กระแสการลงทุนแบบ Thematic ตามเมกะเทรนด์โลกมาแรง จิตตะ เวลธ์ ช่วยนักลงทุนลงทุนอย่างสบายใจ ได้กำไรที่ยั่งยืน ส่งบริการเรือธงล่าสุด “Thematic Optimize” บริหารจัดการพอร์ตลงทุนในธีมเมกะเทรนด์ด้วยเทคโนโลยี AI ครั้งแรกของประเทศไทย ช่วยคัดเลือกธีมที่น่าลงทุนที่สุดและบริหารจัดการพอร์ตให้อัตโนมัติ สร้างผลตอบแทนย้อนหลังได้เฉลี่ย 25% ต่อปี
เมกะเทรนด์ทั่วโลกมีมาก จิตตะ เวลธ์ พัฒนาอัลกอริธึมตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อช่วยคัดเลือกธีมที่น่าลงทุนให้อัตโนมัติและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงธีมให้ทุก ๆ 3 เดือน จะช่วยให้นักลงทุนไทยสร้างโอกาสจากการลงทุนในเมกะเทรนด์ทั่วโลกได้ง่ายขึ้น
ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (จิตตะ เวลธ์) สตาร์ตอัพ wealthtech สัญชาติไทย เป็นรายแรกที่ได้รับอนุญาตบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคล จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ปรัชญาของ Jitta Wealth การลงทุน คือ ความเรียบง่าย แต่ต้องศึกษา มีความรู้ และมีประสบการณ์ที่เยอะมาก กลั่นออกมาเป็นแนวคิดที่ว่า ให้ลงทุนในธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม ซึ่งเป็น แนวคิดในการตั้ง Jitta ขึ้นมา เพื่อให้ทุกคนสามารถลงทุนในธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ดีที่สุดให้กับนักลงทุน และมีความสุขกับการลงทุน
ปัจจุบัน Jitta มีบริการ 2 รูปแบบ คือ Jitta Stock Analysis มี AI และอัลกอริธึมวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทในตลาดทรัพย์ทั่วโลก สรุปออกมาเป็น Jitta Score, Jitta Line และ Jitta Ranking เพื่อบอกนักลงทุนว่า ถ้าอยากลงทุนในธุรกิจที่ดี ในราคาที่เหมาะสม ตามหลักการ Value Investor ของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ว่าควรจะลงทุนหุ้นตัวไหนบ้าง
อีกบริการ คือ แพลตฟอร์ม Jitta Wealth เป็นระบบการลงทุนอัตโนมัติ สำหรับคนที่ไม่อยากลงทุนหรือบริหารจัดการเงินลงทุนด้วยตัวเอง อยากให้ Jitta บริหารให้
“เราเป็นสตาร์ตอัพ wealthtech สัญชาติไทยแห่งแรกที่ได้รับใบอนุญาตจากก.ล.ต.ให้บริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลได้ เป็นอีกก้าวกระโดดหนึ่งของเราให้สามารถช่วยเหลือนักลงทุน ไม่ว่าจะลงทุนด้วยตัวเองผ่านการให้ข้อมูล รวมถึงการบริหารจัดการกองทุนให้พอร์ตการลงทุนของทุกคนเติบโตได้ตามหลักการของเรา พันธกิจของเราชัดเจน คือ อยากช่วยให้นักลงทุนได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าด้วยวิธีที่ง่ายกว่า จึงนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในส่วนต่าง ๆ ของการลงทุน ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” ตราวุทธิ์ กล่าว
Jitta Stock Analysis
เริ่มเปิดแพลตฟอร์มแรก คือ Jitta Stock Analysis ตั้งแต่ปี 2557 ด้วยการวิเคราะห์หุ้นอเมริกา เพราะเป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากนั้นปี 2562 ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานกำกับตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นบริษัทจัดการกองทุน Jitta Wealth ในปี 2563 เปิดให้นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นทั่วโลกแบบไม่มีข้อจำกัด ผ่านแพลตฟอร์ม Jitta Wealth โดยทุกแพลตฟอร์มใช้เทคโนโลยี AI จัดการทั้งหมด ทั้ง กลยุทธ์ Jitta Ranking, Global ETF (Exchange Traded Fund) และ Thematic
ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างดี จำนวนนักลงทุนเพิ่มขึ้น ในปี 2564 ได้เปิดแพลตฟอร์ม Jitta Stock Analysis โดยวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นจาก 19 ตลาดหุ้นทั่วโลก คิดว่าเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมการวิเคราะห์หุ้นในแนวทาง VI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีการบริหารจัดการกองทุนส่วนบุคคลมากกว่า 30,000 กองทุน ซึ่งเป็นอัตราที่มากที่สุดในประเทศ
บนแพลตฟอร์ม Jitta Stock Analysis มีการเผยแพร่ข้อมูล และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีของอัลกอริธึที่พัฒนามาเรื่อย ๆ พบว่า โดยเฉลี่ยผลตอบแทนในทุกประเทศที่ทำได้ คือ 14.51% ต่อปี เทียบกับผลตอบแทนรวมดัชนีตลาดของโลกประมาณ 4.71% ในช่วงเวลาเดียวกัน ถือว่าเป็นบทพิสูจน์ว่าอัลกอนิธึมของ Jitta สามารถใช้ลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุดจริง
ปัจจุบัน Jitta Stock Analysis วิเคราะห์หุ้นครอบคลุมประมาณ 95% ของทั้งโลก จาก 19 ตลาดหุ้นทั่วโลก บริการนี้ใช้ฟรี ทำให้มีผู้ใช้งานจำนวนมากจากหลากหลายประเทศ ปัจจุบันวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ที่ 550 ล้านหน่วยข้อมูลต่อวัน เพื่อนำมาคำนวณ Jitta Score, Jitta Line และ Jitta Ranking มีการเข้าดูข้อมูลหุ้นมากกว่า 1.2 ล้านครั้งต่อเดือน จากผู้ใช้งาน 200 ประเทศทั่วโลก ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประมาณ 200,00-300,000 รายทั่วโลก
Jitta Wealth
สำหรับแพลตฟอร์ม Jitta Wealth หลังจากได้รับใบอนุญาตจากก.ล.ต.ปลายปี 2562 มีการนำเอา AI มาวิเคราะห์ จัดสรรพอร์ต และคิดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ 0.5% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่คิดค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการอยู่ที่ประมาณ 1.5-2% ต่อปี
อัลกอริธึมที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดในปีที่ผ่านมา คือ ผลตอบแทนจาก Jitta Ranking เวียดนาม ได้ผลตอบแทนสูงถึง 102% ในปีล่าสุด ปัจจุบันมีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลภายใต้การบริหารจัดการมากที่สุดในประเทศไทยประมาณ 30,106 กองทุน เติบโตจากปีที่ผ่านมา 1,400% แสดงให้เห็นว่านักลงทุนไทยให้การตอบรับการจัดการกองทุนแบบอัตโนมัติหรือด้วย AI เป็นอย่างดี
จาก 30,106 กองทุนส่วนบุคคล บัญชีส่วนมากเป็นการลงทุนแบบ Thematic (เริ่มต้นที่ 100,000 บาท) รองลงมาเป็น Global ETF (เริ่มต้นที่ 100,000 บาท) และ Jitta Ranking (เงินลงทุนเริ่มต้นที่ 500,000 บาท)
“ก่อนที่จะมี Jitta Wealth กองทุนส่วนบุคคลต้องเริ่มต้นที่ 10 ล้านบาท ตอนเปิดตัว Jitta Wealth ช่วงแรกที่มีแต่บริการ Jitta Ranking ก็เริ่มต้นที่ 1 ล้านบาท พอเปิด Thematic และ Global ETF ลดลงมาเริ่มต้นที่ 100,000 บาท ในอนาคตจะลดการลงทุนขั้นต่ำลงมา เพื่อให้การลงทุนดี ๆ เข้าถึงทุกคนได้” ตราวุทธิ์ กล่าว
Jitta Wealth มีนโยบาย 3 แบบ ครอบคลุมทุกความเสี่ยงจากระดับต่ำสุด ไปถึงสูงสุด โดยความเสี่ยงต่ำที่สุด คือ การลงทุนแบบ Global ETF คือ การกระจายการลงทุนในทรัพย์สินทั่วโลกทั้งตลาดหุ้นในอเมริกา จีน อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย รวมพันธบัตรหุ้นกู้ของบริษัทชั้นดีต่าง ๆ ทั่วโลก สามารถเลือกลงทุนได้ตามความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ ตั้งแต่ต่ำสุดถึงสูงสุด ผลตอบแทน 4%, 6% และ 8%
การลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถัดมา คือ การลงทุนในเมกะเทรนด์ หรือ Thematic ซึ่งเป็นการลงทุนที่คนนิยมมาก ให้ผลตอบแทนประมาณ 12-20% ต่อปี เป็นการลงทุนในเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ผ่าน ETF
การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงสุดและเป็นเรือธงของ Jitta คือ การลงทุนตามกลยุทธ์ Jitta Ranking ลงทุนแบบ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ ซื้อหุ้นดี ราคาถูก ตาม AI ของ Jitta ที่วิเคราะห์หุ้นและจัดสรรหุ้นเข้ามาในพอร์ต และปรับพอร์ตทุก 3 เดือน มีความเสี่ยงสูง
ทั้ง 3 หลักการลงทุนในปีที่ผ่านมาให้ผลตอบแทนเป็นอย่างดี Jitta Ranking เวียดนามให้ผลตอบแทนสูงสุด 102% Jitta Ranking US ให้ตอบแทนเฉลี่ย 56% Jitta Ranking Thailand ให้ผลตอบแทน 41% Jitta Ranking Tech ให้ผลตอบแทน 34.99% และ Global ETF ให้ผลตอบแทน 27%
ส่วน Thematic เปิดมายังไม่ครบปี ตั้งแต่ต้นปี 2564 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี Jitta Ranking เวียดนามให้ผลตอบแทนมากที่สุด 51% โดยเฉลี่ยนักลงทุน Thematic ได้ผลตอบแทนประมาณ 11%
กระแสลงทุน Thematic มาแรง
การลงทุนแบบ Thematic กำลังเป็นแนวโน้มที่คนให้ความสนใจ ประมาณ 80% ของนักลงทุนทั่วโลกวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนไปยัง ETF แบบ Thematic มากขึ้น เพราะทุกคนเห็นแล้วว่าการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่แค่การลงทุนในหุ้นตัวนี้ หรือในประเทศนี้ แต่สามารถเลือกลงทุนในเมกะเทรนด์ต่าง ๆ ได้ และการลงทุนแบบ Thematic เป็นการลงทุนผ่าน ETF ซึ่งปัจจุบันการลงทุนผ่าน ETF ได้รับความนิยมมาก ๆ ปัจจุบันมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารของ ETF เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ Jitta Wealth ให้ความสำคัญกับ Thematic เปิดโอกาสให้นักลงทุนลงทุนแบบ Thematic ต่าง ๆ ผ่าน ETF ที่ listed อยู่ในตลาดหุ้นในอเมริกาได้เลยโดย JItta Wealth คัดเลือก ETF และจัดสรรเงินลงทุนใน Theme ต่าง ๆ ที่นักลงทุนเลือก

จาก 10 ธีมเริ่มต้น ปัจจุบัน Jitta Wealth มี 16 ธีมเมกะเทรนด์ของโลกที่มาแรง ตั้งแต่ธีมระดับประเทศ คือ จีน อินเดียว สหรัฐฯ และเวียดนาม ธีมรายเซ็กเตอร์ อาทิ เทคโนโลยีทั่วโลก เทคโนโลยีประเทศจีน สุขภาพ รวมถึงอุตสาหกรรมย่อยในเซ็กเตอร์ที่เติบโต อาทิ คลาวด์คอมพิวติ้ง อีคอมเมิร์ซ ไอเอ อีสปอร์ต ฟินเทค กัญญา เทคโนโลยีการท่องเที่ยว จีโนมิก และพลังงานสะอาด เกือบทุกธีมให้ผลตอบแทนที่ดีมาก ประมาณ 20-40% จะมี 2 ธีมที่อาจจะติดลบอยู่คือ ประเทศจีน และเทคโนโลยีจีน จากการปรับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของรัฐบาลจีน อย่างไรก็ตามประเทศจีนและเทคโนโลยีจีนในอนาคตน่าจะเติบโตไปพร้อมกับเมกะเทรนด์อื่น ๆ เช่นกัน
“เราเปิดให้นักลงทุนลงทุนแบบ Thematic มาเกือบปี ภายใต้ชื่อ Thematic DIY นักลงทุนสามารถเลือก mix & match เมกะเทรนด์ที่ตัวเองชื่นชอบหรือเชื่อมั่นด้วยตนเองได้เลย เลือกได้ 1-5 ธีม จากทั้งหมด 16 ธีม หลังจากเลือกแล้ว ระบบ Jitta Wealth จะจัดสรรการลงทุน ปรับน้ำหนัก สัดส่วนของพอร์ตให้อัตโนมัติเพื่อช่วยดูเรื่องความเสี่ยงและให้นักลงทุนประคับประคองและให้พอร์ตเติบโตไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมได้ ซึ่งพอร์ตนี้นักลงทุนในปีที่ผ่านมาได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11% (จากผลตอบแทน 12-18% ต่อปีจากการเลือกลงทุนใน 4 ธีม)” ตราวุทธิ์ กล่าว
“เราอยากให้นักลงทุนลงทุนได้ง่ายขึ้น ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นและคาดหวังได้ มีการปรับเปลี่ยนธีมการลงทุนอย่างเป็นระบบ จึงใช้เวลาเกือบ 1 ปีคิดค้นอัลกอริธึม (หลังจาก launch Thematic) จึงเปิดตัวนโยบายการลงทุนใหม่ที่ชื่อว่า Thematic Optimize” ตราวุทธิ์ กล่าว
Thematic Optimize
ภายใต้การลงทุนตามนโยบาย Thematic Optimize อัลกอริธึมจะทำการวิเคราะห์หุ้นที่อยู่ในเมกะเทรนด์ต่าง ๆ รวมกันกว่า 2,500 หุ้น และพิจารณาเรื่องการเติบโต ผลตอบแทน ความเสี่ยงต่าง ๆ แล้วจะเลือก 4 เมกะเทรนด์ที่ดีที่สุดมาซื้อขายให้โดยอัตโนมัติ และจะมีการปรับพอร์ตทุก ๆ 3 เดือน ผลตอบแทนย้อนหลังจากอัลกอริธึมอยู่ที่ประมาณ 25% ต่อปี จาก 1 มกราคม 2561 ถึง 31 สิงหาคม 2564
เทคโนโลยี AI ของ Thematic Optimize เป็นการวิเคราะห์การเติบโตโดยเฉพาะรายได้ของบริษัทที่อยู่ในเมกะเทรนด์ทั้ง 16 ธีม Jitta Stock Analysis มีข้อมูลหุ้น 95% ของทั่วโลก สามารถดึงข้อมูลมาวิเคราะห์ และพบว่าการลงทุนในเกมะเทรนด์ หรือหุ้นเติบโตที่อยู่ในเมกะเทรนด์ การเติบโตของรายได้ให้ผลลัพธ์มากที่สุดที่อิงกับการเติบโตของราคาหุ้น อัลกอริธึมเน้นวิเคราะห์การเติบโตของบริษัท คอยคำนวณใหม่ให้โดยอัตโนมัติทุกครั้งที่งบการเงินของบริษัทในเมกะเทรนด์มีการอัปเดต ดูผลตอบแทนและความผันผวน เพื่อลงทุนในธุรกิจที่ดี เติบโตที่ดี มีความผันผวนมีความเสี่ยงต่าง ๆ ต่ำที่สุด
“AI จะเลือก TOP4 และปรับสัดส่วนพอร์ตให้มีนำ้หนักเท่า ๆ กัน ครบ 3 เดือนจะปรับพอร์ตให้อัตโนมัติเพื่อให้ไปลงทุนในธีมที่ดีที่สุด เติบโตดีที่สุด ผันผวนต่ำที่สุด นักลงทุนไม่ต้องทำอะไรเลย ขอให้เข้าใจว่าหลักการลงทุนแบบ Thematic Optimize เราลงทุนในธีมเมกะเทรนด์และ Jitta มี AI คอย optimize เราพิสูจน์แล้วว่าการลงทุนผ่าน Thematic Optimize ใน 4 ธีมที่เราเลือกให้ ผลลัพธ์จะดีกว่าการลงทุนที่นักลงทุนไปเลือกแบบทุก ๆ 4 ธีมด้วยตนเอง หากนักลงทุนที่คิดว่าเลือกได้ดีกว่า ติดตามเมกะเทรนด์สม่ำเสมอก็อาจจะเลือกลงทุนแบบ Thematic DIY ของตัวเองได้” ตราวุทธิ์ กล่าว
Thematic Optimize เหมาะกับลงทุนทั่วไป เพราะบริหารจัดการแบบอัตโนมัติและให้ผลตอบแทนที่ดี ผลตอบแทนย้อนหลังได้ประมาณ 25% ต่อปี เทียบกับ MSCI World Index (Total Return) ที่มีผลตอบแทน 13.78% ต่อปี (ข้อมูล ณ 31 ส.ค. 64)
“เราคาดหวังจะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือการลงทุนให้กับนักลงทุน การทำให้นักลงทุนไทยกล้าไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ความคาดหวังเรื่องผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 15% ปี อุตสาหกรรมการบริหารจัดการกองทุน ปัจจุบันมีเม็ดเงินลงทุนอยู่ประมาณ 6 ล้านล้านบาท มีผู้ลงทุนประมาณ 7 ล้านบัญชี คาดว่าใน 3 ปีข้างหน้า Jitta จะมีส่วนร่วมช่วยเพิ่มเม็ดเงินลงทุนให้กับอุตสาหกรรมให้มากที่สุด ให้ความรู้กับนักลงทุนว่าทุกคนสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ ช่วยนักลงทุนลงทุนอย่างสบายใจ ได้กำไรที่ยั่งยืน” ตราวุทธิ์ กล่าว
คริปโต
ทั้งนี้ ตราวุทธิ์ กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มประเภทสินทรัพย์ประเภทคริปโต มี 2 ทางเลือก คือ รอก.ล.ต.สหรัฐฯ อนุมัติ ETF ที่ลงทุนในคริปโต จะนำ ETF คริปโตมาเป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนแบบ Thematic และทางเลือกที่ 2 คือ สร้างอัลกอริธึมเพื่อไปวิเคราะห์คริปโต และอาจจะทำเป็น Jitta Ranking คริปโต เพื่อคำนวณคุณภาพและมูลค่าของคริปโตให้ดีที่สุด มาจัดอันดับและสร้างพอร์ตให้นักลงทุนได้เลย
ต้องมีคำเตือนในส่วนนี้ เพราะการลงทุนในคริปโตถือว่ายังใหม่มากและมีความเสี่ยงที่สูง ข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์จะไม่เหมือนหุ้น หรือพันธบัตรที่มีข้อมูลย้อนหลังจำนวนมากให้ทดสอบสมมติฐานต่าง ๆ ได้มาก และเชื่อมั่นได้ แต่สำหรับคริปโตยังมีความเสี่ยงและยังมี unknown factor ในอนาคตอีกมาก เช่น การเข้ามากำกับดูแลของรัฐบาลต่าง ๆ เป็นต้น
บทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
–หลักทรัพย์บัวหลวง แนะสร้างโอกาสลงทุน “กลุ่ม Healthcare” ตลาดสหรัฐฯ รับเทรนด์สังคมผู้สูงวัย
–AnyMind Group เผย Instagram แพลตฟอร์มที่ถูกใช้มากที่สุด สำหรับการตลาดด้วยอินฟลูเอนเซอร์