อุตสาหกรรมอาหารมีบทบาทสำคัญต่อการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน แต่การผลิตสินค้าเกษตรอาหารส่วนใหญ่ยังเน้นผลผลิตขั้นปฐมภูมิที่มีราคาต่ำ อีกทั้งตลาดมีความต้องการไม่แน่นอน หากจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารมีความยั่งยืนและคงบทบาทสำคัญต่อไป ประเทศไทยต้องปรับโครงสร้างการผลิตเกษตรอาหารไปสู่สินค้าที่มีคุณภาพสูง (High Value Added: HVA) ซึ่งต้องอาศัยการวิจัย พัฒนา และสร้างนวัตกรรมเข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญ
การจัดตั้ง “ฟู้ดอินโนโพลิส” (Food Innopolis) มีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ดังกล่าว โดยเป็นตัวเร่งส่งเสริมนวัตกรรมอาหารมูลค่าเพิ่มสูงเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออก ส่งเสริมการลงทุนวิจัยพัฒนาและสร้างนวัตกรรมของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้น พัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมอาหารมูลค่าเพิ่มสูง
ศึกษาต้นแบบจากหลายประเทศ
เมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis เป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) เกิดขึ้นจากนโยบายคลัสเตอร์ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558 ที่ให้ความสำคัญกับคลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในอนาคต โดยมีอุตสาหกรรมอาหารเป็นหนึ่งในคลัสเตอร์สำคัญ
“ก่อนที่ดร.พิเชษฐจะย้ายจากกระทรวงวิทย์ฯมีการเสนอขึ้นรูปโครงการเมืองนวัตกรรมอาหารหรือฟู้ดอินโนโพลิสแพลตฟอร์มบริการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการหรืออุตสาหกรรมด้านอาหารในการพัฒนาธุรกิจหรือนวัตกรรมได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น”
ดร.เอกอนงค์ จางบัวผู้อำนวยการฝ่ายเมืองนวัตกรรมอาหาร สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เล่าย้อนที่มาของหน่วยงานที่รับผิดชอบให้ฟังว่า ดร.พิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้เสนอเรื่องการจัดตั้งโครงการเมืองนวัตกรรมอาหาร โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สวทน. (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ สอวช.) ได้รับมอบหมายเป็นเจ้าภาพหลักในการดำเนินการเพื่อพัฒนา Food Innopolis เป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม
โครงการเริ่มต้นด้วยการศึกษาโมเดลการพัฒนาเมืองนวัตกรรมอาหาร หรือ Food Innopolis จากหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งมีจุดแข็งแตกต่างกัน ก่อนย้อนกลับมามองประเทศไทย เพื่อเชื่อมโยงองค์ประกอบแต่ละจุด (connect the dot) ใส่เครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยดร.เอกอนงค์ เป็นหนึ่งในทีมผู้เริ่มต้นครั้งนั้น
ตัวอย่างโมเดลที่สำคัญ ได้แก่ ฟู้ดวัลเลย์ (Food Valley) ประเทศเนเธอร์แลนด์แม้ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการ แต่มีการบริหารจัดการเครือข่ายในการ connect the dot ระหว่างมหาวิทยาลัย เช่น Wageningen University & Research สถาบันวิจัยต่างๆ และผู้ประกอบการ ในการจัดหาโซลูชันที่เหมาะสมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีการคิดค่าใช้จ่าย
อะโกรฟู้ดพาร์ค (Agro Food Park) ประเทศเดนมาร์ก อุทยานวิทยาศาสตร์เฉพาะทางด้านอาหาร ที่เกิดจากการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัย Aarhus ซึ่งเก่งเรื่องเกษตรอาหาร ร่วมกับองค์กรท้องถิ่น ถือหุ้นโดยสหกรณ์เดนมาร์ก ในลักษณะความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน (Public Private Partnership-PPP) ซึ่งพัฒนาตัวอุทยานไปพร้อมกับระบบอีโคซิสเตมและเมือง ที่ยกระดับจากฐานความแข็งแกร่งเดิมด้านอาหารและปศุสัตว์ จนกลายเป็น hub ด้านไอทีเพื่อสุขภาพและอาหาร
ฟู้ดอินโนเวชัน เน็ตเวิร์ก (Food Innovation Network) ประเทศนิวซีแลนด์ จุดแข็งคือ โรงงานต้นแบบที่มีหลายไลน์การผลิต ขนาดของตัวโรงงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่กระจายตัวตั้งแต่เกาะเหนือ จนถึงพื้นที่ตอนบนของเกาะใต้ ตามแต่ละพื้นที่ที่มีการเพาะปลูก ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีมหาวิทยาลัย Massey ในการสนับสนุน และทำงานร่วมกันเป็นเครือข่าย
“ตัวอย่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารชนิดหนึ่งจะต้องมีการออกแบบความคิดตั้งแต่ต้นแบบผลิตภัณฑ์จนสู่การผลิตการทำวิจัยและพัฒนาการตรวจสอบมาตรฐานและการขยายสเกลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยออกสู่กระบวนการผลิตเพื่อการพาณิชย์ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานที่คล้ายคลึงกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ”
ปัจจุบันฟู้ดอินโนเวชันเน็ตเวิร์กมีโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐาน OEM ตั้งอยู่ที่เมืองโอ๊คแลนด์ สามารถรองรับการจ้างผลิตจากผู้ประกอบการในประเทศ หรือประเทศข้างเคียง เช่น ออสเตรเลีย
นอกจากนี้ยังมีอีกสองแห่ง คือ แคมป์เดน บีอาร์ไอ (Campden BRI) ประเทศอังกฤษ บริษัทด้านงานวิจัย พัฒนา และทดสอบด้านอาหาร และ วิทากอรา (Vitagora) ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีการทำงานแบบ connect the dot คล้ายที่เนเธอร์แลนด์ แต่เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ไปโตในต่างประเทศ โดยใช้ทุนสนับสนุนการทำงานจากสหภาพยุโรป
“ด้วยเหตุนี้การสร้างฟู้ดอินโนโพลิสของไทยจึงเป็นการเก็บเล็กผสมน้อยจากโมเดลของประเทศต่างๆมาบูรณาการกับองค์ประกอบที่สำคัญภายในประเทศ”
องค์ประกอบภายในประเทศที่สำคัญมี 4 ด้าน คือ หนึ่ง “วัตถุดิบ” ของไทยที่มีมากทั้งปริมาณและความหลากหลาย สอง “บุคลากร” ผู้เชี่ยวชาญและนักวิจัยนวัตกรรมอาหาร สาม “สิ่งอำนวยความสะดวก” เช่น โรงงานต้นแบบ ห้องปฏิบัติการ ห้องวิเคราะห์ทดสอบ โดยความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ และสี่ “ระบบการขนส่ง” ที่ล้วนเอื้อต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารภายในประเทศ
“ตอนที่ทำการศึกษายังไม่มีเรื่องการทำ Incubation หรือ Accelerator มาก่อนแต่พอมองเห็นแนวโน้มการส่งเสริมสตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีด้านอาหารที่เริ่มจริงจังมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาซึ่งด้วยวิสัยทัศน์ของดร.อัครวิทย์กาญจนโอภาษผู้อำนวยการฟู้ดอินโนโพลิสในเวลานั้นได้วางแนวทางเอาไว้และเรารับมาดำเนินการต่อเนื่องจากเคยทำเรื่อง Incubation มาก่อน”
การสร้างกลไกการทำงานเพื่อ connect the dot ได้แก่ แพลตฟอร์มการบริการแบบวันสต็อปเซอร์วิส ซึ่งปัจจุบันมีทั้งสิ้น 10 แพลตฟอร์มที่พร้อมตอบสนองต่อความต้องการของผู้ประกอบการในทุกระดับ รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายนวัตกรรมอาหาร (FI Network) ร่วมกับมหาวิทยาลัยทุกภูมิภาคทั่วประเทศ 18 แห่ง เพื่อส่งต่อแพลตฟอร์มการบริการไปยังพื้นที่เป้าหมายต่างๆ ทั่วประเทศ โดยสามารถให้บริการผู้ประกอบการในรูปแบบบริการเบ็ดเสร็จภายในจุดเดียว (one stop service) ประมาณ 150-180 รายต่อปี
ย้อนเส้นทางการทำงานหลากหลายที่ สวทช.
ดร.เอกอนงค์ บอกว่าเดิมเธอใฝ่ฝันอยากทำงานออกแบบและสถาปนิก เพราะคุณแม่จบสายช่าง ทำงานปั้น งานช่างสิบหมู่ แต่ตัดสินใจเรียนต่อสายวิทยาศาสตร์เพราะเห็นว่ามีทางเลือกมากกว่า ประกอบกับเป็นคนชื่นชอบการสำรวจ ค้นคว้าความรู้ จึงเลือกเรียนระดับปริญญาตรีที่คณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาเคมี วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล และต่อปริญญาโท สาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพอลิเมอร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
“เมื่อเรียนจบศ.ดร.ชัชนาถเทพธรานนท์อาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บริหารสวทช. ณขณะนั้นชักชวนให้มาทำงานที่สวทช. ในปี 2537 และทำงานอยู่กับสวทช. เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน”
ช่วงเวลานั้น สวทช. ยังไม่ได้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการเทคโนโลยี (TMC) แต่มีฟังก์ชันการทำงานหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา (IP Management) ดำเนินการโดยสำนักงานจัดการสิทธิเทคโนโลยี (Technology Licensing Office – TLO) มีหน้าที่หนึ่ง คือ การเชื่อมองค์ความรู้ระหว่างคนที่มีพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์กับข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพราะการทำให้นักวิทยาศาสตร์เป็นนักกฎหมายง่ายกว่าการทำให้นักกฎหมายเป็นนักวิทยาศาสตร์
“วิทยาศาสตร์และกฎหมายคือกุญแจ 2 ดอกสำคัญในการจัดการสิทธิประโยชน์ทางเทคโนโลยีจะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้แต่ไม่เป็นปัญหาหากจะมีความเชี่ยวชาญหรือความโดดเด่นเพียงข้อเดียว”
ตลอดระยะเวลา 2-3 ปี ในการทำงานด้านทรัพย์สินทางปัญญาควบคู่ไปกับการทำงานในห้องปฏิบัติการ รวมถึงได้ทุนเป็นระยะๆ จากประเทศแคนาดา ญี่ปุ่น และกระทรวงพาณิชย์ ไปศึกษาอบรมด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาจนเกิดความเชี่ยวชาญมากขึ้น
กอรปกับได้เกิดประเด็นเรื่องการซื้อขายเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ของผู้ประกอบการขึ้นมา จึงตัดสินใจมาทำงานด้าน IP Service (IPS) ทำหน้าที่ตัวกลางประสานงานระหว่างนักวิจัย ผู้ประกอบการที่เคยมีโอกาสได้ทำงานร่วมกัน โดยอาศัยความได้เปรียบจากการที่ตัวเองมีพื้นความรู้ด้านงานวิทยาศาสตร์ และทักษะภาษาอังกฤษในการติดต่อกับต่างประเทศได้ดี ซึ่งอารมณ์จะคล้ายกับการทำงานภายใต้โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP)
“IPS เป็นการบูรณาการการทำงานทุกอย่างเพื่อเชื่อมโยงไปยังผู้ประกอบการซึ่งได้รับการพัฒนาต่อเนื่องในการสนับสนุนการทำงานของ TMC และ ITAP ในปัจจุบัน”
เมื่อรู้ตัวว่ายังด้อยในเรื่องความรู้ทางธุรกิจ จึงตัดสินใจลาเรียนต่อในสาขาการจัดการเทคโนโลยี คณะการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ในปี 2543 และเดินทางไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนตามโครงการความร่วมมือระหว่างเอไอทีกับสถาบันการเรียนการสอนด้านธุรกิจของ European Business School ที่ประเทศเยอรมัน
“หน้าที่ก่อนลาไปเรียนตอนนั้นคือการทำงานสนับสนุนระบบของรัฐเพื่อส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีพอเข้าเรียนที่เอไอทีจึงพยายามศึกษาตัวอย่างเพิ่มเติมจากต่างประเทศเช่นไต้หวันพบมิติที่น่าสนใจคือ Business Incubation หรือการบ่มเพาะทางธุรกิจและ Technology Incubation หรือการบ่มเพาะทางเทคโนโลยีแต่ยังไม่มีการพูดถึง Accelerator เลยทำโปรเจกต์จบที่เอไอทีด้วยเรื่องการบ่มเพาะธุรกิจพร้อมกับการทำงานให้สวทช. เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ”
หลังจบหลักสูตรจากเอไอทีกลับมาทำงานที่ สวทช. เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ก่อนสมัครชิงทุนพัฒนาบุคลากรของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไปศึกษาต่อปริญญาเอก สาขาการจัดการนโยบายด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Management Of Science and Technology Innovation Policy) ที่สถาบันวิจัยด้านนวัตกรรม มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ
ดร.เอกอนงค์ กล่าวว่า กระทรวงวิทย์ฯ ในสมัยนั้น มีนโยบายให้ทุนพัฒนาบุคลากรทั้งในและนอกกระทรวง โดยแต่ละหน่วยงานต้องทำคำขอเพื่อคาดการณ์ขีดความสามารถของบุคลากรที่ต้องการล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 ปี ซึ่งเป็นทุนที่สนใจมาตั้งแต่ตอนเรียนเอไอที เมื่อเห็นว่ามีทุนพัฒนาบุคลากรด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยี จึงตัดสินใจสมัครทันที
ทำงานเชิงนโยบายหนุนการพัฒนาเอสเอ็มอี
เมื่อต้องไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ประเทศอังกฤษ เธอได้เรียนปรึกษา ศ.ดร.ชัชนาถ ว่า ควรทำหัวข้อวิทยานิพนธ์เรื่องใด ระหว่างหัวข้อการบ่มเพาะธุรกิจในมุมของการพัฒนาเอสเอ็มอี กับหัวข้ออุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในมุมของการพัฒนาระบบอีโคซิสเตม ก็ได้รับคำแนะนำให้ทำหัวข้อหลังซึ่งตรงกับความสนใจส่วนตัวเพราะเวลานั้นเพิ่งมีการจัดตั้งอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือ Thailand Science Park เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันและนวัตกรรมให้กับภาคเอกชน ภายใต้การดูแลของ สวทช.
“จากการได้ทำงานในทีมพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคและร่วมศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการพัฒนาอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในมิติของการเป็นอุทยานภูมิภาคก่อนไปเรียนปริญญาเอกระหว่างที่เรียนจึงเลือกทำเรื่องระบบนวัตกรรมท้องถิ่น (Local Innovation System) ที่เกี่ยวข้องกับอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยรวมถึงศึกษาพารามิเตอร์ที่มีปฏิสัมพันธ์กับระบบอีโคซิสเตม”
เมื่อเรียนจบปริญญาเอกกลับมาทำงานที่โปรแกรมสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม (ITAP) สวทช. ต้นสังกัดเดิมสักพักหนึ่ง จึงย้ายมาทำงานที่อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในปี 2554
จนในปี 2555 ได้ย้ายมาทำงานอยู่ที่สำนักงานนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.) ในการสร้างเครื่องมือเชิงนโยบายเพื่อสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และการทำงานด้านบริหารจัดการนโยบาย แต่ยังช่วยอุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทยในการจัดทำนโยบายและแผนกลยุทธ์ต่างๆ โดยมีภารกิจสำคัญ คือ การนำอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาคเข้าคณะรัฐมนตรี
กระทั่งเดือนพฤษภาคมปี 2557 เกิดการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ดร.พิเชษฐ ดุรงคเวโรจน์ ซึ่งเป็นเบอร์หนึ่งของ สวทน. ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ดร.เอกอนงค์ ได้รับคัดเลือกจากให้ไปเป็นทีมผู้ช่วยหน้าห้องของ รมต. ซึ่งเป็นการยืมตัวจากต้นสังกัดไปทำงานแบบ 100 เปอร์เซ็นต์
ต่อมาเมื่อ ดร.พิเชษฐ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DE) เธอจึงย้ายกลับมาสวทน. ดูแลการบริหารจัดการนโยบายและกลไกต่างๆ ทั้งทางเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์ ในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ตลอดจนการศึกษางานระดับฐานรากเพื่อนำมาออกแบบนโยบายและผลักดันให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม จนเข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเมืองนวัตกรรมอาหารในที่สุด
ความท้าทายของการทำงานภายใต้งบจำกัด
ดร.เอกอนงค์ กล่าวว่า งานเฟสแรกของฟู้ดอินโนโพลิส โดย สวทน. เป็นการขับเคลื่อนเรื่องของนโยบาย ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ในการออกแบบและกำหนดทิศทางการทำงาน
การทำงานเฟสที่สอง เกิดขึ้นภายหลังหน่วยงานถูกโอนย้ายมา สวทช. เป็นจังหวะชองการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยทั่วประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายนวัตกรรมอาหาร (FI Network) และดึงจุดแข็งในเรื่องอาหารของแต่ละมหาวิทยาลัยมาทำงานร่วมกัน อาทิ การรวมตัวของมหาวิทยาลัยและนักวิทยาศาสตร์ด้านกลิ่นรส จัดตั้งสถาบัน Flavor Academy ในการเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการด้านการผลิตวัตถุปรุงแต่งกลิ่นรส โดยระยะแรกมีมหาวิทยาลัยร่วมลงนามข้อตกลงร่วมเป็น FI Network ประมาณ 6-8 แห่ง
“ตอนนำเรื่องเข้าครม. เราของบไป 3 พันล้านบาทสำหรับการทำงาน 5 ปีส่วนหนึ่งเพื่อนำมาสร้างเพิ่มเติมหรือปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกในมหาวิทยาลัยต่างๆให้เพียงพอต่อการให้บริการผู้ประกอบการทั้งเรื่องของมาตรฐานและสเกลแต่ถึงทุกวันนี้เราได้งบประมาณเฉลี่ย 40-50 ล้านบาทต่อปีซึ่งเพียงพอสำหรับงบในการปฏิบัติงานผ่านแพลตฟอร์มบริการที่มีอยู่เท่านั้น”
ส่วนงานเฟสที่สามคือช่วงปัจจุบัน กำลังเดินหน้าไปบนเส้นทางที่ท้าทาย เธอยกตัวอย่างการทำงานกับเครือข่ายที่ค่อนข้างยากลำบาก เพราะฟู้ดอินโนโพลิสไม่มีงบสนับสนุนที่มากพอ และไม่ใช่หน่วยงานให้ทุน ทำให้บางมหาวิทยาลัยจึงไม่เห็นความจำเป็นและถอยออกไป เพราะสามารถตอบโจทย์ผู้ประกอบการด้านอาหารผ่านกลไกอื่น เช่น อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย หรือหน่วยงานบริการอื่นๆ มีเพียงบางมหาวิทยาลัยที่ยังเห็นประโยชน์ และทำงานร่วมกันต่อไป
“ฟู้ดอินโนโพลิสเกิดขึ้นมาเพื่อต่อจิ๊กซอว์ให้เห็นภาพใหญ่ของการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของประเทศเมื่อก่อนการทำงานของเราคือการเผชิญหน้ากับผู้ประกอบการและบอกว่าเราจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างไรแต่ด้วยนโยบายของสวทช. ที่เปลี่ยนไปสิ่งที่ทำกลับกลายเป็นการหันหลังกลับมาตอบคำถามว่าในฐานะที่เราเป็นหน่วยงานหนึ่งของสวทช. เราจะทำประโยชน์อะไรให้ต้นสังกัดได้บ้าง”
หากด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นก้าวผ่านความท้าทาย ดร.เอกอนงค์ กล่าวถึงงานที่ตั้งใจผลักดันให้เข้มข้นและเข้มแข็งยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานกับกลุ่มผู้ประกอบการด้านกลิ่นรส อาหารฟังก์ชัน อาหารสุขภาพ การทำงานกับมหาวิทยาลัยเพื่อดึงงานวิจัยออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าที่เป็นอยู่ หรือการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านอาหาร สตาร์ตอัพด้าน food tech ให้มากขึ้น
การเป็นตัวกลางนำพาผู้ประกอบการเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก เข้าถึงนักวิจัยได้เร็วขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ให้ดีขึ้น ซึ่งผลงานโดดเด่นที่ผ่านมา เช่น การแปรรูปเมล็ดบัวเป็นโยเกิร์ต การพัฒนาผงโปรตีนจากจิ้งหรีด โดยมีคอร์เทคโนโลยีคือเครื่องสกัดโปรตีน ที่นำไปใช้กับวัตถุดิบอื่นได้ เช่น เศษเนื้อไกที่เหลือจากการตัดแต่งของซีพี กรุ๊ป เป็นต้น
การทำหน้าที่เป็น Professional RDI Partner ในการให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ การเป็นฮับ (hub) หรือโหนด (node)ให้กับผู้ประกอบการหากประสงค์ทำงานกับต่างประเทศ การจัดงาน Food Innopolis International Symposium เพื่ออัปเดตความรู้และเทรนด์ต่างๆ ด้านนวัตกรรมอาหารและการเกษตรโลก ตลอดจนเป้าหมายการผลักดันประเทศไทยให้อยู่ในเรดาร์ของอาเซียนในฐานะศูนย์กลางด้านนวัตกรรมอาหาร ซึ่งถือว่าสำเร็จแล้ว
“แม้ฟู้ดอินโนโพลิสจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้ในวันแรกแต่เราพยายามเป็นในแบบที่ดีที่สุดที่เราเป็นได้ด้วยทรัพยากรบุคคลและเงินทุนที่มีอย่างจำกัดด้วยการรักษาแบรนด์ดีเอ็นอีและจิตวิญญาณของทีมเอาไว้ถึงจะท้อบ้างแต่แค่ชั่วครู่เพราะใจยังสนุกกับสิ่งที่ทำรวมถึงไม่มองว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาแต่เป็นความท้าทายหรืออะไรสักอย่างที่เราต้องก้าวข้ามไปให้ได้” ดร.เอกอนงค์กล่าวในที่สุด
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
“นฤศันส์ ธันวารชร” นำ InnoSpace หนุน Deep Tech สตาร์ตอัพไทย สู่ยูนิคอร์น
“ดร.กอบกฤตย์ วิริยะยุทธกร” จากเด็กติดเกม สู่นักพัฒนา AI แห่ง iApp Technology
ถอดสูตรการลงทุนสไตล์ SeaX Ventures กับ “ศุภชัย ปาจริยานนท์”