หลังจากให้คนไทยได้พักหายใจเต็มปอดอยู่แค่ 2 วันในช่วงตรุษจีน ได้พึ่งเนื้อนาบุญกระแสลมช่วย อีกทั้งช่วงตรุษจีนโรงงานจำนวนไม่น้อยหยุดทำงาน เป็นเหตุให้นักการเมืองซีกรัฐบาลฉวยโอกาสออกมาเคลม ว่าเป็นผลมาจากนโยบายรถเมล์ รถไฟฟ้าฟรี 7 วัน พอพ้นช่วงตรุษจีน ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 เริ่มกลับมาเกินค่ามาตรฐานอีกครั้ง
ข้อมูลจากเว็บไซต์ตรวจเช็กคุณภาพอากาศ USAQI ตรวจวัดต้นเดือนมกราคม ระบุว่า พื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับ 8 ที่มีปริมาณฝุ่นพิษมากที่สุดในโลก ด้านสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศฯ (GISTDA ) ก็รายงานว่า พบค่าฝุ่นพิษ PM 2.5 ในกทม.ทุกเขตพื้นที่เป็นสีแดง มีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบทางเดินหายใจ
ส่วนด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจเบื้องต้น โดยใช้สมมติฐานว่า คนกรุงเทพฯ ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน และประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง/เดือน และมีค่ารักษา ค่าเดินทาง เฉลี่ยต่อคน 1,800-2,000 บาท รวมถึงประชาชนทั่วไปที่อาจมีค่าใช้จ่ายในการดูแลป้องกันสุขภาพเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกันอยู่ที่ราว 3,000 ล้านบาท หากรวมกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น เช่น การหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง การทำงานที่บ้าน การหยุดเรียน การท่องเที่ยว เป็นต้น ค่าเสียโอกาสทางเศรษฐกิจจะสูงกว่านี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า ปีนี้ทุกคนให้ความสนใจ PM 2.5 มากเป็นพิเศษ ส่วนจำเลยที่สังคมต่างพากันชี้นิ้วประนาม กลายเป็นว่าพุ่งเป้ามาที่ชาวไร่อ้อย ที่เผาอ้อยก่อนจะตัดอ้อยส่งโรงงานหรือเรียกกันว่า ”อ้อยไฟไหม้” เป็นผู้ร้ายก่อมลพิษ
กลางเดือนที่ผ่านมา“นายกฯแพทองธาร ชินวัตร” แถลงหลังการประชุม ครม.ว่า ช่วงนี้ปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะการรับซื้ออ้อยเผาของโรงงานน้ำตาลในหลายพื้นที่ เน้นย้ำให้ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เน้นย้ำผู้ประกอบการในการรับซื้ออ้อยเผา โดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้กฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวดกับผู้เผาป่า เผาตอซังข้าวข้าวโพด อ้อย และพืชอื่น ๆ รวมทั้งการประกาศเขตควบคุมมลพิษ
จึงเป็นที่มาของคำสั่งจากกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งการไปยังอุตสาหกรรมจังหวัดอุดร สั่งปิดโรงงานน้ำตาลในพื้นที่ ห้ามรับอ้อยไฟไหม้เข้าโรงงาน ส่งผลให้รถอ้อย 2 พันคันในจำนวนนี้มีรถอ้อยไฟไหม้ 975 คันจอดรอคิวยาวเหยียดนาน4-5วัน ชาวไร่อ้อยเดือดร้อนอย่างหนัก ในที่สุดอุตสาหกรรมจังหวัดต้องสั่งเปิดโรงงาน แต่เบื้องลึกได้รับแรงกดดันจากส.ส.เพื่อไทยในพื้นที่จนกลายเป็นความร้าวลึกในพรรคร่วม
จนถึงวันนี้ ชาวไร่อ้อยก็ยังตกเป็นผู้ร้ายว่าเป็นตัวการใหญ่ปล่อยฝุ่นพิษ PM 2.5 ทั้งที่มีการศึกษาจำนวนมากจากหลายๆแหล่งพอจะสรุปได้ว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 มีที่มา 3 แหล่งใหญ่ๆ คือ 1) การเผาชีวภาพในที่โล่ง เช่นการเผาป่าเผาอ้อยก่อนเก็บเกี่ยว เผาซังข้าวและการเผาอื่น ๆ 2) คือการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ ทั้งรถยนต์รถโดยสาร รถบรรทุกโดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลและ 3) คือการเผาไหม้ของโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงโรงไฟฟ้าที่ใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน
แต่ในงานวิจัยไม่มีใครพูดถึงโรงกลั่นน้ำมัน โรงงานอุตสาหกรรม เช่น โรงโม่หิน อุตสาหกรรมเหล็ก โรงงานคัดแยก โรงงานรีไซเคิล โรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่น่าจะเป็นแหล่งใหญ่
ขณะที่ สังคมชี้นิ้วไปยังชาวไร่อ้อย แต่ก็มีข้อมูล ภาคประชาสังคมหลายองค์กร ที่ร่วมจัดสัมมนาเมื่อไม่นานมานี้ เปิดเผยข้อมูลว่า โรงไฟฟ้าและโรงกลั่นน้ำมัน ที่ใช้เชื้อเพลิงจากก๊าซฟอสซิลและ โรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆคือตัวการใหญ่ในการปล่อยมลพิษในกรุงเทพฯและปริมณฑล ปล่อยมากกว่ารถยนต์ที่วิ่งตามท้องถนนหลายเท่า
ในงานสัมมนาอ้างข้อมูลจากรายงาน EIA ระบุว่าโรงฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบันรวมกับแผนที่มีการขยาย หากเสร็จสมบูรณ์ในปี 2570 จะปล่อยละอองฝุ่นขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ วันละกว่า 4.6ตัน และปล่อยออ๊กไซด์ของไนโตรเจน 6.4 ตันต่อวัน ส่วนโรงกลั่นปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ปีละ 900,000 ตัน
จะเห็นว่า ข้อมูลจากภาคประชาสังคมที่ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงกับข้อมูลของทางราชการ นักวิชาการบางคน รวมถึงเอ็นจีโอ.บางกลุ่มที่ฟันธวงว่าปัญหาฝุ่นพิษทุกวันนี้เกิดจากการเผาอ้อย
นำข้อมูลทุกฝ่ายมาหักกลบลบกันแล้ว ข้อมูลของภาคประชาสังคมดูจะมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือ เพราะต้องเข้าใจก่อนว่า ฝุ่น PM 2.5 มีทั้งเกิดจาก การเผา ไบโอแมส เช่นการเผาไร่อ้อย เผานาข้าว เผาเศษใบไหม้และการเผาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
อย่างไรก็ตาม การเผาจากไบโอแมสน่าจะอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลแน่ ๆ ยิ่งใน กรุงเทพฯเป็นจุดที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักเป็นที่ตั้งของโรงงานเกือบ 1.4 หมื่นโรง ไม่นับรวม โรงงานขนาดเล็ก โรงงานห้องแถว อีกจำนวนมากที่ปล่อยควันพิษออกมา
การที่รัฐบาล หน่วยงานราชการไปฟันธงว่า เกิดจาการเผาอ้อย ทำให้การแก้ปัญหาฝุ่นพิษเกาไม่ถูกที่คัน แต่กลับสร้างความเสียหายกับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกของไทยที่นำรายได้เข้าประเทศมหาศาลมีแรงงงานและชาวไร่จำนวนมากได้รับผลกระทบ
ตอนนี้ชาวไร่อ้อยลำบากมาก ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพราะต้องจ้างรถตัดอ้อยแทนการเผาและจ้างคนตัด แถมต้องรอคิวนาน ยิ่งรอคิวนานอำนาจต่อรองก็ยิ่งน้อย โดนโรงงานกดราคาอ้อย ชาวบ้านที่เป็นแรงงานในพื้นที่ไม่มีงานทำ มิหนำซ้ำโดนกดค่าแรงจากวันละ 300 บาทก็เหลือแค่ 200 บาท
นี่เป็นเหรียญอีกด้านของปัญหา น่าเสียดายที่ผู้มีอำนาจตีโจทก์ผิด บาปตกอยู่กับชาวไร่อ้อยต้องกลายเป็นผู้ร้าย
บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน
เหรียญสองด้าน ‘กาสิโน’ ปั๊มเศรษฐกิจ
ปีนี้ซึมยาว… ปีหน้าประเทศไทยเสี่ยงทรุด