ในยุคที่ Generative AI ผ่านจุดสูงสุดของกระแสความคาดหวัง (Peak of the Hype) และกำลังก้าวเข้าสู่ห้วงแห่งการผิดหวัง (Trough of Disillusionment) คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นคือ ทำไมหลายองค์กรยังไม่สามารถปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของ AI ได้? บนเวที KBTG Techtopia เรืองโรจน์ พูนผล (กระทิง) Group Chairman, KBTG กล่าวว่า การปฏิรูปด้วย AI เป็นมากกว่าเรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการเดินทางที่ซับซ้อนซึ่งเกี่ยวข้องกับทุกมิติขององค์กร ตั้งแต่การเลือกกรณีศึกษา (Use Case) ที่ถูกต้อง รากฐานข้อมูลที่มีคุณภาพ การปรับกระบวนการทำงาน ไปจนถึงภาวะผู้นำที่แข็งแกร่ง และการบริหารการเปลี่ยนแปลงแบบองค์รวม มนุษยชาติกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของ AI ซึ่งเปรียบเสมือน “ทางแยก” ที่การตัดสินใจของเราในวันนี้จะกำหนดทิศทางอนาคตของเทคโนโลยีและมวลมนุษยชาติ
ทางแยกที่ 1: AI Agent ผู้รับใช้หรือผู้บงการ?
คุณกระทิง กล่าวว่า ทางแยกแรกและอาจเป็นทางแยกที่ใกล้ตัวเราที่สุด คือการมาถึงของยุค AI Agent ซึ่งนับเป็นวิวัฒนาการก้าวสำคัญที่เปลี่ยนกระบวนทัศน์โดยสิ้นเชิง ซึ่งเหนือกว่า Generative AI ที่เราคุ้นเคย เพราะไม่ได้เป็นเพียงโปรแกรมที่รอรับคำสั่งอีกต่อไป แต่มันคือระบบที่มีความเป็นอิสระ สามารถคิด วางแผน และลงมือปฏิบัติภารกิจที่ซับซ้อนได้ด้วยตนเองเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้รับมอบหมาย
“บทบาทของมนุษย์ได้เปลี่ยนจากผู้ปฏิบัติมาเป็นผู้มอบหมาย เราไม่ได้สั่งการเครื่องมือ แต่เรากำลังมอบหมายงานให้ตัวแทนดิจิทัลที่ทำงานแทนเราได้จริง เช่น การวางแผนการเดินทางทั้งหมดโดยอัตโนมัติจากเป้าหมายกว้าง ๆ ที่เรากำหนด”
ทว่าก็นำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า AI Agent เหล่านี้ว่าเป็นตัวแทนของใครกันแน่ มันอาจเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของเรา แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ถูกสร้างและควบคุมโดยบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งมีเป้าหมายทางธุรกิจเป็นของตัวเอง สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งทางผลประโยชน์ที่ซ่อนอยู่ภายในเสมอ อาทิ AI Agent ที่ออกแบบโดยบริษัทอีคอมเมิร์ซ ย่อมมีเป้าหมายหลักในการเพิ่มยอดขายให้กับเจ้าของแพลตฟอร์ม แม้ในขณะที่มันกำลังช่วยเราหาของที่ดีที่สุดก็ตาม
AI Agent เป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนตัวตนของผู้สร้างอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง มันคือภาพขยายของเจตจำนงมนุษย์ ไม่ใช่แค่สะท้อนอคติในข้อมูล แต่ยังขยายตรรกะที่อาจมีข้อบกพร่องของมนุษย์ หากเราตั้งเป้าหมายที่ไม่รัดกุม มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้นด้วยประสิทธิภาพที่น่าสะพรึงกลัว โดยไม่สนใจผลกระทบข้างเคียง ทางเลือกบนทางแยกนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวเทคโนโลยีว่าดีหรือชั่ว แต่อยู่ที่การตัดสินใจของมนุษย์ว่าจะออกแบบและควบคุมพลังอันมหาศาลนี้อย่างไร มันคือการเลือกระหว่างการสร้างเครื่องมือที่ชาญฉลาดเพียงอย่างเดียว หรือการสร้างเครื่องมือที่เปี่ยมด้วยสติและปัญญาที่รอบคอบ
ทางแยกที่ 2: การกำกับดูแล AI อิสรภาพหรือการควบคุม?
เมื่อ AI มีพลังและความเป็นอิสระมากขึ้น การปล่อยให้มันพัฒนาไปอย่างไร้ทิศทางก็เปรียบเสมือนการปล่อยเรือที่ทรงพลังที่สุดในโลกออกสู่มหาสมุทรโดยไม่มีหางเสือและกัปตัน ทางแยกนี้จึงว่าด้วยความท้าทายในการสร้างสมดุลระหว่างการส่งเสริมนวัตกรรม กับการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนและต้องอาศัยความร่วมมือในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน
การจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยแนวทางที่ครอบคลุมซึ่งสร้างขึ้นบนเสาหลักที่เชื่อมโยงกันสามประการ เสาหลักแรกคือการกำกับดูแล AI ในภาพใหญ่ ซึ่งหมายถึงการสร้างกฎหมายและมาตรฐานสำหรับการใช้งาน แต่ความท้าทายคือเทคโนโลยีนั้นเคลื่อนที่เร็วกว่ากฎหมายเสมอ ทำให้เกิดปัญหาในการไล่ตามให้ทัน ลึกลงไปกว่านั้นคือความท้าทายเชิงเทคนิคและปรัชญาของการจัดวางเป้าหมาย AI ซึ่งเปรียบได้กับปัญหานิทานราชามิดาส ที่ได้รับพรตามที่ขอทุกประการจนนำไปสู่หายนะ
การจัดวางเป้าหมายคือศาสตร์ของการทำให้แน่ใจว่า AI เข้าใจเจตนาที่แท้จริงเบื้องหลังคำสั่งของเรา ไม่ใช่แค่ทำตามตัวอักษร และสุดท้าย เพื่อเป็นมาตรการป้องกัน เราจำเป็นต้องมีวิธีการควบคุม AI ที่แข็งแกร่ง ซึ่งไม่ใช่แค่สวิตช์ปิดเปิดธรรมดา แต่เป็นข้อจำกัดเชิงสถาปัตยกรรมที่ป้องกันไม่ให้มันทำซ้ำตัวเองหรือหลุดออกจากสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยได้
คุณกระทิง กล่าวว่า เช่นเดียวกับนิวเคลียร์ ความรู้ในการสร้าง AI ที่อันตรายนั้นเมื่อถูกค้นพบแล้วก็ไม่สามารถทำให้หายไปได้ ทางรอดเดียวคือการสร้างกลไกควบคุมที่แข็งแกร่งและตรวจสอบได้ในระดับโลก ทางเลือกบนทางแยกนี้จึงไม่ใช่การเลือกระหว่างอิสรภาพหรือการควบคุมแบบสุดโต่ง แต่คือการค้นหาจุดสมดุลที่เหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ครั้งใหญ่
“เราต้องทุ่มเทเวลา ทรัพยากร และความมุ่งมั่น ให้กับการสร้างความปลอดภัยและการควบคุม AI ให้มากเท่ากับที่เราทุ่มเทให้กับการพัฒนาขีดความสามารถของมัน การแข่งขันเพื่อสร้าง AI ที่เก่งที่สุดต้องไม่สำคัญไปกว่าการสร้าง AI ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับมนุษยชาติ”
ทางแยกที่ 3: AGI ความฝันอันไกลโพ้นหรือการใช้งานจริงในปัจจุบัน?
ทางแยกนี้เปรียบเสมือนการเลือกระหว่างการมองดาวกับการมองดิน ซึ่งเป็นหนึ่งในบทสนทนาที่สำคัญที่สุดในโลกเทคโนโลยีปัจจุบัน ด้านหนึ่งคือการไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ของปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือ AGI ซึ่งหมายถึง AI ที่มีสติปัญญาทียบเท่าหรือเหนือกว่ามนุษย์ คุณกระทิง กล่าวว่า การเดินทางนี้เปรียบเสมือนโครงการส่งยานอวกาศไปดวงจันทร์แห่งยุคสมัย เป็นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่มีความเสี่ยงสูงแต่ก็มีรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นเดิมพัน คือการไขความลับของสติปัญญาให้ถ่องแท้
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือการมุ่งเน้นที่การประยุกต์ใช้งานจริงในเชิงปฏิบัติ ซึ่งก็คือ AI ที่เราใช้งานกันอยู่ในทุกวันนี้ เปรียบได้กับการสร้างทางรถไฟ มันอาจไม่น่าตื่นเต้นเท่าการไปดวงจันทร์ แต่คือวิศวกรรมที่จำเป็นในการสร้างคุณค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เทคโนโลยีเหล่านี้กำลังสร้างผลกระทบที่จับต้องได้จริงในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ในทางการแพทย์ที่ AI ช่วยวิเคราะห์ภาพถ่ายเพื่อตรวจจับโรคร้ายได้แม่นยำขึ้น ไปจนถึงระบบในภาคการเงินที่ช่วยป้องกันการฉ้อโกงแบบเรียลไทม์ หรือแม้แต่ในภาคการเกษตรที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของพืชผล
ความท้าทายคือ หากเรามัวแต่ไล่ตามความฝันของ AGI เราอาจพลาดโอกาสในการสร้างคุณค่าที่อยู่ตรงหน้า แต่หากเราสนใจแต่การใช้งานจริงโดยไม่ลงทุนกับการวิจัยพื้นฐาน เราก็อาจไม่มีวันไปถึงจุดเปลี่ยนที่ยิ่งใหญ่กว่าได้
ทางออกไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการสร้างสมดุลที่ลงตัว อนาคตของ AI ไม่ใช่เรื่องของการเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของการทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป เส้นทางทั้งสองนี้เกื้อหนุนซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง การใช้งานจริงในปัจจุบันเปรียบเสมือนเครื่องยนต์และเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนจรวด AGI ทั้งรายได้ ข้อมูล และบุคลากรที่มีความสามารถ ล้วนเกิดจากฝั่งของการใช้งานจริง และในทางกลับกัน จรวด AGI ขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็ได้ทิ้งผลพลอยได้ทางเทคโนโลยี เช่น สถาปัตยกรรมโมเดลใหม่ ๆ กลับลงมาปฏิวัติวิศวกรรมภาคพื้นดินให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น
ทางเลือกบนทางแยกนี้จึงเปรียบได้กับการจัดสรรพอร์ตการลงทุนที่ชาญฉลาด ที่ต้องลงทุนทั้งในผลตอบแทนที่มั่นคงในระยะสั้น และการเติบโตที่ยิ่งใหญ่ในระยะยาวไปพร้อมกัน
ทางแยกที่ 4: ความร่วมมือระดับโลกหรือการแข่งขันที่แตกแยก?
เมื่อเทคโนโลยี AI ก้าวข้ามพรมแดนประเทศและวัฒนธรรมได้อย่างง่ายดาย ผลกระทบของมันจึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในขอบเขตของบริษัทหรือชาติใดชาติหนึ่งอีกต่อไป ทางแยกนี้จึงเป็นทางเลือกระหว่างอนาคตสองรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากแต่ละประเทศและบริษัทต่างมุ่งหน้าสู่เส้นทางของการแข่งขันที่แตกแยก โดยสนใจแต่การเป็นผู้นำ โดยไม่สร้างมาตรฐานกลางร่วมกัน โลกอาจเข้าสู่สภาวะสงครามเย็นทางเทคโนโลยี ที่ซึ่งม่านเหล็กดิจิทัลจะถูกสร้างขึ้นเพื่อแบ่งแยกโลกออกเป็นขั้วอำนาจทางเทคโนโลยีที่ไม่เชื่อมต่อกั
การแข่งขันนี้อาจปรากฏในรูปแบบที่อันตรายที่สุดคือการเร่งพัฒนาระบบอาวุธอัตโนมัติ ที่การตัดสินใจเกิดขึ้นด้วยความเร็วของเครื่องจักรจนเกินกว่ามนุษย์จะแทรกแซงได้ทัน ยิ่งไปกว่านั้น หากไร้ซึ่งมาตรฐานสากล แต่ละภูมิภาคก็จะสร้างกฎเกณฑ์ของตนเองที่แตกต่างกัน นำไปสู่มาตรฐานความปลอดภัยที่ไม่เท่าเทียม และอาจสร้างแหล่งหลบภัยทางดิจิทัลสำหรับการพัฒนา AI ที่ขาดความรับผิดชอบ สถานการณ์เช่นนี้ย่อมมาพร้อมกับการกีดกันทางการค้าและเทคโนโลยีผ่านแนวคิดชาตินิยมทางข้อมูล ซึ่งจะชะลอความก้าวหน้าโดยรวมและอาจนำไปสู่โลกอินเทอร์เน็ตที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ จนการทำงานร่วมกันเป็นไปได้ยาก
ในทางกลับกัน เส้นทางของความร่วมมือระดับโลกคือหนทางเดียวที่จะนำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและปลอดภัย เพราะความท้าทายของ AI นั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าใครจะรับมือได้เพียงลำพัง การร่วมมือกันจึงไม่ใช่แค่ทางเลือกที่สวยหรู แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างระบบภูมิคุ้มกันระดับโลกต่อความเสี่ยงจาก AI ผ่านการสร้างมาตรฐานด้านความปลอดภัยและจริยธรรมร่วมกัน การแบ่งปันองค์ความรู้และทรัพยากรที่จะช่วยเร่งการค้นพบและสร้างความมั่นใจว่าทุกประเทศจะได้รับประโยชน์ และการรับมือกับความท้าทายข้ามพรมแดนอย่างปัญหาข้อมูลเท็จร่วมกัน
“ในยุคของ AI ไม่มีใครสามารถเดินไปข้างหน้าอย่างปลอดภัยได้เพียงลำพัง ทางเลือกจึงชัดเจนว่าเราจะสร้างกำแพงเพื่อแข่งขันในเกมที่อาจไม่มีผู้ชนะ หรือจะสร้างสะพานเพื่อร่วมมือและแบ่งปันอนาคตที่รุ่งเรืองร่วมกัน”
ทางแยกที่ 5: ผู้ผลาญทรัพยากรหรือจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งนวัตกรรม?
ทางแยกนี้เปิดประเด็นถึงความย้อนแย้งใจกลางของการพัฒนา AI นั่นคือเทคโนโลยีที่อาจเป็นความหวังในการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม กลับกำลังกลายเป็นหนึ่งในภาระที่หนักที่สุดของโลกเสียเอง เบื้องหลังความฉลาดของ AI คือต้นทุนที่แท้จริงที่ต้องจ่ายด้วยทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานมหาศาล ความกระหายนี้ขยายไปไกลเกินกว่าแค่พลังงานไฟฟ้า ที่ซึ่งการค้นหาด้วย Gen AI หนึ่งครั้งอาจใช้พลังงานมากกว่าการค้นหาเว็บปกติถึงห้าเท่า แต่มันยังรวมถึงรอยเท้าทางน้ำที่ซ่อนอยู่ จากการบริโภคน้ำจืดมหาศาลเพื่อระบายความร้อนให้ดาต้าเซ็นเตอร์
ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันเพื่อสร้างฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังขึ้นก็เร่งให้เกิดปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ตามมา ตั้งแต่การขุดหาแร่หายากมาผลิตชิปไปจนถึงการกำจัดอุปกรณ์ที่ตกรุ่น และเราต้องไม่ลืมทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นแรงงานทั่วโลกที่ทำงานติดป้ายข้อมูลเพื่อสอนให้ AI เรียนรู้ หากเส้นทางการพัฒนายังคงมุ่งไปในทิศทางนี้ ความก้าวหน้าทางดิจิทัลอาจต้องแลกมาด้วยความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีที่ผลาญทรัพยากรนี้ก็ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ทางออกของตัวเอง และสามารถกลายเป็นจอกศักดิ์สิทธิ์แห่งนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืนได้ ดังที่ คุณกระทิง กล่าวว่า ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการประยุกต์ใช้ AI เอง ตัวอย่างเช่น AI สามารถแก้ปัญหาด้านพลังงานได้โดยตรงด้วยการช่วยออกแบบสถาปัตยกรรมชิปที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น หรือบริหารจัดการโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะเพื่อลดการสูญเสีย ในโลกทางกายภาพ มันช่วยขับเคลื่อนการเกษตรแม่นยำเพื่อลดการใช้น้ำและปุ๋ย ช่วยค้นหาวัสดุใหม่ ๆ สำหรับเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน และช่วยสร้างแบบจำลองสภาพภูมิอากาศที่แม่นยำขึ้นเพื่อวางแผนรับมือการเปลี่ยนแปลงของโลก
ทางเลือกนี้จึงเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญว่า เราจะนำแนวคิดที่ว่าประสิทธิภาพและความยั่งยืนต้องมาก่อน มาเป็นหัวใจของการพัฒนาหรือไม่ AI ที่ยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือกหรือข้อจำกัด แต่มันคือหนทางเดียวที่จะทำให้เราสามารถขยายขนาดเทคโนโลยีนี้เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติได้อย่างแท้จริง
ทางแยกที่ 6: ผู้สร้างความเท่าเทียมหรือผู้ขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำ?
ทางแยกสุดท้ายนี้อาจเป็นทางแยกที่สำคัญที่สุด เพราะมันไม่ได้ว่าด้วยเรื่องของเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของสังคมที่เราต้องการจะสร้างขึ้น ซึ่งจะกำหนดว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนส่วนใหญ่ หรือจะกลายเป็นเครื่องจักรที่เร่งให้ช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจนถ่างกว้างออกไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หากไม่มีการวางแผนและแทรกแซงเชิงนโยบายที่ดีพอ AI มีแนวโน้มที่จะทำให้ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้นผ่านกลไกหลายอย่างที่เชื่อมโยงกัน มันอาจทำให้เกิดการแทนที่แรงงานในวงกว้าง โดยเฉพาะงานในระดับกลาง ซึ่งจะทำให้คนกลุ่มใหญ่สูญเสียอาชีพ และเกิดสภาวะที่คนตรงกลางหายไป
ในขณะเดียวกัน ผลประโยชน์มหาศาลก็จะไหลไปสู่เจ้าของเทคโนโลยีซึ่งเป็นกลุ่มทุน ทำให้ความมั่งคั่งยิ่งกระจุกตัว และทั้งหมดนี้จะสร้างช่องว่างดิจิทัลยุคใหม่ ที่ไม่ได้วัดกันแค่การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต แต่วัดกันที่การเข้าถึงเครื่องมือแห่งปัญญา ซึ่งจะทำให้เกิดสังคมสองระดับระหว่างกลุ่มที่สามารถใช้ AI ได้และกลุ่มที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
“มันจะมีประโยชน์อะไรที่เราจะใช้ AI สร้างมหาเศรษฐีคนแรกของโลก ในขณะที่คนอีกหลายพันล้านคนยังคงยากจน” คุณกระทิง กล่าว
ในทางกลับกัน หากเราออกแบบและกำกับดูแลอย่างชาญฉลาด AI ก็มีศักยภาพมหาศาลที่จะเป็นผู้สร้างความเท่าเทียม โดยการทำให้สติปัญญาเป็นประชาธิปไตย สติปัญญาและความรู้ระดับผู้เชี่ยวชาญที่เคยเข้าถึงได้ยากจะถูกกระจายออกไปสู่คนทุกคน ลองจินตนาการถึงโลกที่เด็กทุกคนสามารถมีติวเตอร์ AI ส่วนตัวที่ช่วยปลดล็อกศักยภาพสูงสุดของแต่ละคน โลกที่การวินิจฉัยโรคเบื้องต้นที่แม่นยำสามารถทำได้ผ่านสมาร์ทโฟนในพื้นที่ห่างไกล และโลกที่ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถใช้เครื่องมือวิเคราะห์ตลาดที่ทรงพลังทัดเทียมกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
ทางเลือกบนทางแยกนี้จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเทคโนโลยี แต่ขึ้นอยู่กับการออกแบบนโยบายและระบบของเรา ว่าจะเลือกสร้างสังคมที่ผลประโยชน์กระจุกตัว หรือเราจะเลือกสร้างโครงสร้างพื้นทางสังคม กฎหมาย และระบบการศึกษาใหม่ ที่จะช่วยกระจายประโยชน์เหล่านี้ออกไปให้ทั่วถึง เพื่อสร้างยุคสมัยแห่งความอุดมสมบูรณ์ที่เท่าเทียมและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างแท้จริง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Apollo Neuro เปิดตัวอุปกรณ์ Wearable ช่วยลดระดับความเครียดได้มากกว่า 35%
Kubix ได้รับเลือกเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการระบบเสนอขาย G-Token