ช่วงเวลาที่ผ่านมา วงการสตาร์ตอัพไทยเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและความท้าทายหลายประการ ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจ และผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้หลายคนต้องคิดใหม่ทำใหม่เกี่ยวกับการลงทุนในสตาร์ตอัพ การเสวนาร่วมเปิดมุมมองของทั้งภาครัฐและเอกชนในหัวข้อ The Return of Thai Startup ก็ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการลงทุนที่ไม่ใช่แค่เพื่อการเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ต้องเน้นที่ความยั่งยืนและกำไรที่มั่นคงนั่นคือ การลงทุนกับสตาร์ตอัพไทย ที่ต้องผลักดันให้ฟื้นตัวด้วยความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน รวมถึงการเปิดตัวโปรแกรมสนับสนุนใหม่ ๆ อย่าง FinnoEfra Accelerator Program ที่มุ่งเน้นการสร้างสตาร์ตอัพที่มีความยั่งยืนและสามารถสร้างกำไรในระยะยาว
สภาพแวดล้อมการลงทุนในสตาร์ตอัพ
แซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด กล่าวถึงสภาพแวดล้อมการลงทุนในสตาร์ตอัพของประเทศไทย ได้เผชิญกับความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก และถึงแม้ตัวเลขการลงทุนดูเหมือนจะลดลงในช่วงหลัง แต่ความเป็นจริงคือเงินทุนยังคงมีอยู่เท่าเดิม โดยก่อนหน้านี้มีการลงทุนมากในกลุ่มที่เติบโตเร็ว เช่น E-commerce, Blockchain และ Cryptocurrency ซึ่งได้รับแรงหนุนจากสถานการณ์โควิด-19
อย่างไรก็ตาม หลังจากโควิดผ่านพ้น นักลงทุนและสตาร์ตอัพต่างปรับตัว โดยเน้นไปที่การสร้างกำไรระยะยาวมากกว่าการมุ่งสร้างยอดขายเพียงอย่างเดียว ทำให้การลงทุนในกลุ่ม Pre-Series A ซึ่งยังขาดการสนับสนุนจากนักลงทุนถูกมองว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนหากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม
บทบาทของ Finno Efra ที่จะเข้ามาช่วยสนับสนุนสตาร์ตอัพ
แซม กล่าวว่า FinnoEfra เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูการลงทุนในสตาร์ตอัพไทย โดยเฉพาะในช่วง Pre-Series A ซึ่งเป็นช่วงที่สตาร์ตอัพจำนวนมากขาดแคลนเงินทุนและไม่ได้รับการสนับสนุนที่เพียงพอ แม้ว่าสตาร์ตอัพในช่วงนี้จะมีศักยภาพสูงและมีความแข็งแกร่งในด้านธุรกิจ แต่การขาดเงินทุนทำให้หลายธุรกิจไม่สามารถเติบโตต่อไปได้อย่างที่ควรจะเป็น
แซมเน้นย้ำว่า หากไม่มีการลงทุนในช่วง Pre-Series A โดยเฉพาะจาก Corporate Venture Capital (CVC) ของไทย สตาร์ตอัพกลุ่มนี้อาจสูญเสียโอกาสในการเติบโต ซึ่งอาจส่งผลให้ประเทศไทยพลาดโอกาสในการพัฒนาสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพ
FinnoEfra จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Accelerator ที่จะช่วยบ่มเพาะสตาร์ตอัพใหม่ ๆ โดยไม่เพียงแค่การให้เงินทุนเท่านั้น แต่ยังเน้นการให้ความรู้และคำปรึกษาในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง โดยมีการนำผู้เชี่ยวชาญและโค้ชมากกว่า 100 คนเข้ามาช่วยในการพัฒนาสตาร์ตอัพแต่ละราย สิ่งนี้จะเป็นการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับสตาร์ทอัพ และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการฟื้นฟูวงการสตาร์ตอัพไทยอีกทางหนึ่ง
ด้าน ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสตรัคเจอร์ จำกัด กล่าวเสริมเพิ่มเติมว่า FinnoEfra เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่าง แซมและธนาคารกรุงศรี ซึ่งมองเห็นความสำคัญของสตาร์ตอัพไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม Pre-Series A ที่มักขาดการสนับสนุนทั้งในด้านเงินทุนและทรัพยากรต่าง ๆ ตัวเองซึ่งมีประสบการณ์และเป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการ E-commerce ของไทย จึงได้เข้าร่วมมือในครั้งนี้ โดยร่วมมือกับผู้บริหารที่มีความสัมพันธ์อันดีกับธนาคารกรุงศรีมานานกว่า 20-30 ปี ดังนั้น การร่วมมือครั้งนี้ถือเป็นการผสานกำลังของภาคเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญและภาคการเงินที่มีความสามารถในการจัดการและสนับสนุนการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ โครงการนี้ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าร่วมลงทุนได้ด้วย โดยมีการกำหนดเงื่อนไขการลงทุนอย่างชัดเจน นักลงทุนที่สนใจต้องมีคุณสมบัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนด เช่น ต้องมีสินทรัพย์หรือประสบการณ์ทางด้านการลงทุนที่เพียงพอ และต้องมีความเข้าใจในสินทรัพย์ประเภทนี้ โดยมีการลงทุนขั้นต่ำอยู่ที่ 500,000 บาท
FinnoEfra ยังมีแผนที่จะนำกองทุนนี้เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ในช่วงต้นของไตรมาสที่ 4 โดยระหว่างที่กองทุนยังไม่ถูกนำไปลงทุนในสตาร์ตอัพ เงินทุนเหล่านี้จะถูกนำไปฝากในตลาดเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ เพื่อสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและปลอดภัย
ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการนี้ขึ้นอยู่กับการร่วมมือกันของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน เมนทอร์ สถาบันการเงิน และสตาร์ทอัพเอง การสนับสนุนที่แข็งแกร่งจากทุกภาคส่วนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Finno Efra สามารถเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการฟื้นฟูและพัฒนาวงการสตาร์ตอัพไทยได้อย่างแท้จริง
ภาครัฐและเอกชนร่วมหนุนสตาร์ตอัพให้แข็งแกร่ง
ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้กล่าวถึงความสำคัญของการสนับสนุนสตาร์ตอัพ โดยเฉพาะในช่วง Pre-Series A ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญต่อการเติบโตของสตาร์ตอัพ โดยได้ย้ำถึงความสำคัญของการใช้กลไกต่าง ๆ เช่น การให้ทุนแบบไม่เอาหุ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่ผู้ลงทุน เช่น รัฐหรือองค์กรภาคเอกชน จะร่วมลงทุนในสตาร์ตอัพที่มีศักยภาพ โดยไม่ถือหุ้นในสตาร์ตอัพนั้น แต่จะรับเงินทุนคืนหลังจากระยะเวลาหนึ่ง เช่น 5 ปี วิธีนี้ช่วยให้สตาร์ตอัพมีโอกาสเติบโตโดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียความเป็นเจ้าของ ซึ่งช่วยให้สตาร์ตอัพได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความพยายามในการสร้างโปรแกรม Accelerator เพื่อบ่มเพาะสตาร์ตอัพและการพัฒนากลยุทธ์ร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อสนับสนุนสตาร์ตอัพในระยะยาว โดยเน้นการใช้วิธีการที่ดีที่สุดและสื่อสารผ่านการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้าน เช่น การใช้ข้อมูล (Data) หรือการนำวิธีการที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแบบอย่าง และยังแสดงความหวังว่าในอนาคต ภาครัฐและเอกชนจะเข้ามาสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรมการแพทย์ และสร้างทางเลือกใหม่ ๆ ในการลงทุนให้กับสตาร์ตอัพ โดยทุกฝ่ายควรร่วมกันวางกลยุทธ์และสร้างโครงการที่สามารถรองรับและสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ตอัพอย่างมีประสิทธิภาพในอนาคต
ดร.วาริน รัชนานุสรณ์ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) กล่าวถึงการทำงานร่วมกันระหว่าง DEPA, EDA และ True Digital Park ในการขับเคลื่อน Ecosystem ของสตาร์ตอัพในประเทศไทย โดยชี้ให้เห็นว่ามีบางสิ่งที่ยังขาดหายไปใน Ecosystem นี้ DEPA ได้พยายามแก้ไขโดยสนับสนุนการเงินและพัฒนากลไกใหม่ ๆ เช่น การคิดโมเดลการลงทุนที่ทำให้การสนับสนุนสตาร์ตอัพง่ายขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ DEPA ได้เตรียมงบประมาณสำหรับปีหน้าที่จะร่วมงานกับ Finno Efra และ DEPA เองไม่ได้เป็นแค่หน่วยงานที่ให้เงินทุนเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ดำเนินการที่ช่วยทำให้ธุรกิจสตาร์ตอัพสามารถเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อีกด้วย
ดร.ธาริต นิมมานวุฒิพงษ์ General Manager, True Digital Park เปรียบเทียบว่า True Digital Park ต้องการสร้างบรรยากาศเหมือนโรงเรียนที่เมื่อคนจบไปแล้วจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ โดยมองว่าประเทศไทยยังขาดแผนการพัฒนาที่ชัดเจนในบางด้าน ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประเทศยังไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างที่ควร นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงความสำคัญของการร่วมมือในโครงการ FinnoEfra โดย True Digital Park มีบทบาทในการสนับสนุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสถานที่ และพร้อมที่จะสนับสนุนในทุก ๆ ด้านที่จำเป็น เพราะเชื่อว่าโครงการนี้จะสามารถสร้างสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมาได้
ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสตาร์ตอัพไทยอย่างไร
แซมมองว่า ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนจะช่วยกระตุ้นให้เกิดสตาร์ตอัพใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น และช่วยผลักดันการเติบโตของสตาร์ตอัพที่มีอยู่แล้วให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น โดยเฉพาะในช่วงหลังที่มีการขอ Smart Visa จากสตาร์ตอัพต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น และก็หวังว่าโปรแกรม FinnoEfra จะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ที่สนใจเริ่มต้นสตาร์ทอัพและช่วยให้สตาร์ทอัพ Pre Series C และ Pre Series A สามารถเติบโตได้ดีขึ้น รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจให้กับเด็กที่กำลังเรียนจบ หรือคนที่กำลังทำงานอยู่ที่มีความฝันอยากทำสตาร์ทอัพมากขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ดร.วาริน กล่าวถึงการที่ Finno Efra สามารถเป็นโมเดลการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยการใช้ทรัพยากรที่มีเพื่อสนับสนุนและฟื้นฟูวงการสตาร์ทอัพที่เคยซบเซาไป และสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งเสริมสตาร์ทอัพได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
สำหรับ ดร.กริชผกา ชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น โดยมีการเชื่อมต่อกันผ่านกลไกต่าง ๆ เช่น Corporate Co-funding และ Matching Fund รวมถึงการเชื่อมโยงแหล่งเงินทุนที่มาจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่กำลังพยายามจะเชื่อมต่อกันมากขึ้น หากเราสามารถนำพากันไปในจุดที่ถูกต้อง เชื่อว่าจะทำให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพไทยและเป็นการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในการทำงานร่วมกัน
สุดท้าย พจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด กล่าวเสริมเพิ่มเติมถึงความสำคัญของการสร้างแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในสตาร์ทอัพได้ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคต รวมถึงการทำกองทุนที่มันจับต้องได้ ให้คนประชาชนทั้วไปสามารถเข้ามาซื้อได้ ซึ่งจะทำให้คนสามารถเข้าถึงสตาร์ทอัพได้ ในขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องมองในเรื่องของภาษีการทำกองทุนให้ได้รับการยกเว้นภาษี และนโยบายจะต้องเข้ามาร่วมกันถึงจะช่วยให้ประสบความสำเร็จในภาพรวมอีกด้วย
สรุปภาพรวมโครงการ Finno Efra Accelerator Program
ปิดท้ายเพิ่มเติมด้วยการเปิดตัวโครงการ Finno Efra Accelerator Program โครงการที่จะใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการบ่มเพาะสตาร์ตอัพไทยให้แข็งแรง โดยในแต่ละรอบจะเปิดรับสตาร์ตอัพประมาณ 10 บริษัทที่อยู่ในระดับ Seed จนถึง Pre Series-A และสตาร์ตอัพที่เข้าร่วมเรียนในหลักสูตรนี้จะมีโอกาสได้รับเงินลงทุนจากกอง Finno Efra ตั้งแต่ 8-40 ล้านบาท พร้อมพบกับเมนเทอร์และนักลงทุนมากกว่า 100 ท่าน ที่จะเข้ามาดูแลและให้คำแนะนำสตาร์ทอัปแต่ละทีมเป็นพิเศษ รวมถึงพาร์ทเนอร์รายใหญ่มากมายร่วมให้การสนับสนุน เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ, DEPA, True Digital Park, Wisesight
ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่วันนี้ – วันที่ 15 กันยายน 2567 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
FinnoEfra หนุนสตาร์ตอัพไทยโต พร้อมโปรแกรมเร่งการเติบโตจากกูรู
ถอดรหัสความสำเร็จ 3 รุ่น “ตัน – ยอด – ท๊อป”