กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ภายใต้การดูแลของ “ป้อม-ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาด E-Commerce ผู้ก่อตั้งบริษัท TARAD.com และในอีกบทบาทคือนักลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพกว่า 49 บริษัท เตรียมทุ่มงบ 1.3 พันล้านบาท (ราว 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ปั้นกองทุนใหม่ หนุนสตาร์ตอัพรายเล็กให้เติบโตอย่างก้าวกระโดดกับ กองทุน ‘ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์’ (Finno Efra Private Equity Trust) หรือ “Finno Efra” ที่จะมุ่งเน้นลงทุนในสตาร์ตอัพไทยและอาเซียน และสร้างระบบนิเวศให้เหมาะสมสำหรับการเติบโตของสตาร์ตอัพตั้งแต่ระยะเริ่มต้นจนถึงการขยายธุรกิจ
เป้าหมายของการปั้น FinnoEfra
แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด เน้นย้ำถึงความสำคัญของการสนับสนุนสตาร์ตอัพด้วยการพัฒนาโปรแกรม Accelerator จากการศึกษาโมเดลจากสถาบันสตาร์ตอัพที่ดีที่สุดระดับโลก อย่างเช่น Y Combinator (YC) ซึ่งได้สร้างผู้นำในวงการสตาร์9อัพอย่าง Grab, Airbnb และ Dropbox ทั้งนี้ กรุงศรี ฟินโนเวตตั้งเป้าที่จะช่วยสร้างยูนิคอร์นจากสตาร์ตอัพไทย และเร่งพัฒนาสตาร์ตอัพในระยะ Series A ที่ปัจจุบันมีจำนวนน้อยลง ซึ่งจากประสบการณ์การลงทุนในสตาร์ตอัพหลายปี กรุงศรี ฟินโนเวตได้สร้างยูนิคอร์นในพอร์ตโฟลิโออย่าง Flash Express, Grab, Klook และ Ascend Money นอกจากนี้ ยังมีสตาร์ตอัพอีก 7 บริษัทที่กำลังเตรียมตัวเข้าตลาด IPO ใน 2 ปีข้างหน้า
เป้าหมายหลักของ Finno Efra Private Equity Trust จึงเป็นการสร้างสตาร์ตอัพที่สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่งและส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเน้นไปที่สตาร์ตอัพที่อยู่ในช่วงแรกของการทำธุรกิจแต่สามารถสร้างรายได้และมีเริ่มสินค้าหรือบริการที่ตลาดต้องการ ซึ่งกลุ่มนี้ถือว่าเป็นช่วง Seed ถึง Pre-Series A ซึ่งนับเป็นช่วงที่มักจะขาดแคลนเงินทุนในการทำธุรกิจ เนื่องจากผู้ลงทุนมักพุ่งเป้าไปที่บริษัทกลุ่ม Series A ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในแง่ของการล้มเหลวด้านทำธุรกิจ แน่นอนว่าทำให้สตาร์ตอัพไทยนั้นเติบโตได้ยาก และบริษัท CVC ต่าง ๆ เองก็จะไม่มีบริษัทใหม่ ๆ ที่สามารถอัพขึ้นมาอยู่ใน Series A ให้ลงทุนได้อีกด้วย
สำหรับในด้านอีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ที่ทางภาวุธ พงษ์วิทยภานุ เป็นหัวเรือใหญ่ได้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมสตาร์ตอัพให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยมองว่าการลงทุนที่ดีไม่เพียงแค่ให้เงินทุน แต่ยังรวมถึงการให้คำปรึกษาและโค้ชสตาร์ตอัพในทุกขั้นตอน ดังนั้น เป้าหมายของการสร้างกองทุนนี้จึงไม่ใช่เพื่อผลกำไรแก่ผู้ถือหุ้นเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อสร้างผู้ประกอบการที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะยาว จึงจำเป็นที่จะต้องทำให้ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพรุ่นใหม่สามารถเติบโตได้ และผ่านความท้าทายที่เกิดขึ้นทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ การทำงานยังเป็นรูปแบบเดิม หรือไม่ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์อย่างที่ควรจะเป็น
โครงสร้างการลงทุนของ Finno Efra
กองทุนนี้ถูกออกแบบให้เป็นความร่วมมือระหว่างผู้จัดการกองทุนสองฝ่าย โดยมีนักลงทุนจาก 3 ส่วนหลัก ได้แก่ กรุงศรี ฟินโนเวต ซึ่งลงทุน 200 ล้านบาท, บลจ.วรรณที่ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มลงทุนขั้นต่ำเพียง 5 แสนบาท และ 10 บริษัทลูกค้าของธนาคารกรุงศรี ซึ่งจะร่วมลงทุนขั้นต่ำ 38 ล้านบาทต่อบริษัท โดยกองทุนตั้งเป้าระดมทุนรวม 1,000 – 1,300 ล้านบาท หรือประมาณ 35 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกองทุน FinnoEfra จะมีระยะเวลาการลงทุนที่สั้นลงจากปกติ โดยใช้ระยะเวลา 8 ปี (ปกติอยู่ที่ประมาณ 10 ปี) โดยในช่วง 4 ปีแรกจะเป็นการอัดฉีดเงินทุน ส่วน 4 ปีหลังจะเน้นสร้างให้สตาร์ตอัพเติบโตต่อใน Stage ต่อไป
การลงทุนที่มุ่งเน้นการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน
FinnoEfra จะลงทุนในสตาร์ตอัพรวมแล้วประมาณ 50 บริษัท โดยมียอดการลงทุนในแต่ละดีลประมาณ 5-60 ล้านบาทต่อกิจการ ซึ่งจะแบ่งสัดส่วนเป็นสตาร์ตอัพไทยประมาณ 60% และสตาร์ตอัพในภูมิภาคอาเซียน 40% โดยเฉพาะในประเทศอินโดนีเซีย, เวียดนาม และฟิลิปปินส์ โดยเน้นไปที่สตาร์ตอัพที่มีศักยภาพในการทำ Impact & Digital Transformation ที่มีรายได้ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นสตาร์ตอัพที่มี Product Market Fit ระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งภาวุธ ชี้ให้เห็นว่ากลุ่มนี้ยังมีโอกาสอีกมากในการเปลี่ยนแปลงจากการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมสู่การทำงานที่เป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงการลงทุนในกลุ่ม Fintech, Ed Tech, Health Tech, Agri Tech, และ Mobility Tech ที่เป็นกลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัพที่เติบโตและสร้างประโยชน์ต่อประเทศได้อีกมากด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม การลงทุนในสตาร์ตอัพนั้นเป็นการลงทุนที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูง โดยข้อมูลจากกระทรวงแรงงานสหรัฐอเมริการะบุว่าสตาร์ตอัพเกือบครึ่งหนึ่งต้องปิดตัวลงภายใน 5 ปีแรก จึงมีคำถามว่ากองทุน FinnoEfra Private Equity Trust จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับนักลงทุนได้อย่างไร?
แซมอธิบายว่าถึงแผนการป้องกันความเสี่ยงของกองทุนนี้ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงการมอบเงินทุนให้ผู้ประกอบการรายใหม่ แต่ยังรวมถึงการฝึกอบรมและให้คำปรึกษาจากสตาร์ตอัพรุ่นพี่ที่เคยประสบความสำเร็จในหลักสูตร Accelerator Program ซึ่งการที่ผู้มีประสบการณ์ร่วมสร้างและให้คำแนะนำกับสตาร์ตอัพมือใหม่ ที่จะช่วยลดความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจที่ผิดพลาด และเพิ่มโอกาสในการเติบโตอย่างมั่นคงอีกด้วย
การสนับสนุนที่มากกว่าการลงทุนกับการทำ Accelerator Program
เพราะ FinnoEfra ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนสตาร์ตอัพในทุกรูปแบบ จึงเกิดเป็น Accelerator Program ที่ถูกออกแบบให้เป็น “โรงเรียน” ที่ช่วยบ่มเพาะและเตรียมความพร้อมให้สตาร์ตอัพสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง โดยภายในโปรแกรมที่มีระยะเวลา 4 เดือนนี้ และในแต่ละรอบจะเปิดรับสตาร์ตอัพประมาณ 10 บริษัท ซึ่งสตาร์ตอัพที่เข้าร่วมจะต้องผ่านกระบวนการพัฒนาในทุกขั้นตอน โดยจะมีการติดตามและวัดผลเป็นรายสัปดาห์ว่า สตาร์ตอัพจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้อย่างไร นี่เป็นหนึ่งใน Key Metric ที่สำคัญที่สุดสำหรับการประเมิน เพื่อให้แน่ใจว่าสตาร์ตอัพเหล่านี้มีศักยภาพในการก้าวกระโดดสู่ความสำเร็จ และมีความพร้อมมากพอที่จะได้รับเงินลงทุนจากกอง FinnoEfra และพบกับนักลงทุนรายอื่นเพิ่มเติม
นอกจากนี้ โปรแกรม Accelerator ยังเปิดโอกาสให้ทั้งธนาคารและธุรกิจอื่น ๆ สามารถเข้ามาร่วมมือในการสนับสนุนสตาร์ตอัพได้ หากโปรแกรมนี้ประสบความสำเร็จ กองทุน FinnoEfra จะช่วยผลักดันให้เกิด Tech Company ที่สามารถเข้าสู่ตลาดได้มากขึ้น และช่วยยกระดับวงการสตาร์ตอัพของประเทศไทยให้ก้าวไกลและยั่งยืนในอนาคต
สรุปแล้ว FinnoEfra คือ กองทรัสต์เพื่อกิจการเงินร่วมลงทุน (Private Equity Trust) ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนสตาร์ตอัพให้เติบโต โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ผู้จัดการกองทุน คือ กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure)
- ขนาดกองทุน 1,000-1,300 ล้านบาท
- อายุกองทุน 8 ปี
- ระดับของสตาร์ตอัพที่ต้องการลงทุน คือ Seed – Pre Series A
- สัดส่วนการลงทุน สตาร์ตอัพไทยประมาณ 60% และสตาร์ตอัพในภูมิภาคอาเซียน 40%
- ประเภทสตาร์ตอัพที่ลงทุน คือ Impact & Digital Transformation ที่มีรายได้ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป หรือเป็นสตาร์ตอัพที่มี Product Market Fit ระดับหนึ่งแล้ว
- เงื่อนไขของการรับเงินลงทุน ต้องเป็นสตาร์ตอัพที่เริ่มต้นทำธุรกิจแล้ว มีกำไรระดับหนึ่ง มองว่าสเกลต่อได้และจะต้องผ่านการเข้าร่วม Accelerator Program เป็นระยะเวลา 4 เดือน โดยจะจัดขึ้น 4 รอบ (Batch) ซึ่งจะต้องทดสอบและรับคำแนะนำจากเมนทอร์อย่างสม่ำเสมอ
- ยอดการลงทุนในแต่ละดีลประมาณ 5-60 ล้านบาทต่อกิจการ (ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและตามที่บริษัทกำหนด)