Share on
×

Share

สิทธิเดช มัยลาภ สยายปีก Sky ICT จาก SI สู่เทคคัมพานีด้าน Aviation

เมื่อโลกและผู้คนสามารถเชื่อมถึงกันด้วยเทคโนโลยีการขนส่งที่ทันสมัย ทำให้ “ระบบการขนส่งทางอากาศ” หนึ่งในตัวเลือกด้านการคมนาคมมีปริมาณการใช้งานสูงขึ้น ทั้งในมิติของโลจิสติกส์ การเดินทาง และการท่องเที่ยว ส่งผลให้อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยการเปิดเผยของสมาคมขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ (International Air Transport Association: IATA) พบว่า ตัวเลขอุตสาหกรรมการบินในปี 2567 มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ราว 11%

The Story Thailand ได้มีโอกาสสนทนากับ สิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สกาย ไอซีที (SKY ICT) และ กลุ่มบริษัทสกาย ซึ่งเริ่มต้นปักธงธุรกิจด้วยการเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน (Aviation) โดยมีเป้าหมายในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกด้านการบริการในสนามบิน

ตั้งต้นจาก SI กล้องวงจรปิดและระบบความปลอดภัย

ธุรกิจของสกาย ไอซีทีเริ่มต้นเมื่อปี 2559 จากการเป็นเอสไอผู้ให้บริการติดตั้งระบบกล้องโทรทัศน์วงจรปิด (CCTV) เพื่อรักษาความปลอดภัยแบบ Physical Security ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ อาทิ โครงการของท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ดอนเมือง เชียงใหม่ เชียงราย หาดใหญ่ ภูเก็ต รวม 3.000 ตัว กรมศุลกากร 147 สาขาทั่วประเทศ และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทั่วประเทศ เฉลี่ยรวม 2,200-2,400 ตัวต่อโครงการ จนมีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดทุกยี่ห้อ เช่น Huawei Dahua Hikvision Ezviz Bosch กลายเป็นจุดแข็งของบริษัทจากการมีทีมวิศวกรที่มีความสามารถหลากหลาย และมีพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจที่ดี จนสามารถชนะประมูลงานสำคัญอีกหลายโครงการ อาทิ

ความร่วมมือกับบริษัท จีฟิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (G-FIN) ซึ่งพัฒนา “ระบบ Video Management System (VMS)” ซอฟต์แวร์กลางในการสตรีมมิงภาพจากกล้องวงจรปิดหลากหลายยี่ห้อ ส่งกลับเข้ามายังศูนย์บัญชาการเพื่อประมวลผล ซึ่งทางกรุงเทพมหานครนำไปใช้ในการเชื่อมกล้องวงจรปิด 7 หมื่นตัว ทั่วกรุงเทพฯ 

การทำงานร่วมกับบริษัท เทิร์นคีย์ คอมมูนิเคชั่น เซอร์วิส จำกัด (TKC) ใน “โครงการพัฒนาระบบวิทยุตำรวจ (Trunked  Radio)” มูลค่ารวม 3,600 ล้านบาท ภายใต้สัญญา 5 ปี เป็นการเปลี่ยนระบบ 2G Push-to-Talk กดเพื่อพูด มาเป็น LTE คลื่นความถี่ 800 MHz ของเอ็นที ซึ่งเป็นเครือข่ายปิดเพื่อป้องกันการถูกดักฟัง ทำให้การสื่อสารของตำรวจมีความมั่นคงปลอดภัยมากขึ้น โดย NT (National Telecom) ต้องตั้งสถานีฐานเพิ่มเติมกว่า 300 สถานี เพื่อรองรับการใช้งานอุปกรณ์สื่อสาร 3G ของหัวเว่ย 50,000 เครื่อง สามารถไลฟ์สตรีมมิงผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ออกอากาศสดทางวิทยุโทรทัศน์ หรือวิดีโอคอลล์ ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีระบบจีพีเอสในการติดตามตำแหน่ง เฝ้าระวังจุดเสี่ยง หรือให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจขณะเข้าจับกุมคนร้าย ภายหลังมีการขยายโครงการเพิ่มเติมอีก 20,000 เครื่อง ไปยังจังหวัดและสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เช่น พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี เมื่อจบโครงการยังมีการทำสัญญาด้านการบริการและซ่อมบำรุง (MA) ต่อเนื่อง

นอกจากนั้น ยังเป็นผู้เริ่มนำเอไอเข้ามาใช้งานป้องกันการบุกรุก (Intrusion) ร่วมกับกล้องวงจรปิด เช่น งานของ ตม.เพื่อติดตามทิศทางการเข้า-ออกของผู้โดยสารในสนามบิน และส่งสัญญาณเตือนหากผู้โดยสารเดินไปผิดทิศทางที่กำหนด หรือเดินเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้าม การพัฒนาเอไอในการจดจำภาพ (Image Recognition) การจดจำใบหน้า (Face Recognition) ของกล้องวงจรปิด

“เราเป็นบริษัทเอสไอเปิดใหม่ก็จริง แต่ไม่มีเอสไอรายไหนที่รับงานคนเดียวได้โดยเฉพาะงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งสู้กันด้วยราคา คุณภาพของเทคโนโลยี สเปคของผลิตภัณฑ์ ความเชี่ยวชาญของทีมงานวิศวกร ศักยภาพของเวนเดอร์ ผู้รับเหมารายย่อย และพาร์ทเนอร์ร่วมธุรกิจ ซึ่งเราค่อนข้างมีแต้มต่อในเรื่องดังกล่าว อีกทั้งการเป็นองค์กรขนาดเล็ก ทำให้ได้เปรียบเรื่องสภาพคล่องสูงและต้นทุนการจัดการต่ำ” 

ในเดือนมีนาคม 2560 สกาย ไอซีที ทำการ backdoor ธุรกิจ โดยการซื้อหุ้นบริษัท ซีเอ็นเอ็น-เทค จำกัด (มหาชน) ทำธุรกิจให้เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ MAI และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) ในวันที่ 19 กรกฎาคม 2560

ต่อยอดด้วยระบบ Smart Facility Management      

สกาย ไอซีที ตัดสินใจซื้อบริษัท จีฟิน ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท เมทเธียร์ จำกัด (Metthier) เพื่อต่อยอดการพัฒนาซอฟต์แวร์เชื่อมกล้องวงจรปิดในกรุงเทพฯ ไปสู่การบริหารจัดการกล้องวงจรปิดทั่วประเทศ ตลอดจนพัฒนา “แพลตฟอร์ม Facility Management System” ในการบริหารจัดการการทำงานของพนักงานรักษาความปลอดภัยและแม่บ้าน เพื่อตอบสนองงานภาคเอกชน เช่น โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย ภาคอุตสาหกรรม อาคารสำนักงาน ซึ่งสร้างรายได้ให้ธุรกิจอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอในทุกเดือน (Recuring)

การยกระดับแพลตฟอร์มสู่การเป็น “Smart Facility Management” ในปีที่ผ่านมา โดยเมทเธียร์ได้ซื้อกิจการบริษัท รักข์สยาม จำกัด (SAMCO) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านความปลอดภัยที่มีชื่อเสียงด้านการบริการขนเงิน และงานบริการทำความสะอาด มีพนักงานรักษาความปลอดภัยและแม่บ้านในกำกับดูแลเกือบ 8,000 คน มีลูกค้ารวมกว่า 100 รายทั่วประเทศ โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุนงานรักษาความปลอดภัยและงานทำความสะอาดเพิ่มเติม เช่น หุ่นยนต์ทำความสะอาดในพื้นที่ขนาดใหญ่ หุ่นยนต์ลาดตระเวน (Surveillance Robot) มาทำหน้าที่แทนพนักงานรักษาความปลอดภัยในพื้นที่อันตราย เช่น โรงไฟฟ้า โดยการสตรีมมิงภาพจากกล้อง และให้เอไอส่งสัญญาณเตือนเมื่อเกิดสิ่งผิดปกติ เป็นต้น ทำให้สามารถปรับเปลี่ยนกำลังคนไปทำประโยชน์อย่างอื่น หรือทำงานที่มีความสำคัญมากขึ้น

สยายปีก Ecosystem ด้านบริการในสนามบิน

สัญญา 7 ปี ในการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้กับสนามบิน 6 แห่ง เป็นประตูสู่โอกาสของสกาย ไอซีทีในการต่อยอดธุรกิจบริการด้านต่าง ๆ ในสนามบิน ให้เป็นอีโคซิสเท็มที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโครงการประมูลที่บริษัทลงทุนเอง หรือโครงการประมูลตามงบลทุนของ ทอท.

ยกตัวอย่างโครงการที่บริษัทลงทุนเอง เช่น ”ระบบไวไฟ” ในท่าอากาศยาน รวมมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท “ระบบบริการผู้โดยสารขึ้นเครื่อง (Common Use Passenger Processing System: CUPPS)” ภายใต้สัญญา 10 ปี ประกอบด้วยระบบเช็คอิน การออกตั๋วโดยสารที่เคาน์เตอร์หรือจุดบริการเช็คอินด้วยเครื่องอัตโนมัติ (KIOSK) บริการ Auto Gate โดยเป็นการทำงานร่วมกับ SITA พาร์ทเนอร์รายใหญ่ของโลก ซึ่งทำธุรกิจให้บริการภายในสนามบินขนาด XL ที่สามารถรองรับผู้โดยสารไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคนต่อปี เช่น แอตแลนต้า อินชอน นาริตะ มิวนิก

“ระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วงหน้า (Advance Passenger Processing System: APPS)” ภายใต้สัญญา 5 ปี เป็นการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ คือ บริษัท โสมาภา อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) ในการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสารขาเข้าและออกนอกประเทศให้กับ ทอท. ซึ่งต้องพัฒนาให้ได้ตามมาตรฐานของ IATA

“CUPPS และ APPS เป็นโครงการที่บริษัทลงทุนเองล่วงหน้า โดยการกู้เงินเฉลี่ย 2 พันกว่าล้านบาทต่อโครงการ จากธนาคารไทยพาณิชย์และธนาคารกรุงไทยตามลำดับ รับรายได้จากส่วนแบ่งราคาค่าตั๋วโดยสารต่อหัว (Passenger Service Charge: PSC) ซึ่งเติบโตไปตามตัวเลขการเดินทางของผู้โดยสารทั่วโลกที่มาใช้บริการ ถือเป็นโครงการที่เป็นแบ็คโบนของธุรกิจ หากเทียบพอร์ตรายได้แบบ Backlog อยู่ที่ 80% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท แต่ถ้าเป็นพอร์ตรายได้ปัจจุบัน ไม่นับรวม Backlog อยู่ที่ 40-50%”    

ส่วนโครงการตามงบประมาณการลงทุนของ ทอท. ได้แก่ โครงการการให้บริการรถเข็นกว่า 10,600 คัน ในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งติดตั้งซอฟต์แวร์และอุปกรณ์ RFID ในการแท็กตำแหน่งของรถเข็นขึ้นแดชบอร์ด หรือเพื่อการจัดเตรียมรถเข็นให้พร้อมรอบสายพานลำเลียงกระเป๋า โดยใช้บุคลากรในการจัดเก็บ 380 คน มีวิศวกรซ่อมบำรุงในโครงการนับ 100 คน

การพัฒนาโครงการซูเปอร์แอป “Sawasdee by AOT” ระบบจัดเก็บข้อมูลในการท่องเที่ยวเมืองไทยอย่างมีความสุขและปลอดภัย ภายใต้สัญญา 10 ปี โดยเป็นแอปพลิเคชันที่พัฒนาต่อยอดมาจาก AOT Airports Application

“การสั่งสมประสบการณ์และความสำเร็จในโครงการต่าง ๆ ทำให้สกาย ไอซีทีได้รับการยอมรับจากพาร์ทเนอร์ต่างชาติว่า เป็นบริษัทในประเทศที่มีความเชี่ยวชาญระบบบริการในสนามบิน ซึ่งเป็นจุดตั้งต้นให้บริษัทหันมาโฟกัสเรื่องเทคโนโลยีการบริการในสนามบิน (Aviation Tech) อย่างจริงจัง ด้วยวิสัยทัศน์ ณ ช่วงเวลานั้นที่ต้องการเป็นผู้ให้บริการด้าน Airport System Service ที่ดีที่สุดของประเทศ”

ความหลากหลายที่ลงตัวของโมเดลธุรกิจ เพิ่มการเติบโตทางรายได้

ภายหลังจากสกาย ไอซีที หันไปโฟกัสธุรกิจ Aviation เต็มตัว พร้อมกับการเริ่มทำโครงการ CUPPS จึงมีการจัดตั้ง บริษัท โปร อินไซด์ จำกัด (PIS) บริษัทลูกที่ถือหุ้นโดยสกาย ไอซีที 100% ในปี 2561 เพื่อแยกธุรกิจออกมารับงานพัฒนาโครงการไอทีภาครัฐโดยเฉพาะ อาทิ “งานพัฒนาโครงการเน็ตประชารัฐ” ของ USO ในการให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกล โดยรับผิดชอบรวม 3 โซน อิมพลิเมนต์ไม่ต่ำกว่า 5,000 ไซต์งาน ใน 20 จังหวัดทั่วประเทศ

โครงการล่าสุด คือ “แพลตฟอร์มในการเก็บข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.)” ของกระทรวงสาธารณสุข  รวมกว่า 1,000 แห่ง ทั่วประเทศ เพื่อให้แพทย์สามารถดึงประวัติผู้ป่วยขึ้นมาวินิจฉัยได้ละเอียดและถูกต้องมากขึ้น ไม่ว่าจะเข้ารับการรักษาที่ รพ.สต. ที่ไหน โดยมีกำหนดส่งงานภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนั้น สกาย ไอซีทียังขยายขอบข่ายการทำธุรกิจจากการร่วมลงทุนเพิ่มเติมในบริษัทเทค คัมปานีหลายแห่งในลักษณะ Consolidate นอกเหนือจากเมทเธียร์และโปร อินไซด์ ได้แก่ บริษัท แอสโตร โซลูชั่นส์ จำกัด (Astro) รับบริหารจัดการด้านการขายและการตลาดให้กับแอปพลิเคชัน SAWASDEE by AOT เสริมด้วยบริการพรีเมียมภายในสนามบิน โดยถือหุ้น 60% บริษัท วันทูวัน โปรเฟสชั่นแนล จำกัด (OTP) ผู้ให้บริการคอลล์เซ็นเตอร์สำหรับภาครัฐและเอกชน ซึ่งถือสัญญาบริการอยู่ 400 สัญญา มีเอเจนต์ให้บริการราว 1,200 ที่นั่ง โดยถือหุ้น 45% ร่วมกับบริษัท เพียร์ ฟอร์ ยู จำกัด (PEER) ถือหุ้น 30% และบริษัท TKC ถือหุ้น 25%

“OTP กำลังทำโครงการนำร่องในการนำเอไอ Speech to Text มาช่วยค้นหาคำตอบในบิ๊กดาต้า และส่งเป็นรายการคำตอบกลับไปให้เอเจนต์ ทำให้การตอบรับลูกค้ารวดเร็วและถูกต้องมากขึ้น ซึ่งเป็นการรุกตลาดเอไอเรื่องเสียง (Voice) ที่เราริเริ่มและลงมือทำทั้งหมด เนื่องจากมีประสบการณ์ด้านเอไอมาตั้งแต่ครั้งพัฒนาระบบจดจำภาพและใบหน้าของกล้องวงจรปิด ทั้งยังลงทุนในเอไอคลาวด์นานราว 5 ปี เป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจกับบริษัท SenseTime ผู้ให้บริการเทคโนโลยีเอไออันดับหนึ่งของจีน ในการพัฒนาแมชชีนเลิร์นนิ่งให้จดจำภาพและใบหน้าที่ตรงกับอัตลักษณ์คนไทยและเอเชีย”

ส่วนการร่วมลงทุนของสกาย ไอซีทีในลักษณะ Affiliate เช่น การถือหุ้นกว่า 24% ใน บริษัท TKC ซึ่งเดิมเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจ โดยรับผลตอบแทนเป็นส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน และเมื่อ TKC เข้าซื้อหุ้นบมจ. แอ็ดวานซ์อินฟอร์เมชั่นเทคโนโลยี (AIT) ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน TKC ลดลงเหลือ 18% แต่กำไรต่อปีของ AIT ที่สูงราว 500 ล้าน น่าจะได้ตัวเลขผลกำไรที่ดีกลับมา

การถือหุ้น 20% ใน บริษัท โกลเบิล สปอร์ต เวนเจอร์ส จำกัด (GSV) ซึ่งได้รับไลเซนส์การจัดแข่งขันมวยไทย ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลังของประเทศ โดยมีแผนในการจัดการแข่งขันมวยไทยให้เป็นสากลระดับโลก เช่น การจัดรายการแข่งขันชกมวยเพื่อเก็บคะแนน รวมถึงวางมาตรฐานจัดอันดับโลกให้ได้เช่นเดียวกับการแข่งขันกอล์ฟหรือเทนนิส ซึ่งสามารถสร้างผลกำไรได้ตลอด 3 ปีที่ดำเนินธุรกิจ 

การถือหุ้น 50% ใน บริษัท เอสเอแอล กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (SAL) ดำเนินธุรกิจแบบโฮลดิ้ง คอมปานี โดยการเข้าไปถือหุ้น 51% ในบริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด (AOTGA) ทำให้สกาย ไอซีที ถือหุ้นทางอ้อมใน AOTGA เฉลี่ย 25% ไปโดยปริยาย ซึ่ง AOTGA ทำธุรกิจบริการตั้งแต่จุดตรวจความปลอดภัยจนถึงขึ้นเครื่อง (Air Side) และการให้บริการภาคพื้น (Ground Services) นอกอาคารสนามบินเพียงรายเดียวให้กับท่าอากาศยานดอนเมืองและภูเก็ต อาทิ การลำเลียงกระเป๋าสัมภาระของผู้โดยสาร การทำความสะอาดเครื่องบิน การนำเครื่องบินเข้าสู่ Taxi Way หรือบริการรับเช็คอินผู้โดยสารแทนพนักงานสายการบิน เป็นต้น ถือเป็นการเติมเต็มธุรกิจของสกาย ไอซีที ซึ่งดูแลเฉพาะงานบริการในสนามบินให้ครบถ้วนสมบูรณ์มากขึ้น โดยปัจจุบัน  AOTGA สามารถคอนทริบิวต์กำไรได้ราว 100 ล้านบาท

“SAL มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง จากการที่ท่าอากาศยานไทยมีแผนประมูลผู้ให้บริการรายที่ 3 ในสนามบินสุวรรณภูมิภายในสิ้นปีนี้ จากเดิมที่มีอยู่ 2 ราย คือ บมจ. การบินไทย (TG) และบริษัท บริการภาคพื้น การบินกรุงเทพ เวิล์ดไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด (BFS) ซึ่งเราจะเข้าร่วมประมูลทั้งในส่วนงาน Air Side และ Ground Services”

สิทธิเดช กล่าวว่า กลุ่มบริษัทสกายมีโมเดลธุรกิจที่หลากหลายและถูกออกแบบมาให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น สกาย ไอซีที จะเน้นการทำธุรกิจสัญญาสัมปทาน (Concession) กับการท่าอากาศยานด้านการพัฒนาระบบริการในสนามบิน (Airport Passenger Service) เมทเธียร์ เน้นโมเดลธุรกิจในรูปแบบ As a Service เจาะกลุ่มตลาดภาคเอกชน ซึ่งสร้างรายได้ต่อเนื่องเป็นประจำทุกเดือนแบบ Recuring ขณะที่ โปร อินไซด์ เน้นงานโครงการไอทีภาครัฐ สร้างรายได้ในรูปแบบ Cash Cows ตามมูลค่าโครงการที่ประมูลได้ ซึ่งเป็นการเกลี่ยการดำเนินธุรกิจและรายได้ให้มีความสมดุลกัน

“การบาลานซ์พอร์ตในหลากหลายมิติ จะทำให้โมเดลธุรกิจของกรุ๊ปโดยภาพรวมมีความมั่นคงแข็งแรง โดยปัจจุบัน รายได้ contribute คืนกลับมายังพอร์ตของสกาย กรุ๊ป มาจากสกาย ไอซีที เกินกว่า 40% จากเมทเธียร์เกินกว่า 20% ซึ่งหากรวมกับโปร อินไซด์ จะ contribute รายได้เกือบ 50% ที่เหลือจะเป็นแอสโตร ส่วนโอทีพีซึ่งเพิ่งเข้าซื้อกิจการเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา น่าจะเห็นตัวเลขในปีหน้า”

ทั้งนี้ ในปี 2566 การดำเนินธุรกิจกลุ่มบริษัทที่เป็น Consolidate สามารถสร้างรายได้ 4,100 ล้านบาท มีผลกำไรอยู่ที่ 548 ล้านบาท สำหรับในปี 2567 คาดว่าจะโตไม่ต่ำกว่า 20% ของฐานรายได้ 4,100 ล้านบาทในปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบตัวเลขปีต่อปี (YoY) ในช่วง 6 เดือนแรก พบว่า รายได้ปี 2566 อยู่ที่ 1,600-1,700 ล้านบาท ขณะที่รายได้ปี 2567 อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 70% ส่วนผลกำไรปี 2566 อยูที่ 200 ล้านบาท ขณะที่กำไรในปี 2567 อยู่ที่ 234 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 15% 

ดังนั้น ยิ่งอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกเติบโตมากเท่าไร มีผู้โดยสารเดินทางเข้า-ออกประเทศมากเท่าไร กลุ่มบริษัทสกายจะมีรายได้มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจากตัวเลขที่บริษัทรวบรวมจากระบบการเดินทางเข้า-ออกประเทศพบว่า ในปี 2566 การเดินทางของผู้โดยสารขาเข้า-ออกประเทศไทยเฉลี่ยเดือนละ 4.5 ล้านคน ส่วนในปี 2567 ตัวเลขผู้โดยสารขาเข้า-ออก มีตัวเลขเฉลี่ยเดือนละ 6 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 30-33% และเติบโตมากกว่าอุตสากรรมการบินทั่วโลกที่โต 11% อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังไม่เท่ากับก่อนโควิดที่เติบโตประมาณ 88% มีผู้โดยสารเข้า-ออกประเทศเฉลี่ยเดือนละประมาณ 7 ล้านคน ซึ่งคาดว่าน่าจะถึงในปีหน้า

โตต่อสู่ Global Tech Company ด้าน Aviation 

กลุ่มบริษัทสกายมีแผนขยายธุรกิจไปต่างประเทศ โดยมีสกาย ไอซีทีเป็นหัวหอกในการรุกตลาดด้านเทคโนโลยีด้านการบริการภายในสนามบิน (Aviation Tech) ต่อด้วยเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทระดับโลกในอนาคต ด้วยพื้นธุรกิจที่ถูกปูทางมาตั้งแต่ต้น คือ เอสไอด้านเทคโนโลยีที่เชี่ยวชาญระบบกล้องวงจรปิด สู่การพัฒนาแพลตฟอร์มและซอฟต์แวร์เกี่ยวกับ Airport System & Service และ Airport Journey การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีเอไอต่าง ๆ เพื่อตอกย้ำความเป็นเทค คัมปานีอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจจากการชนะประมูลโครงการขนาดใหญ่ของประเทศ และมีแนวโน้มสูงที่จะชนะประมูลโครงการในอนาคต การมีพาร์ทเนอร์หลักที่เป็นบริษัทเทคโนโลยี มีแหล่งเงินทุนที่ดี มีความมั่นคงทางรายได้และผลกำไรที่ชัดเจน และบุคลากรที่พร้อมรองรับการขยายฐานลูกค้าและการเติบโตของธุรกิจ

ทว่า ปัญหาของธุรกิจทุกวันนี้กลับเป็นเรื่องแรงงานหายาก ยิ่งการหาคนที่มีความสามารถยิ่งยากเข้าไปอีก จึงต้องแก้ปัญหา  2  ทาง ทางแรก คือ Inside Out ทำให้องค์กรเป็นที่สนใจในตลาดแรงงาน ด้วยการสร้างโอกาสและความท้าทายในการทำงานโพรเจกต์ขนาดใหญ่ การจัดสวัสดิการ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีให้กับพนักงาน ทางที่สอง คือ Outside In เช่น การเฟ้นหาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญตรงกับธุรกิจ การเป็นพาร์9เนอร์กับทางมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาน้องนักศึกษาให้มีขีดความสามารถตรงกับที่องค์กรต้องการ โดยเฉพาะด้าน Aviation เพื่อให้สกาย กรุ๊ป เป็นบริษัทต้น ๆ ที่เข้าไปนั่งในใจเทคทาเลนต์รุ่นใหม่ และทำให้พวกเขาสนใจอยากร่วมงานด้วย

ปัจจุบัน กลุ่มบริษัทสกายมีพนักงานราว 11,000 คน รวมพนักงานรปภ. แม่บ้าน คอลล์เซ็นเตอร์ และไอที หากตัดให้เหลือเฉพาะกลุ่มพนักงานด้านเทคโนโลยี มีไม่ต่ำกว่า 500 คน โดยอายุของเทค ทาเลนต์เฉลี่ยอยู่ที่ 29 ปี จบด้านวิศวกรรมศาสตร์ในหลายแขนง มีการอัพสกิลและรีสกิลบุคลากร เพื่อไม่ให้เกิด Deadwood ในองค์กร รวมถึงการดึงพาร์ทเนอร์ หรือทีมงานที่มีศักยภาพจากภายนอกเข้ามาสนับสนุนทีม

“เราอาจไม่ได้ถือโพรดักส์ที่เป็นแบรนด์ระดับโลก แต่เรามีงานที่ท้าทายความสามารถหลากหลายรูปแบบ อย่างน้อยงานด้าน Aviation Tech เราเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ที่ให้บริการครอบคลุมสนามบิน 13 แห่งทั่วประเทศ และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง”

สำหรับเมทเธียร์กำลังอยู่ระหว่างการปั้นให้เป็นเทค คัมปานี ที่ต่อยอดธุรกิจด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ทำความสะอาด เทคโนโลยีการสร้างภาพ 3 มิติ (3D Visualization) ในการจำลองภาพพื้นที่ทั้งอาคาร การทำงานร่วมกับเอไอเพื่อแท็กการเคลื่อนไหวของหุ่นยนต์ พนักงาน รปภ. ซึ่งมีการใช้งานแล้วที่ศูนย์ราชการ เอสโตรกำลังอยู่ในแผนผลักดันสู่การเป็นเทค คัมปานีระดับโลกในอนาคต ส่วนโปร อินไซด์ กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ MAI ในเดือนมกราคมปีหน้า

“เรากำลังเดินหน้าแผนสำรวจธุรกิจเพื่อขยายการเติบโตไปต่างประเทศในแนวทางต่าง ๆ ในปีหน้า เช่น การทำ M&A เพื่อซื้อบริษัทในต่างประเทศ หรือทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ในต่างประเทศ โดยเน้นด้าน Aviation เป็นเรื่องแรก”

เคล็ดลับความสำเร็จที่มาจาก Teamwork และ Ambition

สิทธิเดช มัยลาภ

สิทธิเดช กล่าวว่า ความสำเร็จในโลกธุรกิจทุกวันนี้ ไม่มีซูเปอร์แมนหรือวันแมนโชว์อีกต่อไป ซึ่งเคล็ดลับความสำเร็จของสกาย กรุ๊ป อยูที่ “การทำงานเป็นทีม” (Teamwork) และ “มีความมุ่งมั่นทะเยอทะยาน (Ambition)“ ในการรุกสู่เป้าหมาย เพราะเทคโนโลยีเป็นอุตสาหกรรมอนาคต (Futuristic) ซึ่งเคลื่อนไปเร็วมาก จึงไม่มีใครที่สร้างทางไว้ให้ใครเดินตาม ทุกคนต้องออกสำรวจไปด้วยกัน สร้างสิ่งต่าง ๆ ไปด้วยกัน รวมถึงต้องพัฒนากระบวนการขัดเกลาเพื่อเพิ่มศักยภาพการเป็นเทค ทาเลนต์

“การมีทีมเวิร์คที่ดีต้อง delegate authority and believe in our team ผู้บริหารต้องให้โอกาสทีมได้ทำงาน ได้รับผิดชอบสิ่งที่เขามีความถนัด และให้ความเชื่อมั่น เหมือนเราเป็นผู้สร้างเวที หาไมโครโฟนที่ดีที่สุดให้ หน้าที่ของพวกเขา คือ ร้องเพลงให้ไพเราะ ถ้าผู้บริหารร้องเองฝ่ายเดียว บริษัทจะไม่โต ส่วนความมุ่งมั่นทะเยอทะยาน (Ambition) เป็นคุณสมบติที่ต้องมี เพราะทุกอย่างที่เราทำจะเป็นเรื่องใหม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหม่ในหลากหลายประเทศ ก็เป็นเรื่องใหม่ของประเทศไทย จึงต้องเร่งแสวงหาความรู้ พร้อมปรับเปลี่ยน และมีแรงสู้กับความท้าทายต่าง ๆ”

เช่นเดียวกับเส้นทางของสิทธิเดชที่ผ่านกระบวนการเรียนรู้ในแขนงวิชาต่าง ๆ ตั้งแต่การศึกษาด้านวิศกรรมโยธา ที่ Ohio State สหรัฐอเมริกา การศึกษาเพิ่มเติมด้านบิสซิเนสอินโนเวชัน ที่ธรรมศาสตร์ และมินิเอ็มบีเอ ที่จุฬาฯ ซึ่งการเรียนจบปริญญาทำให้มีพื้นฐานความคิดที่ดี ลำดับความคิดในการทำสิ่งต่าง ๆ ได้ดี แต่จะสมบูรณ์มากขึ้นด้วยการเรียนรู้ในทุก ๆ วัน ทั้งความรู้จากพาร์ทเนอร์ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ที่มีประสบการณ์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานในปัจจุบัน

“ความสำเร็จขึ้นอยู่กับตัวเราและสิ่งที่เราเลือกทำในแต่ละวัน เพราะฉะนั้น ผมจึงเลือกเดินออกไปข้างนอก ไปฟัง ไปหาความรู้ และนำมาคิดต่อ เพื่อแสวงหาวิธีสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ส่งเสริมซึ่งกันและกัน และเดินหน้าพัฒนาทุกธุรกิจในกลุ่มบริษัทสกายให้เป็นอีโคซิสเท็มให้ได้”

ศักยภาพไทยในการเป็นฮับด้านการบินของภูมิภาค

สิทธิเดช เชื่อมั่นว่า ไทยมีศักยภาพในการเป็นฮับด้านการบินของภูมิภาค จากความได้เปรียบเชิงพื้นที่ที่สามารถเป็นจุดศูนย์กลางด้านการบิน รวมถึงการที่ประเทศไทยไม่ได้เป็นแค่จุดแวะพักแครื่องระหว่างทาง (Transit) แต่ยังเป็นจุดหมายปลายทาง (Destination) ของผู้โดยสารจากทั่วโลก โดยเฉพาะการท่องเที่ยว มากกว่าสิงคโปร์ซึ่งเป็นฮับของภูมิภาคในปัจจุบัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการยกระดับศักยภาพและขีดความสามารถของประเทศ

เห็นได้จากการที่ท่าอากาศยานไทยได้วางแผนแม่บทด้านการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในหลายโครงการ เช่น การขยายอาคารผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งเดิมรับได้ 45 ล้านคนต่อปี เมื่อรวมกับอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ SAT-1 จะรับเพิ่มได้อีก 20 ล้านคน รวมเป็น 65 ล้านคนต่อปี เท่ากับตัวเลขผู้โดยสารสูงสุดในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด การขยายอาคารผู้โดยสารฝั่งตะวันออก ซึ่งจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานในปี 2570 ทำให้สามารถรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 75 ล้านคนต่อปี ส่วนอาคารผู้โดยสารฝั่งใต้ จะเริ่มก่อสร้างราวปี 2570 คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2574-2575 ซึ่งจะรับผู้โดยสารเพิ่มได้อีก 40 ล้านคนต่อปี เมื่อนับรวมกับการเปิดใช้รันเวย์ 3 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สามารถเพิ่มจำนวนเที่ยวบินได้อีก 30% โดยส่วนตัวจึงเชื่อว่า ไทยจะเป็นฮับด้าน Aviation ที่ดีที่สุดได้ในเร็ววันนี้

สิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไข คือ พ.ร.บ.การเดินอากาศ ซึ่งบัญญัติขึ้นเพื่อการป้องกันประเทศและความมั่นคงทางอากาศ หากสามารถปรับแก้ระเบียบการบินบางข้อโดยไม่ลดทอนเรื่องของความมั่นคง ตลอดจนแสวงหากลไกที่รวดเร็วและเหมาะสมกับการทำงาน จะเอื้อประโยชน์ต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับต่างประเทศได้มากขึ้น      

“กลุ่มบริษัทสกายถือว่าได้รับโอกาสในการนำเสนอเทคโนโลยีที่ดี ร่วมกับพาร์ทเนอร์ในประเทศที่มีศักยภาพ และพาร์ทเนอร์ที่ดีที่สุดของโลก สิ่งที่ต้องมุ่งมั่นต่อไป คือ การพัฒนาขีดความสามารถ การจัดหาเทคโนโลยีที่พร้อมใช้หรือนำมาประยุกต์ใช้ ให้เกิดประโยชน์เหมาะสมกับประเทศของเรา เพื่อรอวันที่กฎหมายพร้อม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ พร้อม ซึ่งหากตั้งธงไว้ที่อาคารผู้โดยสารฝั่งใต้สร้างเสร็จพร้อมใช้งานในปี 2574-2575 เท่ากับเรามีเวลาอีก 7-8 ปี ในการพัฒนาขีดความสามารถเพื่อไปถึงจุดที่สามารถสู้กับสิงคโปร์ กับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค หรือทั่วโลกได้” สิทธิเดชกล่าวในที่สุด

บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ

“ดนันท์ สุภัทรพันธุ์” กับ 3 ปีแห่งการนำทัพสร้างบทใหม่ให้กับแบรนด์ “ไปรษณีย์ไทย” ที่ “เป็นมากกว่าขนส่ง”

รศ.ดร.ณัฐชา ทวีแสงสกุลไทย ปรุงสูตร 3C: Coach, Cash, Connection แรงส่งสตาร์ตอัพ สานต่อเศรษฐกิจใหม่ประเทศไทย

ดร.ลิสา พัทธ์วิวัฒน์ศิริ กับภารกิจปลดล็อกพลังดิจิทัลของ KING POWER

×

Share

ผู้เขียน