ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนโลกไปข้างหน้า จี๊ป ไคลน์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวไทยที่ผันตัวมาเป็นนักลงทุนด้านเงินร่วมลงทุน (Venture Capital หรือ VC) กำลังมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านเทคโนโลยีและสตาร์ตอัพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะผู้ก่อตั้ง Raisewell Ventures กองทุนเงินร่วมลงทุนยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีขั้นสูง (Deep Technology) เธอนำประสบการณ์กว่า 20 ปีจากซิลิคอน แวลลีย์มาใช้เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการในภูมิภาคบ้านเกิด ด้วยเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยเทคโนโลยี และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Raisewell Ventures: กองทุนเพื่ออนาคต
Raisewell Ventures กองทุนเงินร่วมลงทุนยุคใหม่ เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สหรัฐอเมริกาพร้อมพันธกิจผลักดันการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับนานาชาติด้วยการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี Raisewell ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยระดมเงินทุนระดับโลกด้วยนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและนโยบายที่พัฒนาแล้ว เพื่อกระตุ้นระบบนิเวศของสตาร์ตอัพที่กำลังเติบโต
กองทุนของจี๊ปซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในซิลิคอน แวลลีย์ เป็นกองทุน VC ระดับโลกที่มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีระยะเริ่มต้น (Early Stage) ถึงระยะกลาง (Mid-Stage) กองทุนมีระยะเวลาการลงทุน 10-12 ปี โดยลงทุนในบริษัทละ 250,000 ถึง 2.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีเป้าหมายลงทุนใน 30-40 บริษัททั้งในสหรัฐอเมริกาและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในช่วง 9 เดือนแรกหลังจากตั้งกองทุน Raisewell ได้ลงทุนไปแล้ว 9 บริษัทในสหรัฐอเมริกา โดยคัดเลือกจากดีลมากกว่า 1,000 ราย ซึ่งคิดเป็นเพียง 1%
กองทุน Raisewell มีภารกิจชัดเจนในการลงทุนในบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งให้ผลตอบแทนทั้งด้านการเงินและผลกระทบต่อสังคม โดยมุ่งเน้นการลงทุนแบบ Impact-Driven ในธุรกิจที่สอดคล้องกับแนวโน้มระดับโลกและจุดแข็งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เราไม่ได้ลงทุนเพื่อผลตอบแทนทางการเงินเพียงอย่างเดียว แต่เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” จี๊ปกล่าว
“ประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ ถึงเวลาแล้วที่เราจะแนะนำผู้ประกอบการที่ดีที่สุดในภูมิภาคให้รู้จักกับเครือข่าย ประสบการณ์ และทุนระดับโลก”
จากนักเศรษฐศาสตร์ สู่ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีระดับโลก
จี๊ป เกิดและเติบโตในประเทศไทย เธอจบการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา เธอเริ่มต้นอาชีพที่ World Bank ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อย่างไรก็ตาม เส้นทางชีวิตของเธอก็เปลี่ยนผันเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาทำงานในแวดวงเทคโนโลยีที่ ซิลิคอน แวลลีย์ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของนวัตกรรมระดับโลก เธอสั่งสมประสบการณ์จากบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Intel นานถึง 7 ปี และเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการเปิดตัว Android Tablet ราคา 99 เหรียญเครื่องแรกของโลก นอกจากนี้ เธอยังเป็นอาจารย์สอนด้าน Impact Venture Capital Investment ในระดับปริญญาโทที่ UC Berkeley
ด้วยความสามารถและวิสัยทัศน์อันโดดเด่น เธอได้รับการยอมรับให้เป็นหนึ่งใน 25 สตรีผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในซิลิคอน แวลลีย์
จี๊ปเป็นผู้หญิงไทยคนแรกที่ก่อตั้งกองทุนเงินร่วมลงทุนซึ่งสร้างผลกระทบเชิงสังคมที่ซิลิคอน แวลลีย์ การก่อตั้ง Raisewell Ventures ซึ่งเป็นกองทุนที่ 4 ของเธอ ไม่ใช่เพียงแค่ธุรกิจ แต่เป็นเป้าหมายในชีวิตที่ต้องการนำความรู้ ทักษะ และเครือข่ายที่สั่งสมมานานกว่า 2 ทศวรรษ กลับมาช่วยพัฒนาประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“สมัยที่เรียนอยู่ที่ จุฬาฯ เป็นช่วงวิกฤติการเงินปี 2540 เรามี Life Goal (เป้าหมายของชีวิต) ว่าเมื่อเรียนจบแล้ว อยากช่วยพัฒนาประเทศไทย จนได้ไปเรียนต่อและทำงานที่สหรัฐอเมริกา 20 ปีผ่านไป จึงคิดว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องนําความรู้ที่เราเรียว่า เป็นทั้งทักษะ ความรู้และเครือข่าย กลับมาให้ประเทศไทยและภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ เพราะประเทศเรามีของดีอยู่”
3 กลุ่มเทคโนโลยีเป้าหมายที่สอดรับกับจุดแข็งของภูมิภาค
กรอบการลงทุนของ Raisewell เน้น 3 สาขาหลัก คือ
- เทคโนโลยีด้านสิ่งแวดล้อม(Climate Technology) ครอบคลุมถึงเทคโนโลยีอาหาร (Food Tech) เทคโนโลยีเกษตร (AgriTech) แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV Battery) วัสดุสีเขียว (Green Materials) และแพลตฟอร์มที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์
- เทคโนโลยีการผลิตและซัพพลายเชน(Manufacturing and Supply Chain Technology) ใช้ AI และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยใช้ประโยชน์จากบทบาทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในฐานะศูนย์กลางการผลิตระดับโลก
- เทคโนโลยีด้านสุขภาพ(Health Technology) ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุและความเหลื่อมล้ำด้านการแพทย์ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลและไบโอเทค
ตัวอย่างการลงทุนที่สร้างผลกระทบ
จี๊ป ยกตัวอย่างการลงทุนของ Raisewell ที่น่าสนใจ เช่น
- บริษัทซอฟต์แวร์ที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรเก่า ช่วยลดปริมาณขยะและสนับสนุนความยั่งยืน บริษัทนี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 29% ภายใน 8 สัปดาห์หลังจากเข้าไปลงทุน
- บริษัทผลิตชิป AI ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าชิปในตลาดปัจจุบันถึง 100 เท่า กองทุนฯ มีแผนสนับสนุนให้บริษัทนี้มาขยายสาขาด้าน Packaging & Assembly ในประเทศไทย เพื่อสร้างงานและถ่ายทอดความรู้ให้กับวิศวกรไทย
- หุ่นยนต์ขนส่งชิปในโรงงานสะอาดที่มีลูกค้าอย่าง Intel บริษัทนี้มีแผนจะ IPO ใน Nasdaq ซึ่งจี๊ป สนับสนุนให้พิจารณาทำ Dual Listing หรือการจดทะเบียนควบในตลาดหลักทรัพย์ไทย เพื่อเป็นโอกาสให้ตลาดทุนไทยได้พัฒนาและดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก
กลยุทธ์สองทาง: เชื่อมซิลิคอนแวลลีย์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Raisewell Ventures สร้างการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างซิลิคอน แวลลีย์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยสนับสนุนบริษัทสหรัฐฯ ให้ขยายธุรกิจมายังประเทศไทย และให้สตาร์ตอัพไทยเรียนรู้จากบริษัทระดับโลก เมื่อผู้ประกอบการต่างประเทศต้องการขยายธุรกิจ เช่น ในด้าน Microprocessor, EV หรือ Electric Battery กองทุนฯ จะสนับสนุนให้พิจารณาประเทศไทยเป็นตัวเลือกในการขยายสาขา เนื่องจากมีต้นทุนค่าแรงและที่ดินที่แข่งขันได้ รวมถึงบุคลากรวิศวกรที่มีประสิทธิภาพ
“เราแสดงให้เห็นว่าทำไมประเทศไทยถึงน่าสนใจ ทุกวันนี้มีคนพูดถึงจุดอ่อนของประเทศไทย แต่เราต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส” เธอเปรียบเทียบกับบริษัทเทคฯยักษ์ใหญ่อย่าง Google ที่แจ้งเกิดในช่วงวิกฤติปี 2551
ศักยภาพและความท้าทายของสตาร์ตอัพไทย
ในมุมมองของจี๊ป ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะประเทศไทย มีศักยภาพมหาศาลในการเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม เพราะมีจุดแข็งหลายอย่าง เช่น มีจำนวนประชากรในภูมิภาคกว่า 700 ล้านคนหรือมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากจีนและอินเดีย วิศวกรระดับกลางของไทยมีทักษะดีเยี่ยมและค่าแรงถูกกว่าสหรัฐอเมริกาและสิงคโปร์ ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านอาหารและเป็นฐานการผลิตสำคัญในภูมิภาค นอกจากนี้รัฐบาลยังมีนโยบายสนับสนุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีความท้าทายที่ต้องแก้ไขเพื่อดึงดูดนักลงทุน เวนเจอร์ แคปปิตอลให้มาลงทุนในสตาร์ตอัพไทย เช่น การสร้างความเชื่อมั่นผ่านกฎหมายและโครงสร้างพื้นฐาน (Rule of Law) ประเทศไทยจำเป็นต้องมีกฎหมายที่แข็งแกร่งและเป็นธรรมเพื่อปกป้องผู้ประกอบการและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เช่น การจัดตั้ง Employee Stock Option Plans (ESOP) ควรเป็นไปโดยอัตโนมัติเหมือนในสิงคโปร์หรือสหรัฐอเมริกา ผู้ประกอบการไทยต้องมีมุมมองที่กว้างไกล พร้อมแข่งขันในตลาดโลก ไม่ใช่แค่ในประเทศ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และธุรกิจที่สามารถขยายสเกลได้ในระดับภูมิภาคและโลก นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทยต้องปรับตัวเพื่อรองรับการจดทะเบียนของบริษัทเทคโนโลยีที่มีการเติบโตสูง รวมถึงโอกาสในการทำ Dual Listing ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ เช่น Nasdaq
“ถ้าเราไม่พูดถึงจุดแข็งของประเทศไทย ก็จะไม่มีใครเห็นจุดแข็งของเรา” เธอกล่าว
คุณสมบัติผู้ประกอบการที่ VC มองหา
ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี การตัดสินใจลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัพไม่ใช่แค่เรื่องของตัวเลข แต่คือการมองหาศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในวิสัยทัศน์ของผู้ประกอบการ
“ก่อนที่จะมาไทยครั้งนี้ มีคนพูดกับเราว่า ไม่ต้องมาลงทุนในประเทศไทย เพราะสตาร์ตอัพไทยตายหมดแล้ว”
จี๊ปกล่าวพร้อมกับหัวเราะ แต่สตาร์ตอัพไทยรายหนึ่งที่เธอกำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบและประเมินทรัพย์สินกลับทำให้เธอได้เห็นว่าผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพมีอยู่จริง
เหตุผลที่กองทุนของเธอสนใจสตาร์ตอัพรายนี้เพราะผู้บริหารมีมุมมองที่กว้างไกล วางตำแหน่งของบริษัทเป็นบริษัทระดับโลกตั้งแต่เริ่มตั้งบริษัท ทั้ง ๆ ที่อยู่ในประเทศไทยแต่ต้องการให้บริการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
“เขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถนำผลิตภัณฑ์และมูลค่าของบริษัทไปให้บริการทั้งในภูมิภาคได้ เขาบอกว่า ภูมิภาคเรามีประชากร 700 ล้านคน นี่คือการที่เขามองเห็นโอกาส” จี๊ปเล่า
จี๊ปสรุปคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ VC มองหาไว้ว่า
- ต้องเข้าใจบริบทท้องถิ่นและตลาดภูมิภาค ผู้ประกอบการต้องเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สตาร์ตอัพฟู้ดเดลิเวอรี่อย่าง Grab ประสบความสำเร็จ
- มีวิสัยทัศน์ระดับโลกหรือภูมิภาค สามารถมองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจไปนอกประเทศได้ตั้งแต่เริ่มต้น
- เข้าใจและประยุกต์ใช้เทคโนโลยี สามารถนำเทคโนโลยีมาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เน้นการลงมือทำและปรับตัว ผู้ประกอบการต้องรู้จักปรับเปลี่ยนแผนธุรกิจและมองหาตลาดใหม่ ๆ ได้ตลอดเวลา พร้อมทั้งเน้นการลงมือทำ (Execution) มากกว่าการตลาดเพียงอย่างเดียว
- เปิดรับองค์ความรู้และเครือข่ายจาก VC ระดับโลก เพื่อยกระดับบริษัทไปสู่เวทีสากล
วิกฤติคือโอกาส: VC มองหาสตาร์ตอัพที่เป็นนักสู้
ในฐานะ VC จี๊ปมองว่า ช่วงเวลาวิกฤติทางเศรษฐกิจ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการลงทุน เพราะเป็นช่วงเวลาที่เผยให้เห็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพและมี DNA ของนักสู้ที่แท้จริง เธอยกตัวอย่างบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง Google, Uber หรือ Lyft ล้วนถือกำเนิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ และแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการที่แข็งแกร่งจะสามารถผ่านวิกฤติและเติบโตได้
“Founder ที่แท้จริงจะมี DNA ของ ‘Hustler’ คือมีความอดทน ไม่ย่อท้อ และสามารถแก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สตาร์ตอัพที่เก่งจะสามารถปรับเปลี่ยน Business Model ได้ เช่น หากเคยเน้น Hardware อาจเปลี่ยนไปสร้าง Software on Top เพื่อทำเงินจาก Subscription”
“การเป็น “ยูนิคอร์น” หรือบริษัทที่มีมูลค่าเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่การสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนต่างหาก คือความสำเร็จที่แท้จริง” จี๊ปกล่าวทิ้งท้าย
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
NET ZERO: ทางรอด และทางรุ่งใหม่ในธุรกิจ SME
พลิกโฉมเกษตรไทย: นวัตกรรมสีเขียวขับเคลื่อนธุรกิจยุคใหม่สู่ความยั่งยืน
ก้าวสู่ปีที่ 11 กับการประมวลทำเนียบหุ้น ESG100