม่ ๆ เธอเลือกที่จะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ตัวอย่างที่น่าทึ่งคือกระโปรงผ้าไหมมัดหมี่ทอมือจากจังหวัดสุรินทร์ที่เธอสวมใส่ ซึ่งไม่ได้เป็นแค่ผ้าผืนงาม แต่เต็มไปด้วยเรื่องราวของภูมิปัญญา
“ผ้าผืนนี้ย้อมด้วยสีธรรมชาติจากเปลือกเงาะ” เธอเล่าถึงกระบวนการที่น่าทึ่ง ตั้งแต่การนำเปลือกเงาะที่มีสารแทนนินมาต้ม ย้อมเส้นไหม แล้วนำไปหมักโคลน ซึ่งทั้งหมดนี้ “ทั้งหมู่บ้านมาช่วยกันทำ” การได้รู้และเห็นกระบวนการเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกผูกพันและเห็นคุณค่าของเสื้อผ้าแต่ละชิ้นอย่างลึกซึ้ง
ปรัชญาของเธอไม่ใช่การปฏิเสธของแบรนด์เนม แต่คือการเห็นคุณค่าและใช้งานอย่างยาวนาน “หมวกใบนี้ก็ใช้มาหลายปีมาก ๆ ซื้อหนึ่งอันแต่ถ้าเราเห็นคุณค่า มันสามารถอยู่กับเราได้เป็น 10 ปี” นี่คือหัวใจของความยั่งยืนที่แท้จริง และสไตล์ที่เท่ที่สุดอาจเกิดจากการผสมผสานอย่างสร้างสรรค์ เธอยกตัวอย่างอย่างเห็นภาพว่า “เพิ่งซื้อแว่น Miu Miu มาอันนึง แล้วเอามาใส่กับผ้าทอไทยแล้วรู้สึกว่าโคตรเท่” นี่คือบทสรุปของ Green Glam ที่ความงาม สไตล์ และจิตสำนึกเพื่อโลกสามารถหลอมรวมเป็นเรื่องเดียวกันได้อย่างลงตัว
เบื้องหลังความงาม: เมื่อยักษ์ใหญ่ขับเคลื่อนโลกที่ยั่งยืน
ในฐานะบริษัทความงามระดับโลก ลอรีอัล ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความยั่งยืนอย่างเป็นระบบภายใต้โครงการ “L’Oréal for the Future” ซึ่งตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนและตรวจสอบได้ใน 4 เสาหลัก ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
เสาแรก คือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในทุกกระบวนการ โดยตั้งเป้าใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในโรงงานและสำนักงานทั้งหมดภายในปี 2025 รวมถึงการขนส่งที่เริ่มใช้รถบรรทุกไฟฟ้า (EV) และตั้งเป้าลดการขนส่งทางอากาศ (Air Freight) ให้เป็นศูนย์ เพื่อลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ให้มากที่สุด
เสาที่สอง คือการพิทักษ์ธรรมชาติและทรัพยากร เมื่อส่วนผสมจำนวนมากมาจากธรรมชาติ ลอรีอัลจึงตั้งเป้าหมายที่ท้าทายว่า ภายในปี 2030 ส่วนผสม 75% ในผลิตภัณฑ์จะต้องมาจากแหล่งชีวภาพ (Bio-based) หรือแร่ธาตุที่มีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ และต้องผ่านการจัดหามาอย่างยั่งยืน โดยทีมนักวิจัยและนวัตกรรมต้องทำงานอย่างหนักเพื่อรักษาสประสิทธิภาพสูงสุดของผลิตภัณฑ์ไว้
เสาที่สาม คือการผลักดันเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งเป้าลดการใช้พลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) ลง 50% และออกแบบบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดให้สามารถรีฟิล, นำกลับมาใช้ซ้ำ หรือรีไซเคิลได้ โดยมีนวัตกรรมที่น่าสนใจคือ ผลิตภัณฑ์แบบเติม (Refill) ที่ไม่ใช่แค่ถุงเติม แต่สำหรับแบรนด์หรูอย่าง YSL หรือ Lancôme จะเป็นลักษณะตลับหรือขวดที่ใส่เข้าไปในบรรจุภัณฑ์เดิมได้ ทำให้ยังคงประสบการณ์ที่สวยงามและพรีเมียมไว้ และทุกการออกแบบร้านและเคาน์เตอร์ต้องเป็นไปตามหลัก Eco-Design ใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ และประหยัดพลังงาน แสดงให้เห็นความใส่ใจในทุกรายละเอียด
เสาที่สี่ คือการสนับสนุนชุมชนและสังคม ไม่ว่าจะเป็นโครงการเพื่อสังคมโดยแบรนด์ แต่ละแบรนด์ใหญ่จะมีพันธกิจของตนเอง เช่น L’Oréal Paris ร่วมมือกับมูลนิธิรักไทยในโครงการ Stand Up, Maybelline ร่วมกับมูลนิธิสติแอปเพื่อดูแลสุขภาพจิต, และ YSL ร่วมกับมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเพื่อให้ความรู้เรื่องความรุนแรงในคู่รัก
การสร้างอาชีพผ่านโครงการสอนทักษะอาชีพเสริมสวยฟรี ร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งช่วยให้ผู้คนในพื้นที่ห่างไกลสามารถเปิดซาลอนเล็ก ๆ ในหมู่บ้านของตนเอง สร้างรายได้และอยู่กับครอบครัวได้ และการให้ทุนวิจัยเพื่อสตรีในงานวิทยาศาสตร์ (For Women in Science) เป็นโครงการที่ทำต่อเนื่องมากว่า 20 ปีในไทย เพื่อสนับสนุนและเชิดชูเกียรตินักวิทยาศาสตร์สตรี
อรอนงค์ กล่าวว่า ทั่วโลกมีนักวิทยาศาสตร์สตรีเพียง 30% และมีเพียง 3% ที่เคยได้รับรางวัลโนเบลสาขาวิทยาศาสตร์ โครงการนี้จึงมีขึ้นเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมในวงการวิทยาศาสตร์
การดำเนินงานทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าความยั่งยืนสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ไม่ใช่แค่การประชาสัมพันธ์ แต่คือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมดอย่างจริงจังและโปร่งใส
ก้าวแรกสู่ Green Glam: เริ่มต้นง่าย ๆ ที่ตัวเรา
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์สู่ความยั่งยืนอาจดูเป็นเรื่องใหญ่และท้าทาย แต่คำแนะนำจากทั้งสองท่านกลับเรียบง่ายและเปี่ยมด้วยความเข้าอกเข้าใจ
อรอนงค์เสนอจุดเริ่มต้นที่ทำได้ทันทีคือ “การบริโภคอย่างมีจิตสำนึก” หลักการง่าย ๆ คือ “ซื้ออะไรมา ก็ใช้ให้หมด” เธอเล่าว่าแม้ตนเองจะทำงานในบริษัทเครื่องสำอาง แต่ก็ตั้งใจใช้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นให้หมดจด เพราะนั่นคือการเคารพทรัพยากรทั้งหมดที่ใช้ไป และยังช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า
แนวคิดนี้ยังโยงไปถึงเรื่องอาหาร ที่เราควรตระหนักถึงคุณค่าและไม่สร้างขยะอาหารโดยไม่จำเป็น ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่ผู้ใหญ่เคยสอนว่า “กินข้าวให้หมดจาน สงสารชาวนา” เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ใช่การห้าม แต่คือการบริโภคทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด
ด้านแพรี่พายได้แบ่งปันบทเรียนที่ลึกซึ้งจากการเดินทางของเธอเอง เธอยอมรับว่าเคยหักดิบและใช้ชีวิตที่ตึงเกินไปในช่วงที่เป็นวีแกนอย่างเคร่งครัด จนกลายเป็นคนที่สร้างความลำบากใจให้ครอบครัวและไม่มีความสุขเสียเอง บทเรียนครั้งนั้นสอนให้เธอรู้ว่า ความยั่งยืนที่แท้จริงต้องยั่งยืนสำหรับชีวิตของเราด้วย ไม่ใช่การสร้างกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดจนทำลายความสัมพันธ์และความสุข
เธอเปลี่ยนมาสู่การสร้าง “ชัยชนะเล็ก ๆ” ที่น่าภาคภูมิใจ เช่น ความรู้สึกดีที่สามารถใช้ลิปสติกหนึ่งแท่งจนหมดเกลี้ยงได้เป็นครั้งแรกในชีวิต เธอย้ำว่าความยั่งยืนของแต่ละคนไม่เท่ากัน เพราะบริบทและภาระปากท้องของแต่ละคนแตกต่างกัน สิ่งสำคัญคือการเริ่มต้นจากจุดที่ตัวเองยืนอยู่ “ถ้าวันนี้เรามีกำลังพอที่จะให้ได้ ก็ให้ แต่ถ้ายังให้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องรีบ”
เธอทิ้งท้ายด้วยแนวคิดที่ทรงพลังว่า “ทุกคนมีพลังวิเศษในตัว” และสามารถใช้พลังนั้นสร้างการเปลี่ยนแปลงในแบบของตัวเองได้ อาจจะเป็นการตั้งเป้าหมายเล็ก ๆ เช่น “ไปเที่ยวทะเลครั้งนี้ จะเก็บขยะให้ได้ 50 ชิ้น” หรือ “เข้าป่าครั้งนี้ จะเรียนรู้ชื่อต้นไม้ให้ได้ 5 ชนิด” ทั้งหมดนี้คือ “ก้าวเล็ก ๆ” (Baby Steps) ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
Green Glam จึงไม่ใช่แค่เทรนด์แฟชั่น แต่คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติที่มองความงามเชื่อมโยงกับความรับผิดชอบต่อโลก เป็นความงามที่เมื่อเราส่องกระจกแล้วไม่ได้เห็นแค่ตัวเอง แต่ยังเห็นโลกที่ยั่งยืนขึ้น เพราะการกระทำของเราเอง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Unilever – CP Group เผยกลยุทธ์ ‘นวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน’
Net Zero ในทางปฏิบัติ: CP Extra และ รพ.ธนบุรีใช้ AI ลดคาร์บอน
‘เทคโนโลยีลดโลกร้อน’ AI, IoT, และ Big Data ช่วยโลกได้อย่างไร