ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่ถาโถม ตัวเลขหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP ได้กลายเป็นสัญญาณเตือนภัยที่ดังที่สุดของประเทศไทย แต่นี่ไม่ใช่เพียงปัญหาทางการเงินของปัจเจกบุคคลอีกต่อไป หากแต่เป็นภาพสะท้อนของวิกฤติเชิงโครงสร้างที่หยั่งรากลึก ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและอนาคตของประเทศโดยตรง
บนเวทีเสวนา Thailand Focus 2025 กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากทั้งภาคนโยบาย สถาบันการเงิน และศูนย์ข้อมูลเครดิต ได้มาร่วมกันมองภาพให้เห็นถึงต้นตอของปัญหา พร้อมชี้ทางออกจากวังวนหนี้ที่ซับซ้อนนี้ เพื่อเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาสในการลงทุนครั้งสำคัญ
เจาะลึกอาการหนี้ไทย: เมื่อ “คนรุ่นใหม่” เริ่มเป็นหนี้และ “คนเกษณ” ยังใช้หนี้ไม่หมด
ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ธรรมชาติของหนี้ครัวเรือนไทยมีความน่ากังวลในหลายมิติ ปรากฏการณ์ที่ชัดเจนคือวงจรหนี้ที่เริ่มต้นเร็วและจบช้า กล่าวคือคนวัยเริ่มทำงาน (First Jobber) กำลังก่อหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย ขณะที่คนวัยเกษียณจำนวนมากก็ยังคงมีภาระหนี้สินติดตัว วิกฤตินี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่ได้แผ่ขยายไปตามทุกช่วงวัยของชีวิต
ปัญหาเริ่มต้นขึ้นในกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย 20-29 ปี ที่กว่าครึ่งหนึ่งมีหนี้ในระบบแล้ว และที่น่าตกใจคือ 1 ใน 4 ของกลุ่มนี้เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้ กลายเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) สูงที่สุดกลุ่มหนึ่ง
หนี้ก้อนแรกของพวกเขามักเป็นสินเชื่อที่เข้าถึงง่าย เช่น สินเชื่อรถจักรยานยนต์ สินเชื่อส่วนบุคคล และบัตรกดเงินสด ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ไม่ใช่เพื่อการสร้างรายได้หรือต่อยอดธุรกิจ สาเหตุสำคัญมาจากรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ ประกอบกับความจำเป็นในการใช้จ่ายเพื่อสร้างตัวและเข้าสังคม ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากติดอยู่ในกับดักหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย
เมื่อก้าวเข้าสู่วัยสร้างครอบครัว (อายุ 35-50 ปี) ภาระหนี้ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นกลุ่มที่ต้องแบกรับหนี้สินมากที่สุด ทั้งหนี้ส่วนบุคคล หนี้รถยนต์ และที่สำคัญคือหนี้บ้านซึ่งเป็นภาระผูกพันระยะยาว ทำให้คนวัยทำงานจำนวนมากไม่สามารถสร้างเงินออมได้อย่างที่ควรจะเป็น
สถานการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ปัญหาใหญ่ในวัยเกษียณ พบว่า 1 ใน 3 ของคนหลังวัยเกษียณยังคงเป็นหนี้ และกว่า 10% เป็นหนี้เสีย ตัวเลขนี้สะท้อนปัญหาการขาดการวางแผนทางการเงินและเงินออมที่ไม่เพียงพอ ซึ่งผู้สูงอายุจำนวนมากต้องพึ่งพารายได้จากการทำงานต่อไป หรือหวังพึ่งพิงจากบุตรหลาน หนี้สินในวัยนี้จึงกลายเป็นหนี้เพื่อการดำรงชีพประจำวัน และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น การเจ็บป่วย ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาทรุดหนักลงไปอีก
ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่คนใหม่ ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) กล่าวว่า แม้ยอดหนี้คงค้างในระบบกว่า 13.5 ล้านล้านบาทจะเริ่มทรงตัว แต่จำนวนบัญชีกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนว่าคนยังคงก่อหนี้ แต่ในวงเงินที่เล็กลง และเมื่อเจาะลึกจะพบว่าสินเชื่อส่วนบุคคลคือกลุ่มที่มีปัญหาหนี้เสียมากที่สุด และที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ NPL ใน สินเชื่อที่อยู่อาศัย กลับมีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายว่าภาระหนี้ได้กัดกินลึกจนกระทบต่อความมั่นคงพื้นฐานที่สุดของครัวเรือน ที่คนมักจะพยายามรักษาไว้เป็นสิ่งสุดท้าย
ต้นตอวิกฤติ: รากฐานเศรษฐกิจที่เปราะบางและ “Last Mile” ที่เข้าไม่ถึง
ผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งที่ตั้งอยู่บนฐานเศรษฐกิจที่เปราะบางของประเทศ โครงสร้างนี้มีลักษณะสำคัญหลายประการที่ล้วนเป็นต้นตอของวิกฤติ
- ประการแรก คือขนาดของเศรษฐกิจนอกระบบ (Informal Economy) ที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด (48%) ส่งผลให้แรงงานกว่า 20 ล้านคน หรือ 53% ของผู้มีงานทำทั้งหมด เป็นแรงงานนอกระบบ คนกลุ่มนี้ซึ่งรวมถึงเกษตรกร ผู้ค้าหาบเร่แผงลอย และฟรีแลนซ์จำนวนมาก ล้วนมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ขาดหลักประกันทางสังคม และไม่สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้ นี่คือรากฐานที่สร้างความไม่มั่นคงทางรายได้ให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ
- ประการที่สอง คือความไม่สมดุลอย่างรุนแรงของโครงสร้างธุรกิจ แม้วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) จะเป็นแหล่งจ้างงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยรองรับแรงงานกว่า 70% แต่กลับสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ (GDP) ได้เพียง 30-35% สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับบริษัทขนาดใหญ่เพียง 1% ที่สามารถสร้าง GDP ได้มากถึง 65% ความเหลื่อมล้ำทางผลิตภาพ (Productivity) นี้เองที่เป็นตัวการสำคัญของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ทำให้คนส่วนใหญ่ที่ทำงานหนักกลับไม่ได้รับผลตอบแทนที่เพียงพอต่อการยกระดับคุณภาพชีวิต
- ประการสุดท้าย คือปัญหา Last Mile หรือการเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน ซึ่งเป็นผลพวงโดยตรงจากสองประการแรก เมื่อคนส่วนใหญ่ไม่มีเอกสารแสดงรายได้ที่ชัดเจน ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน หรือไม่มีประวัติในศูนย์ข้อมูลเครดิต พวกเขาจึงถูกปฏิเสธจากสถาบันการเงินในระบบและถูกผลักให้ไปพึ่งพาหนี้นอกระบบซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 14% ของ GDP ตลาดมืดทางการเงินนี้ไม่ได้เป็นเพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอดเดียวของคนจำนวนมากที่ต้องยอมแลกกับอัตราดอกเบี้ยที่มหาโหดและเงื่อนไขที่ไร้การกำกับดูแล
โครงสร้างที่เปราะบางทั้งสามส่วนนี้เองที่ทำให้คนไทยจำนวนมากมีรายได้น้อย ขาดความสามารถในการรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก่อหนี้เพื่อการอยู่รอด ซึ่งท้ายที่สุดได้กลายเป็นวิกฤติหนี้ครัวเรือนที่เรื้อรังและบั่นทอนศักยภาพของประเทศมาจนถึงทุกวันนี้
ทางรอดที่ยั่งยืน: จาก “โรงพยาบาลรักษาหนี้” สู่ “การสร้างเศรษฐกิจที่แข็งแรง”
ท่ามกลางสถานการณ์ที่น่ากังวล ผู้ร่วมเสวนาเห็นตรงกันว่านี่คือ โอกาสที่ดีที่สุดในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยมีแนวทางแก้ไขที่ต้องทำควบคู่กันไปในหลายมิติ
แนวทางแรกคือการจัดการหนี้เสียที่มีอยู่ โดย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กรรมการบริหาร กรรมการกำกับความเสี่ยง บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้เปรียบเทียบว่าลูกหนี้คือ “ผู้ป่วย” และบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) คือ “โรงพยาบาล” ซึ่งปัจจุบันไทยมีหนี้ที่มีปัญหาราว 2 ล้านล้านบาท แต่มี AMC เพียง 86 แห่ง ทำให้ต้องใช้เวลาถึง 7-10 ปีในการจัดการหนี้ทั้งหมด
ข้อเสนอเร่งด่วนจึงเป็นการเสริมแกร่ง “โรงพยาบาล” เหล่านี้ โดยภาครัฐควรสนับสนุน Soft Loan เพื่อขยายศักยภาพของ AMC ที่มีอยู่เดิม พร้อมผ่อนคลายกฎระเบียบ และใช้กลไกที่มีอยู่แล้วในการดูดซับหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อเร่งกระบวนการรักษาให้เร็วขึ้นเหลือเพียง 4-5 ปี
ถัดมาคือการสร้างระบบนิเวศทางการเงินที่แข็งแรงและทั่วถึง โดยมีกุญแจสำคัญคือ “ข้อมูล” ธปท. ได้ริเริ่มโครงการ “Your Data” ที่ให้ลูกค้าเป็นเจ้าของข้อมูลและสามารถส่งต่อเพื่อใช้ในการวิเคราะห์สินเชื่อได้ พร้อมผลักดันให้เกิดการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ มาประกอบการพิจารณา ขณะที่ NCB ก็พร้อมที่จะเป็น “แพลตฟอร์มสุขภาพทางการเงิน” เพื่อใช้ข้อมูลแจ้งเตือนความเสี่ยงและหาโอกาสในการเข้าถึงสินเชื่ออย่างยั่งยืน การสร้างกติกาการแข่งขันที่เท่าเทียมและการเปิดทางให้ผู้เล่นรายใหม่อย่าง Virtual Bank ก็จะช่วยกระตุ้นให้เกิดนวัตกรรมและบริการที่เข้าถึงคนได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการทั้งหมดนี้จะเป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุหากไม่มุ่งไปสู่ยาขนานเอก นั่นคือการเพิ่มรายได้และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง คุณผยงย้ำว่า การลดดอกเบี้ยเป็นเพียงเครื่องมือชั่วคราว ทางออกที่ยั่งยืนต้องมาจากการปฏิรูปโครงสร้างที่ชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยมาตรการระยะสั้นเพื่อช่วยเหลือเฉพาะหน้า ควบคู่ไปกับมาตรการระยะกลางในการปฏิรูปเครือข่ายความปลอดภัยทางสังคมให้แข็งแกร่ง
โดยแผนการทำภาษีเงินได้ติดลบ (Negative Income Tax) ภายในปี 2027 ของกระทรวงการคลัง จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้างฐานข้อมูลรายได้และความมั่งคั่งของประชากรทั้งประเทศ และเป้าหมายสูงสุดในระยะยาวคือ การขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้ ผ่านการสร้างงานที่มีคุณภาพ โดยอาศัยความร่วมมือระหว่างภาคการเงินและภาคธุรกิจจริง เพื่อยกระดับทักษะแรงงานและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
วิกฤติหนี้ครัวเรือนในวันนี้ แม้จะดูเหมือน “พายุที่สมบูรณ์แบบ” (Perfect Storm) แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือ “โอกาสที่สมบูรณ์แบบ” (Perfect Opportunity) ที่บีบให้ทุกภาคส่วนต้องหันหน้ามาร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อลงมือแก้ปัญหาที่รากฐาน และสร้างเศรษฐกิจไทยให้กลับมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งจะเป็นการปลดล็อกโอกาสทางการลงทุนที่แท้จริงสำหรับอนาคต
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
พลังอาสาสมัคร: จากประชากรกลุ่มเล็ก ๆ สู่ประเทศอันดับ 3 ของโลก
พาณิชย์รับมือบริบทการค้าโลกเปลี่ยน เร่งหาแนวทางสร้างมูลค่าเพิ่มและมาตรฐานสินค้า