คงยังไม่สายเกินไปที่จะพูดถึงการแสดงวิสัยทัศน์ ของ “ทักษิณ ชินวัตร” ในงาน VISION THAILAND จัดโดยค่ายเนชัน ทุกวันนี้ยังกลายเป็น ทอล์ค ออฟเดอะทาวน์ และมีหลายเรื่องที่ยังเป็นข้อถกเถียง อีกหลายเรื่องที่รัฐมนตรีในรัฐบาลรักษารับลูกการนำเอาไปสานต่ออย่างฉับไว
อย่างกรณีรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีคมนาคม ยืนยันว่านโยบายค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายนั้น จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ส่วนแนวคิดการซื้อสัมปทานการบริหารโครงการรถไฟฟ้าจากภาคเอกชนคืนกลับมาเป็นของรัฐบาล ล่าสุดอยู่ระหว่างการเตรียมว่าจ้างที่ปรึกษาดำเนินการศึกษารายละเอียดต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
หรือกรณีภาษี Negative Income Tax ที่ เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลังออกมาขานรับยังถกเถียงกันว่า เหมาะสมกับประเทศไทยที่ยังติดกับดักรายได้ปานกลางหรือไม่ อีกทั้ง การใช้นโยบายนี้ยิ่งจะทำให้คนขี้เกียจทำงาน รวมถึงเป็นห่วงว่าจะเป็นภาระให้คนชั้นกลางที่เสียภาษีมีภาระที่ต้องแบกรับเพิ่มหรือไม่
Negative Income Tax หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ทักษิณคิด ความจริงกระทรวงคลังดำเนินการมาตั้งแต่รัฐบาลลุงตู่ เป็นนโยบายให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ โดยมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สมควรได้รับได้ตรงกลุ่มและครอบคลุมที่สุด รวมถึงเรื่อง การลดค่าธรรมเนียมที่ธนาคารจ่ายเข้ากองทุนฟื้นฟูฯบางส่วนชั่วคราว เครดิตบูโรก็เสนอมานานแล้ว เช่นกัน
เรื่องหลัก การแสดงวิสัยทัศน์คืนนั้นคงไม่พ้น “ดิจิทัล วอลเล็ต” ทักษิณบอกว่า ยิงนก 3 ตัวด้วยกระสุนนัดเดียวคือ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจ ดิจิทัล วอลเล็ต ข้างหลังบ้านคือบล็อกเชนมี Smart Contract การควบคุมที่แม่นยำเพื่อให้อยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ 2. อยากให้คนไทยได้เรียนรู้เทคโนโลยี 3. อนาคตต่อไปจะใช้กับบริการของภาครัฐได้ทั้งหมด ซึ่งภาครัฐอาจจะออก หุ้นกู้ ตราสารหนี้ (Bond) ขายประชาชนรายย่อยผ่านดิจิทัล วอลเล็ต
แต่ดิจิทัล วอลเล็ตเที่ยวนี้ ทักษิณบอกว่าอาจจะเปลี่ยนรูปแบบ เริ่มใช้กับกลุ่มเปราะบาง 13.5 ล้านคน และกลุ่มคนพิการอีก 1 ล้าน รวม 14.5 ล้านคน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเริ่มต้นในเดือนกันยายน ใช้เงินแสนกว่าล้านบาท ในเดือนตุลาคมงบประมาณใหม่ออก คนที่ลงไปทะเบียนเกือบ 30 ล้านคนก็จะได้รับทันที พร้อมย้ำว่าดิจิทัล วอลเล็ตกระตุ้นเศรษฐกิจได้แม่นยำกว่าเงินสด ซึ่งเกิดตัวคูณได้น้อยกว่า
นอกจากนี้ ยังพูดถึงเรื่องกับดักหนี้กับดักหนี้สิน โดยบอกว่าคนไทยติดกับดักหนี้ทำให้เดินไม่ออก หนี้สินของรัฐแก้ไม่ยากนัก ถ้าทำให้จีดีพีเติบโตได้ “สัดส่วนหนี้สินต่อจีดีพีจะลดไปเอง” ถ้าขยายฐานภาษีจะทำให้สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีดีขึ้น อำนาจการใช้หนี้จะดีขึ้น
ส่วนหนี้ครัวเรือนของประชาชนกว่า 90% ทักษิณบอกว่า ไม่อยากเห็นคนไทยถูกยึดบ้านและรถ เสนอว่าต้องการมีการปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน เราจะ haircut (การปรับโครงสร้างหนี้ โดยการตกลงร่วมกันระหว่างเจ้าหนี้ลูกหนี้พื่อขอลดยอดหนี้ลง) และตั้งคำถามว่าเราปรับโครงสร้างหนี้ภาคธุรกิจได้ เราจะ haircut ภาคประชาชนได้ไหม
ทักษิณ ไม่ลืมที่จะฟื้นนโยบายเศรษฐกิจใต้ดินไทยให้ขึ้นมาอยู่บนดิน ซึ่งเคยเป็นนโยบายสมัยไทยรักไทย โดยย้ำว่าเศรษฐกิจใต้ดินของไทยสูงมากราว 50% ของเศรษฐกิจบนดิน ถ้าขึ้นบนดินได้จีดีพีเพิ่ม 50% ผลทำให้สัดส่วนหนี้ลดลงและความสามารถในการใช้หนี้เพิ่มขึ้นและไม่พลาดที่จะพูดถึงเอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จะมีพื้นที่กาสิโนเพียงไม่เกิน 10% การลงทุนแต่ละแห่งเกินแสนล้านบาท
เรื่องอื่น ๆ ที่เหลือจะเป็นแค่ไอเดียไม่มีรายละเอียด เช่นจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงิน เชิญธนาคารทั่วโลกมาตั้งในไทยเพื่อทำธุรกรรมต่างประเทศ แล้วแบงก์ไทยก็ไปตั้งในต่างแดนเพื่อใช้สิทธิเดียวกัน
แก้กฎหมายต่างชาติถือครองที่ดิน โดยมีกติกาที่คนไทยได้ประโยชน์ทั้งเชิงเศรษฐกิจที่เติบโตและการเข้าถึงการจัดการภาษีให้เป็นธรรมและเอื้อต่อการแข่งขันมากขึ้น จัดการภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างเป็นระบบ ปฏิรูประบบราชการ ลดค่าใช้จ่ายภาครัฐและจำนวนคนเอาเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เป็นต้น
ทักษิณยังให้น้ำหนักเรื่องปั๊มเศรษฐกิจให้โต ซึ่งเป็นนโยบายระยสั้นเฉพาะหน้ามากกว่า โดยไม่พูดเรื่องการแก้ความเหลื่อมล้ำ หรือบอกว่า จะปรับปรุงอุตสาหกรรมของประเทศให้สามารถแข่งขันกับต่างประเทศแต่ไม่บอกว่าจะทำอย่างไร จะลดราคาพลังงานแต่ไม่พูดเรื่องปรับโครงสร้าง ไม่ได้บอกว่าจะกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นหรือไม่ แต่ที่ไม่แตะเลยคือเรื่องจะแก้ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่น รวมถึงจะลดการผูกขาดของกลุ่มทุนใหญ่อย่างไร
วิสัยทัศน์ค่ำคืนวันนั้นทำให้นึกว่าย้อนเวลาไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ที่พรรคไทยรักไทย เคยชูธงประชานิยม จนมีคำพูดว่าเศรษฐกิจโดยพรรคไทยรักไทยคือ ”ทักษิโณมิกส์” ที่เน้นในเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปั่นให้จีดีพีโตเพื่อตัดแบ่งเค้กแจกจ่ายกันให้ทั่วถึง
การแสดงวิสัยทัศน์คืนนั้นก็แค่การฟื้น ”ทักษิโณมิกซ์” ขึ้นมาใหม่แต่ อย่าลืมว่าแต่การกระตุ้นเศรษฐกิจปั่นให้จีดีพีโตแบบนี้ ในที่สุดผลประโยชน์มักไปตกใส่กระเป๋ากลุ่มทุนไหญ่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
“ศูนย์กลางการเงินโลก” ฝันใหญ่ของ “เศรษฐา”
“ต่างชาติเช่าที่ดิน” บริบทที่ไม่เหมือนเดิม