Share on
×

Share

Nature-Based Solution: กุญแจสู่การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน เริ่มต้นที่ระบบนิเวศ

เปิดมุมมองการจัดการและดูแลระบบนิเวศที่หลายคนมองข้าม โดย ดร.เพชร มโนปวิตร ที่ปรึกษาองค์การสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ เลขาธิการมูลนิธิโลกสีเขียวและนายกสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย ที่มาให้ความรู้และกระตุ้นการตื่นของคนไทยในเรื่องของสถานการณ์น้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพในประเทศไทย

ระบบนิเวศที่ถูกมองข้ามกับวิกฤติน้ำที่กำลังเกิดขึ้น

เปิดมุมมองของการจัดการน้ำ ที่ไม่ได้ใช้เพียงแค่องค์ความรู้ในด้านของวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว แต่การจัดการน้ำต้องอาศัยความเข้าใจในเชิงระบบนิเวศรวมด้วย มุมมองความเข้าใจในเชิงระบบนิเนศจะช่วยให้สามารถจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งมีการใช้แนวทางนี้มาโดยตลอด ยกอย่างที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 25 ปีก่อนมูลนิธิโลกสีเขียวได้ริเริ่มโครงการนักสืบสายน้ำเป็นการ empower ชุมชนและเยาวชน ให้สามารถเข้าใจในเรื่องของคุณภาพน้ำผ่านการจำแนกชนิดของสัตว์ที่เกิดในแหล่งน้ำ เป็นแนวทาง Citizen science หลายคนมีชีวิตอยู่ได้ถ้าไม่มีความแต่รัก แต่ไม่มีใครสักคนเลยที่จะอาศัยอยู่ได้หากขาดน้ำ เป็นสิ่งที่เป็นแนวคิดหลักของมูลนิธิโลกสีเขียว ที่ต้องการให้ความรู้มาพร้อมกับความรักในโลกที่เต็มไปด้วยข้อมูลตัวเลขมากมาย หากไม่สามารถเปลี่ยนจิตใจของคนได้ก็ยากที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมและ mindset  

ทรัพยากรน้ำมีความสำคัญกับประเทศไทย ทั้งในเชิงเกษตรกรรม ในเชิงอุตสาหรรม ในเชิงการท่องเที่ยว เป็นอุตกรรมรวมถึงเครื่องมือในการพัฒนาเศรษกิจและขับเคลื่อนประเทศ ในขณเดียวกันน้ำก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ ในการปกป้องรักษาสมดุลของระบบนิเวศ แน่นอนว่าในตอนนี้กำลังเผชิญวิกฤติและความท้าทายต่างๆ มากมาย อย่างในขณะนี้ทางภาคเหนือก็ได้เผชิญกับวิกฤติน้ำป่าไหลหลาก ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าเกิดจากการจัดการที่ผิดพลาดในส่วนของการจัดการต้นน้ำ ทำให้ในเกิดการจัดการน้ำที่ไม่มีประสิทธิภาพตลอดแนวทาง นอกจากจะประสบปัญหาเรื่องน้ำยังถูกซ้ำเติมด้วย การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดวิกฤติภัยแล้งและวิกฤติอุทกภัยขึ้นในระยะเวลาเดียวกัน

ปัญหาด้านคุณภาพน้ำที่เป็นปัญหาใหญ่ระดับโลกได้เกิดขึ้นแล้วที่ประเทศไทยในโซนภาคตะออก เกิดปรากฎการณ์ Dead Zone จากการใช้ปุ๋ยหรือสารเคมีมากเกินขนาด รวมทั้งยาฆ่าแมลงที่มีการใช้ในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม ทำให้ถูกชะล้างลงน้ำ ส่งผลให้บริเวณชายฝั่งเป็นเขตที่ไม่มีออกซิเจน ซึ่งเป็นความเสียหายที่รุนแรง จากาการที่พัฒนาโดยทิ้งธรรมชาติไว้ข้างหลัง ละเลยความเข้าใจการทำงานของระบบนิเวศ

แนวทางการจัดการวิกฤติน้ำที่ต้องคิดตั้งแต่ต้นน้ำ

การจัดวิกฤติน้ำ Nature-Based Solution สามารถแก้ปัญหาการจัดการได้ 3 ด้าน ทั้งในด้าน 1.Water Availability การเก็บกักรักษาน้ำให้มีอยู่เพียงพอ 2.Water Quality การปรับปรุงคุณภาพน้ำและ 3.Water-Related Rick การลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากน้ำทั้งภัยแล้งและน้ำท่วม ซึ่งต้องมองภาพใหญ่และนำความเข้าใจในเรื่องของระบบนิเวศเข้ามาใช้ หากเข้าใจพื้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ ที่มีอยู่ถูกเชื่อมด้วยสายน้ำลำธาร สามารถที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการจัดการน้ำได้ทั้งสิ้น ถ้ามีการจัดการตั้งแต่ป่าต้นน้ำที่ทำให้มีพื้นที่รับน้ำ และอาศัยการจัดการจัดสรรพื้นที่บางส่วนไว้ เพื่อรับมือเหตุฉุกเฉินก็สามารถลดความเสียหายได้ แต่ถ้าสูญเสียป่าต้นน้ำในการที่จะดูดซับน้ำตั้งแต่แรก ปัญหาวิกฤติต่าง ๆ ก็จ่ะสงผลถึงปลายน้ำในที่สุด

การที่แม่น้ำไหลคดเคี้ยวเป็นวิวัฒนาการทางระบบนิเวศที่ช่วยในการปรับปรุงคุณภาพน้ำ ช่วยชะลอการไหลของน้ำ นอกจากนี้น้ำหลายตามแม่น้ำลำคลองกลายเป็น community และบางแม่น้ำเป็นเส้นทางขนส่งน้ำ แต่นอกจากนี้ตะกอนที่ถูกกักเก็บเอาไว้เหนือเขื่อน จะทำให้เกิดการกัดเซาะตลิ่ง ทำให้โครงสร้างพื้นฐานต่างๆเสียหาย จากการที่ไม่สามารถจัดการน้ำแยกเป็นส่วนๆ ได้ ตะกอนที่ถูกกักเก็บไว้เมื่อต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ ความจริงแล้วคือการส่งต่อสารอาหาร การจัดการปัญหาในส่วนนี้ต้องอาศัยความเข้าใจในเชิงระบบนิเทศเข้าไปจัดการ

แนวทางการจัดการน้ำ Nature-Based Solution

การมีน้ำเก็บไว้ใช้อยู่ การฟื้นฟูป่า ต้องเข้าใจพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีอยู่ เพราะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการน้ำได้ ซึ่งการเกษตรที่เพิ่มความชุ่มชื้นในดินจะช่วยทำให้ดินที่เป็นระบบนิเวศกักเก็บน้ำได้มากขึ้น นอกจากนี้การเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำในพื้นที่ ต้องปรับปรุงคุณภาพน้ำให้มีต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ โดยการรักษาพืชริมน้ำให้ได้มากที่สุด เพราะจะช่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำได้อย่างมหาศาล ปัจจุบันอาจจะเคยเห็นภาพการจัดการน้ำยุคใหม่ที่ทำตลิ่งมาเกย ความจริงแล้วจะเป็นการทำให้สารเคมีต่างๆ ชะล้างได้ง่ายขึ้น ส่วนการลดความเสี่ยง Water-Related Rick ถ้ามีการฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นแหล่งรับน้ำ การอนุรักษ์ระบบนิเวศริมชายฝั่ง รวมไปถึงการบรูณาการเข้าไปในเมืองก็ช่วยลดความเสี่ยงจากปรากฎการณ์ของน้ำที่เกิดวิกฤติขึ้น

หัวใจสำคัญของ Nature-Based Solution ไม่ได้มองการจัดการน้ำต้องอาศัยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย Co-benefits ในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคมเข้ามาร่วมด้วย Co-benefits ด้านสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจนที่สุดคือความหลากหลายทางชีวที่มีเพิ่มขึ้น ด้าน Social co-benefits สามารถเพิ่มความมั่นคงทางอาหารให้กับชุมชนได้และ Economic co-benefits ช่วยลดต้นทุนในการบำบัดน้ำทำให้สามรถปรับปรุงคุณภาพน้ำโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งการทำเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นอีกสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาใหญ่ของการจัดการปัญหาการจัดการน้ำไม่ใช่แค่น้ำท่วมหรือภัยแล้งเท่านั้น ปัจจุบันคือคุณภาพน้ำที่เป็นปัญหาใหญ่มาก ๆ การทำการเกษตรกรรมยั่งยืนเป็นอีกแนวทางที่จะทำให้ระบบนิเวศดีขึ้น สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ ช่วยให้ระบบนิเวศฟื้นตัวกลับมา

Nature-Positive ร่วมมือแก้ปัญแบบภาพใหญ่

Nature-Positive ไม่ใช่แค่การลดผลกระทบในสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ต้องฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมาเป็นเชิงบวกร่วมด้วยเป็นเป้าหมายระดับโลก การจัดการแบบอาศัยธรรมชาติมีระบบนิเวศเป็นพื้นฐานนอกจากจะช่วยแก้ปัญหาแล้ว สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ Nature-Positive Outcomes ผสานไปกับความร่วมมือของทุกภาคส่วน การมีความรู้ความใจในเชิงระบบนิเวศ Nature-Based Solution มีความสำคัญต่ออนาคตในประเทศไทย เพราะเป็นแนวทางที่มองภาพใหญ่และได้ประโยชน์หลายอย่าง ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นและวิกฤติในปัจจุบันไม่สามารถแก้ทีละอย่างได้ ต้องแก้หลายอย่างไปพร้อมๆ กัน ซึ่งการลงทุนเพื่อความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าการตอบโจทย์เป้าหมายระดับโลก การจัดการน้ำเป็นวิกฤตการณ์ที่สำคัญ แนวทางการแก้ปัญอย่าง Nature-Based Solution เปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ได้ครบภาพใหญ่ ทำให้แนวในเรื่องการจัดการน้ำ สิ่งแวดล้อม รวมไปถึงวิกฤติต่าง ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่มีทางออกได้เป็นจริงมากขึ้น

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จาก League of Legends สู่ VALORANT ความสำเร็จของ Riot Games

AI for All Thais: ไมโครซอฟท์ ประกาศสร้างทักษะ AI ให้คนไทย

เยี่ยมชม “ไทยวาโมเดล” ณ ไร่มันสำปะหลัง มาตรฐาน FSA อ.โนนสะอาดจ.อุดรธานี

×

Share

ผู้เขียน