ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา วงการสาธารณสุขของไทยได้สร้างชื่อเสียงจนเป็นที่ยอมรับในระดับโลก ตั้งแต่การเป็นผู้นำด้านสาธารณสุขเชิงป้องกันด้วยระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแห่งแรกในภูมิภาค ไปจนถึงการมีเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนระดับเวิลด์คลาสที่บุกเบิก “การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์” (Medical Tourism) จนสร้างรายได้มหาศาลให้ประเทศ
แต่ท่ามกลางความสำเร็จนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) และประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น ภาวะเงินเฟ้อทางการแพทย์ที่สร้างแรงกดดันด้านต้นทุน การขาดแคลนบุคลากร และการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน
คำถามสำคัญคือ เทคโนโลยีสุขภาพ (Health Tech) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และนวัตกรรมการรักษาขั้นสูง (Advanced Therapeutics) จะเข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้หรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยมีศักยภาพพอที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมเหล่านี้ขึ้นเอง เพื่อผลักดันให้เกิด S-Curve ใหม่แก่อุตสากรรมสาธารณสุขของประเทศได้หรือไม่
รากฐานที่แข็งแกร่งและจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย

นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ประธานคณะผู้บริหาร (CEO) กลุ่ม 3 และกลุ่ม 6 ของบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ให้มุมมองว่า จุดแข็งที่เป็นรากฐานสำคัญของไทยประกอบด้วยสองส่วนหลัก ส่วนแรกคือ บุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถสูงมาก หลายคนจบการศึกษาจากต่างประเทศและไม่เคยหยุดที่จะพัฒนาความรู้และทักษะของตนเองอยู่เสมอ ทำให้มีระดับความเชี่ยวชาญที่เป็นเลิศ แต่ส่วนที่สองคือคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ที่หาได้ยากจากที่อื่น นั่นคือ “ความเห็นอกเห็นใจแบบไทย” (Thai Compassionate) ซึ่ง นพ.ก้องเกียรติ อธิบายว่า “เมื่อเราดูแล หมายความว่าเราใส่ใจจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำตามหน้าที่แล้วสี่โมงเย็นก็จบกันไป” การผสมผสานระหว่างความเชี่ยวชาญและความทุ่มเทใส่ใจนี้เองที่ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหมุดหมายด้านบริการสุขภาพของโลก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่ก็ยังมีจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่ขาดหายไป นพ.ก้องเกียรติเปรียบเทียบอุตสาหกรรมสาธารณสุขไทยกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่เรามองตัวเองเป็นดีทรอยต์แห่งเอเชีย แต่เขาก็ได้เตือนว่า “เมื่อเรามองไปที่เมืองดีทรอยต์ในสหรัฐอเมริกาตอนนี้ มันคือเมืองที่ว่างเปล่า” ซึ่งสะท้อนความเสี่ยงของการเป็นเพียงผู้ให้บริการและผู้ประกอบที่ยอดเยี่ยม แต่ขาดเทคโนโลยีหลักเป็นของตนเอง
“ในฐานะแพทย์ ผมมีฝีมือที่ดีในการรักษาคนไข้ แต่สิ่งที่อยู่นอกเหนือจากฝีมือของผมนั้น ผมต้องซื้อทุกอย่าง แม้กระทั่งมีดผ่าตัด สายน้ำเกลือ ทุกอย่างต้องนำเข้า” หากต้องการยกระดับผลการรักษาให้ดีขึ้น ทางเลือกเดียวคือการนำเข้าให้มากขึ้น ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญ
ทว่าในยุคที่ AI และเทคโนโลยีการรักษาด้วยยีนและเซลล์ (Gene and Cell Therapy) กำลังเริ่มต้น ทุกประเทศทั่วโลกต่างอยู่บนโค้งขาขึ้น ในจุดสตาร์ทเดียวกัน ต้นทุนในการเข้าสู่นวัตกรรมเหล่านี้ไม่สูงระดับพันล้านดอลลาร์เหมือนการลงทุนในอดีต ประกอบกับประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความสามารถทั้งแพทย์ วิศวกร และวิศวกร AI ที่เก่งกาจ ดังตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของนักวิจัยระดับ PhD จาก Google Health ที่ตัดสินใจทิ้งเงินทองแล้วกลับมาทำงานที่โรงพยาบาลศิริราชด้วยความตั้งใจที่จะทำให้ประเทศไทยยิ่งใหญ่อีกครั้ง นี่จึงเป็นโอกาสครั้งประวัติศาสตร์ที่ไทยจะสามารถเติมเต็มจิ๊กซอว์ที่ขาดหาย และกระโดดขึ้นสู่โค้งการเติบโตระลอกใหม่นี้ได้
ส่องนวัตกรรมเปลี่ยนโลกจากรั้วศิริราช
ศ.นพ.สิทธิ์ สาธรสุเมธี รองคณบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นศูนย์การแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเป้าหมายในการก้าวสู่ 100 อันดับแรกของโรงเรียนแพทย์ระดับโลกใน 5-10 ปีข้างหน้า ได้เล่าให้เห็นถึงศักยภาพด้านการวิจัยและนวัตกรรมที่จับต้องได้ ผ่านโครงการเรือธงต่าง ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ภายในอาคารวิจัยสูง 12 ชั้นที่สร้างขึ้นเพื่อภารกิจนี้โดยเฉพาะ
โครงการแรกคือการประยุกต์ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทางการแพทย์ ซึ่งเริ่มต้นเมื่อ 6-7 ปีก่อน โดยศิริราชร่วมมือกับ Perceptra สตาร์ตอัพสัญชาติไทย พัฒนา AI ช่วยอ่านภาพถ่ายทางรังสีวิทยาจากการฝึกฝนด้วยข้อมูลภาพกว่าหนึ่งล้านตัวอย่าง จนมีความแม่นยำสูงกว่า 90% ขณะนี้เทคโนโลยีกำลังอยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียนบัญชีนวัตกรรมไทยเพื่อให้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าครอบคลุม และได้มีการอนุญาตให้โรงพยาบาลเครือ BDMS รวมถึงโรงพยาบาลรัฐอื่น ๆ นำไปใช้แล้ว
นอกจากนี้ ศูนย์ AI ทางการแพทย์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ยังมุ่งเน้นการพัฒนา AI เพื่อการวินิจฉัยทางพยาธิวิทยาที่สามารถจำแนกชนิดของเนื้องอกได้ลึกถึงระดับโมเลกุล และเทคโนโลยี Ambient Scribing ที่ช่วยลดภาระของแพทย์โดยการแปลงเสียงสนทนากับผู้ป่วยเป็นบันทึกเวชระเบียนโดยอัตโนมัติ
นวัตกรรมถัดมาที่แก้ปัญหาอย่างตรงจุดคือ หน่วยรักษาอัมพาตเคลื่อนที่ (Mobile Stroke Unit) ซึ่งเป็นผลงานความร่วมมือกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อรับมือกับปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ ที่เป็นอุปสรรคต่อการรักษาผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง รถพยาบาลพิเศษนี้ติดตั้งเครื่อง CT Scan ทำให้สามารถวินิจฉัยและให้ยาละลายลิ่มเลือดได้ทันที ณ จุดเกิดเหตุ ผลลัพธ์คือลดเวลารอคอยการรักษาลง 50% เพิ่มอัตราการเข้าถึงการรักษาที่จำเพาะได้ 3 เท่า และลดความพิการที่เกี่ยวข้องกับโรคลงถึง 2 เท่า ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้ถูกนำไปใช้ในหลายประเทศแถบแปซิฟิกและกำลังขยายผลทั่วประเทศไทย
ขณะเดียวกัน ศิริราชยังเป็นผู้นำด้านจีโนมิกส์และการแพทย์แม่นยำ (Genomics and Precision Medicine) ในฐานะศูนย์กลางการตรวจและแปลผลจีโนมมะเร็งระดับชาติที่รับตัวอย่างจากทั่วประเทศ และยังเป็น “ศูนย์ความเป็นเลิศ” ของเทคโนโลยี Oxford Nanopore ซึ่งเป็นเครื่องหาลำดับสารพันธุกรรมรุ่นที่สามแบบพกพา ทำให้การตรวจยีนทำได้ทุกที่ นำไปสู่แนวคิดพาสปอร์ตการแพ้ยาที่ทุกคนสามารถตรวจยีนของตนเองตั้งแต่ตอนที่ยังมีสุขภาพดี เพื่อให้รู้ว่ามีความเสี่ยงจะแพ้ยาชนิดใดบ้าง และสามารถแจ้งให้แพทย์ทราบได้ทันทีเมื่อต้องเข้ารับการรักษา
และสุดท้ายที่ถือเป็นความหวังสูงสุดคือ เซลล์และยีนบำบัด (ATMP) โดยเฉพาะเทคโนโลยี CAR T-cell ที่ได้รับรางวัลโนเบล ซึ่งเป็นการปรับแต่งเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว แต่มีราคาสูงถึง 15-16 ล้านบาทต่อราย ศิริราชจึงไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น แต่กำลังมุ่งมั่นพัฒนา CAR T-cell “รุ่นที่ 4 และ 5” ซึ่งคาดว่าจะปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นที่ใช้กันในปัจจุบัน เพื่อให้คนไทยสามารถเข้าถึงการรักษาระดับโลกนี้ได้
จากห้องแล็บสู่เตียงผู้ป่วย: เมื่อเอกชนผนึกกำลังนักวิจัย
เมื่อนวัตกรรมล้ำสมัยถือกำเนิดขึ้นในรั้วมหาวิทยาลัย คำถามสำคัญคือจะนำสิ่งประดิษฐ์เหล่านั้นจาก “ห้องแล็บมาสู่เตียงผู้ป่วย” ได้อย่างไร นพ.ก้องเกียรติ ได้ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของภาคเอกชนในการเป็นสะพานเชื่อมที่สำคัญ โดยกำหนดบทบาทของตัวเองอย่างชัดเจนว่า “วิธีที่ดีที่สุดคือการทำงานร่วมกับศาสตราจารย์ เพื่อนำความรู้มาต่อยอดให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วย”
ด้วยแนวคิดนี้ BDMS จึงได้จัดตั้ง “กองทุนลงทุนในสตาร์ตอัพ Health Tech ของไทยโดยเฉพาะ” โดยมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่ผลตอบแทนการลงทุน นั่นคือการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) และผลักดันให้เกิดการใช้งานจริง BDMS จะเข้าไปร่วมลงสนาม (Put skin in the game) ในฐานะ “ผู้รับนวัตกรรมรายแรก” (First Adopter) ซึ่งเป็นบทบาทสำคัญในการให้ข้อเสนอแนะแก่นักวิจัยว่านวัตกรรมจากห้องปฏิบัติการจะสามารถขยายผลในเชิงธุรกิจได้อย่างไร เพื่อให้เกิดความยั่งยืนทั้งสองฝ่าย ดังที่ได้ร่วมมือกับทีม Perceptra และทีมจีโนมิกส์ของศิริราชมาแล้ว
นพ.ก้องเกียรติ ได้ยกตัวอย่างเพื่อตอกย้ำความจำเป็นของแนวทางนี้ นั่นคือเทคโนโลยี ยีนบำบัดสำหรับรักษาโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งประเทศไทยมีเด็กป่วยด้วยโรคนี้ถึง 6 แสนคน แต่การรักษาในต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (กว่า 100 ล้านบาท) ต่อราย เขาได้คำตอบจากศาสตราจารย์ในสหรัฐฯ ว่าที่ราคาสูงเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะต้นทุนการผลิต แต่เป็นเพราะบริษัทยาคำนวณราคาจากมูลค่าของชีวิตที่เพิ่มขึ้น หากเด็กรักษาตอนอายุ 6 ขวบ และจะมีชีวิตต่อไปอีก 60 ปี บริษัทยาก็ต้องการส่วนแบ่งจากมูลค่าของชีวิตนั้น นี่จึงเป็นบทสรุปที่ชัดเจนว่า
“หากเราไม่สามารถสนับสนุนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย และภาคเอกชนไม่เข้ามาช่วยทำให้มันเกิดขึ้นจริง เราจะไม่มีวันเข้าถึงการรักษาแบบนี้ได้ตลอดไป เพราะมันแพงเกินกว่าที่เราจะจ่ายไหว”
สมรภูมิ “Valley of Death” และทางออก “Health Innovation Sandbox”
แม้จะมีศักยภาพสูง แต่เส้นทางของนวัตกรรมไทยยังต้องเผชิญกับสมรภูมิที่ท้าทาย นพ.ศุภชัย ปาจริยานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) และผู้ร่วมก่อตั้ง ของ RISE ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้ชี้ให้เห็นถึงอุปสรรคที่สตาร์ตอัพไทยต้องเผชิญ คือ ช่องว่างด้านเงินทุน โดยเงินสนับสนุนจากภาครัฐอาจอยู่ที่ประมาณ 100,000-150,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับความต้องการจริงที่อาจสูงถึง 500,000 หรือ 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในการเริ่มต้น
นอกจากนี้ยังขาดประสบการณ์และทางลัด ในการขอการรับรองมาตรฐานระดับโลกอย่าง US FDA ทำให้สตาร์ตอัพจำนวนมากเลือกที่จะย้ายไปตั้งบริษัทในสิงคโปร์หรือสหรัฐอเมริกาเพื่อหาโอกาสที่ดีกว่า
ในขณะเดียวกัน ศ.นพ.สิทธิ์ ได้อธิบายถึงช่วงเวลาวิกฤติที่เรียกว่า “หุบเหวแห่งความตาย” (Valley of Death) ซึ่งเป็นช่วงรอยต่อระหว่างระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL ที่ 4-6) หลังจากงานวิจัยพิสูจน์แนวคิดได้แล้ว แต่ก่อนที่จะพร้อมสำหรับตลาด ช่วงนี้ถือเป็น “แดนไร้คน” (No Man’s Land) ที่มีความเสี่ยงสูงเกินกว่านักลงทุนทั่วไปจะกล้าเข้ามา แม้ปัจจุบันภาครัฐจะมีหน่วยงานอย่าง บพข. (PMUC) เข้ามาให้ทุนสนับสนุน แต่ก็ยังไม่เพียงพอและต้องการแรงเสริมจากภาคเอกชนอย่างยิ่ง
ทางออกที่ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันคือการสร้าง “Health Innovation Sandbox” หรือกระบะทรายนวัตกรรมการแพทย์ นพ.ศถภชัย เสนอว่า Sandbox นี้ต้องถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาให้กับทุกฝ่าย ทั้งการเร่งรัดกระบวนการทางกฎระเบียบ เพื่อดึงดูดสตาร์ตอัพต่างชาติ การจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ (Incubator/Accelerator) เพื่อสร้างทางลัดให้สตาร์ทอัพไทยได้เรียนรู้จากบริษัทระดับโลก และที่สำคัญคือการสร้าง Playbook หรือคู่มือที่ชัดเจน สำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยสู่ภาคธุรกิจ เพื่อทดแทนกระบวนการเดิมที่ไม่มีมาตรฐานและล่าช้า
“เรามี Fintech Sandbox, Digital Asset Sandbox แล้ว ทำไมเราจะมี Health Sandbox ไม่ได้?” นพ.ศุภชัยตั้งคำถามทิ้งท้าย
นับเป็นข่าวดีที่ ศ.นพ.สิทธิ์ ยืนยันว่าแนวคิดนี้ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป เพราะปัจจุบัน “Sandbox สำหรับเซลล์และยีนบำบัด” ได้เริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว จากการผนึกกำลังของภาครัฐ โรงเรียนแพทย์ชั้นนำ อย. และบริษัทเอกชน เพื่อร่วมกันลดระยะเวลาในการพัฒนานวัตกรรม ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งถึงนักลงทุนว่าประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะก้าวไปข้างหน้า
เสียงเรียกร้องถึงนักลงทุน: ถึงเวลาสร้าง “ทีมประเทศไทย“
สำหรับนักลงทุนที่ยังลังเล นพ.ก้องเกียรติ ได้ชี้ให้เห็นถึงโอกาสทางการตลาดที่ชัดเจน ขนาดของตลาดสุขภาพในภูมิภาคนี้มีประชากรรวมกันกว่า 100 ล้านคน ซึ่งเป็นขนาดที่ใหญ่พอจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ แต่สิ่งที่ทำให้ประเทศไทยพิเศษกว่านั้นคือ ระบบนิเวศที่พร้อมเปิดรับนวัตกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่มีความก้าวหน้าและพร้อมอนุมัตินโยบายเพื่อนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ได้อย่างรวดเร็ว ดังตัวอย่างการบรรจุสิทธิการตรวจยีนสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านมหลังมีการค้นพบไม่นาน ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับอุปสรรคด้านการประกันสุขภาพในต่างประเทศ นี่คือตลาดที่ไม่เพียงใหญ่ แต่ยังพร้อมที่จะเติบโตไปกับนวัตกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น นพ.ศุภชัย ได้ให้มุมมองที่กระตุ้นให้ต้องลงมือทำอย่างเร่งด่วน ผ่านข้อมูลเชิงประชากรที่น่ากังวลว่า คนรุ่นอายุ 40-45 ปีในปัจจุบันมีจำนวนราว 5 ล้านคน แต่เด็กรุ่นใหม่ที่อายุ 0-5 ปี กลับมีเพียง 3 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าประชากรจะหายไปถึง 40% ภายใน 40 ปีข้างหน้า โจทย์สำคัญจึงไม่ใช่แค่การสร้างโอกาส แต่คือการ สร้างอนาคตที่น่าดึงดูดพอที่จะรั้งคนเก่งรุ่นใหม่ไม่ให้ไหลออกนอกประเทศ การลงทุนสร้าง Ecosystem ด้าน Health Tech ที่แข็งแกร่งในวันนี้ จึงเป็นการเดิมพันเพื่ออนาคตของประเทศโดยตรง
บทสรุปสุดท้ายจากเวทีเสวนาคือเสียงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันสร้างอนาคต การที่บุคลากรระดับมันสมองตัดสินใจกลับประเทศไทย การที่ Sandbox เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง และการเชื่อมโยงอย่างไม่เป็นทางการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ล้วนเป็นสัญญาณว่าทุกคนพร้อมแล้วที่จะทำงานร่วมกัน นพ.ก้องเกียรติ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ถึงเวลาที่เราจะกลายเป็น ‘ทีมประเทศไทย’ (Thai Team) เลิกแข่งขันกันเองและหันมาร่วมมือกัน”
ดังนั้น การลงทุนใน Health Tech วันนี้จึงมีนัยสำคัญที่ลึกซึ้งกว่าแค่ผลกำไรทางการเงิน แต่คือโอกาสที่จะลงทุนเพื่อให้ผู้คนเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น เป็นการลงทุนที่คำนึงถึงผู้คน (People) และโลก (Planet) ควบคู่ไปกับผลกำไร (Profit) เพราะผลตอบแทนที่แท้จริงอาจไม่ใช่ตัวเลขในบัญชี แต่คือ ความสุขของสังคมและระบบสาธารณสุขที่ยั่งยืนสำหรับคนไทย คนในภูมิภาค และคนทั้งโลก
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ทำอาหารเก่ง’ ไม่พอ กลยุทธ์ธุรกิจร้านอาหารที่ต้องรู้ปี 2568
ททท. จับมือพันธมิตร ดัน Travel Tech Startup สู่ยุคท่องเที่ยวอัจฉริยะ