Share on
×

Share

NET ZERO: ทางรอด และทางรุ่งใหม่ในธุรกิจ SME

ในยุคที่ปรากฏการณ์ Climate Change ส่งผลต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติ การร่วมมือจากฝั่งของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ในการลดจำนวนการปล่อยก๊าซคาร์บอน (Carbon) ถือเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ขณะเดียวกัน เส้นทางสู่ Net Zero เพื่อลดการสร้างก๊าซเรือนกระจกผ่านการใช้พลังงานสะอาด ก็ไม่ได้ส่งผลเสียต่อผู้ประกอบการ SME เพียงอย่างเดียว ตรงกันข้าม การปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจสีเขียวยังเป็นโอกาสในการสร้างกำไร ส่งเสริมความยั่งยืนของธุรกิจในอนาคต และช่วยเหลือโลกใบนี้ไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย

โดยปกติ เมื่อพูดถึงเส้นทางในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่แนวทาง Net Zero ผู้ประกอบการมักมองว่าเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก เนื่องจากบริษัทต้องลงทุนเพื่อเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรที่เป็นพลังงานสะอาด ประกอบกับความจำเป็นในการมีความรู้และความสามารถด้าน Climate Change ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลและความลังเลให้กับผู้ประกอบการทั้งในอดีตและปัจจุบัน

ดร.อภิรดี ขาวเธียร รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว.ให้ความสำคัญกับการนำประเด็นเรื่อง Climate Change มาส่งเสริมธุรกิจของ SME ตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว โดยในช่วงเริ่มแรก ทาง สสว. ได้มีการจัดทำผลสำรวจเกี่ยวกับการรับทราบนโยบายหรือมาตรการที่เกี่ยวข้องกับ Climate Change ซึ่งส่งผลต่อบริษัท SME เช่น ภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) และ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ผลปรากฏว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มักไม่มีความรู้ในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจในปี 2024 พบว่ามีผู้ประกอบการ 25% ที่เริ่มดำเนินการตามแนวทาง ESG แล้ว ขณะที่อีก 75% แม้จะทราบและตระหนักถึงความสำคัญ แต่ยังขาดความรู้ในการนำไปปรับใช้ ตัวเลขดังกล่าวจึงสะท้อนถึงความจำเป็นที่องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องร่วมกันให้ความรู้และแนวทางที่ถูกต้องแก่ผู้ประกอบการ SME เพื่อพัฒนาไปสู่ Net Zero อย่างยั่งยืน

Net Zero ทางรอด และทางรุ่งของ SME

ปัญหา Climate Change ในปัจจุบันถือเป็นประเด็นระดับโลกที่ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุน (VC) ลูกค้า (Customer) หรือภาครัฐ ต่างให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการบริหารจัดการคาร์บอน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทิศทางของธุรกิจในอนาคต การปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับหลัก ESG จึงไม่ใช่แค่เรื่องของความยั่งยืนอีกต่อไป แต่ยังเป็นโอกาสในการเข้ากลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ การเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่จัดสรรโดยหน่วยงานภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีบทบาทในประเด็นนี้ ในทางกลับกัน หากธุรกิจ SME ไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับแนวโน้มที่กำลังเปลี่ยนไป ก็อาจเผชิญกับความเสี่ยงในการพลาดโอกาสทางการเติบโตในระยะยาว

ศาสตราจารย์ ดร.พิสุทธิ์ เพียงมนกุล ผู้อำนวยการสถาบันคาร์บอนเพื่อความยั่งยืน และรองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สรุปแนวโน้มระดับโลกและผลกระทบต่อภาคธุรกิจ (Global Trends & Business Implication) ซึ่งถือเป็นทั้ง “โอกาส” สำหรับธุรกิจที่ปรับตัว และ “ความเสี่ยง” สำหรับธุรกิจที่ยังยึดติดกับรูปแบบเดิม ไว้ในหลายประเด็นสำคัญ ประการแรกคือ ต้นทุนการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น (Rising operating Costs) ซึ่งเห็นได้จากในช่วงปี 2020 – 2021 ที่ผ่านมาราคาพลังงานเฉลี่ยในยุโรปพุ่งสูงขึ้นกว่า 70% จากสภาวะโลกร้อน ทำให้การปรับเปลี่ยนมาผลิตพลังงานสะอาดด้วยตัวเองผ่าน Solar rooftop จะช่วยลดต้นทุนในอนาคต ประการต่อมาคือ ความเสี่ยงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) เนื่องจากปัจจุบันสภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดภัยพิบัติมากมาย ดังตัวอย่างในประเทศไทยเมื่อปี 2011 ที่เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ ส่งผลให้บริษัท Toyota และ Honda สูญเสียกำลังการผลิตกว่า 240,000 คัน การหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมจึงเป็นการป้องกันภัยพิบัติและลดการสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

ประเด็นที่สามได้แก่ ความคาดหวังของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป (Changing Market Expectation) โดยปัจจุบัน 75% ของผู้บริโภค Gen Z ยอมจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อสินค้า Low Carbon และ 57% ของผู้ซื้อในอุตสาหกรรมอาหารในยุโรปต้องการให้ซัพพลายเออร์มี Carbon Footprint Label ภายในปี 2025 ซึ่งสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทั้งของลูกค้า B2B และ B2C ดังนั้น การปรับธุรกิจสู่แนวทาง ESG จึงเป็นการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ด้วย

นอกจากนี้ ยังมีประเด็นการเข้าถึงแหล่งทุนและคู่ค้า (Access to Finance & Partnership) โดยในปี 2024 ธนาคารยุโรป 83% ใช้ “Green Criteria” ประกอบการปล่อยกู้ให้ SMEs และ SME ที่มี Climate Strategy ชัดเจนมีโอกาสได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพิ่มขึ้นสองเท่า แสดงว่าการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมช่วยเปิดโอกาสทางการเงิน ประเด็นถัดมาคือ ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบและการเปิดเผยข้อมูล (Regulatory Risk & Disclosure) ปัจจุบันมีมาตรการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เช่น EU CSRD และ CBAM ที่เริ่มใช้ในปี 2024 – 2026 ซึ่งกำหนดให้ SMEs ที่ส่งออกไปยัง EU ต้องเปิดเผย Carbon Emissions หากเกินมาตรฐานจะต้องจ่ายค่าชดเชย หรือหากไม่มีข้อมูลก็อาจสูญเสียโอกาสส่งออก และประการสุดท้ายคือ ความเสี่ยงเรื่องทรัพย์สินติดค้างหรือหนี้สินจากการเปลี่ยนผ่าน (Stranded Assets & Transition Liabilities) ซึ่งหมายถึงทรัพย์สินที่สูญเสียมูลค่าเพราะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ใหม่ หากธุรกิจไม่ปรับตัว ทรัพย์สินที่ลงทุนไว้อาจกลายเป็นภาระในที่สุด

แนวทางและความช่วยเหลือจากองค์กรภาครัฐและเอกชน

ปัจจุบัน เส้นทางไปสู่ Green Finance ไม่ได้เป็นหนทางที่โดดเดี่ยวอีกต่อไป เนื่องด้วยการเข้ามาช่วยเหลือของทั้งทางภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการให้สินเชื่อ เงินทุน การให้องค์ความรู้ หรือแม้กระทั่งบริการวัดปริมาณคาร์บอนที่บริษัท SME ปล่อยออกมา (Carbon Footprint Measurement) แต่กระนั้นเอง ผู้ประกอบการก็จะต้องเดินหน้าอย่างรอบคอบ ไม่ตื่นตระหนกกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

กลอยตา ณ ถลาง กรรมการสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ได้เสนอแนวทางสำหรับ SME ที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ธุรกิจสีเขียว โดยขั้นตอนแรกคือการทำความเข้าใจความเสี่ยงจากสภาพภูมิอากาศ (Understand your climate risk) โดยตระหนักถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาการส่งออก การเสียภาษีคาร์บอนข้ามแดน หรือการสูญเสียกลุ่มลูกค้า ซึ่งจะทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ต่อมาคือการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง (Measure your emissions) เพื่อทราบตัวเลขคาร์บอนที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมต่างๆ ทั้งการใช้พลังงาน ขยะ และการขนส่ง ก่อนเริ่มการเปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงเริ่มลงมือจากการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่เห็นผลเร็ว (Act on quick wins) เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปรับกระบวนการในส่วนที่ไม่ซับซ้อน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างมั่นคง

นอกจากนี้ การปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการของห่วงโซ่อุปทาน (Align with supply chain needs) ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเป็นธุรกิจสีเขียวไม่ใช่เรื่องที่ SME จะทำได้โดยลำพัง แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และสุดท้ายคือการเตรียมความพร้อมสำหรับ Green Finance และการรายงาน (Get ready for green finance and reporting) โดยเตรียมข้อมูลด้าน Carbon Footprint เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เกี่ยวข้องได้

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ผู้ประกอบการจะต้องคำนึงถึง คือการที่ธุรกิจแต่ละประเภทมีปัญหาที่แตกต่างกัน นั่นทำให้ผู้ประกอบการจะต้องเลือกศึกษาองค์ความรู้ที่ตรงกับเส้นทางของตนเอง โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI-CCI) ได้จัดทำ CCI Library ที่จะเป็นแหล่งความรู้ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจเข้าสู่ Net Zero สำหรับธุรกิจแต่ละประเภท เพื่อให้เหล่าผู้ประกอบการได้เข้าไปศึกษาหาความรู้และเตรียมความพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

ในภาคการสนับสนุนเรื่องการศึกษาและความรู้ความเข้าใจ ดร.พิสุทธิ์ ได้เปิดเผยว่าคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการจัดทำเครื่องมือที่ชื่อว่า PIES : Platform of Innovation for Sustainability ซึ่งประกอบไปด้วยโครงการ Chula Engineering สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิต Lifelong Learning และหลักสูตรปริญญาโทประเภทการเรียนนอกเวลา สาขานวัตวิศวกรรมเพื่อความยั่งยืน (Innovative Engineering for Sustainability) โดยเครื่องมือนี้มีหน้าที่ให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการและนิสิตที่เข้ามาศึกษา เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการ พร้อมสร้างแรงงานด้านสิ่งแวดล้อมที่มีคุณภาพต่อไปในอนาคต

ทางด้านสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ก็ได้มีการจัดทำโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS หรือ SME ปัง! ตังได้คืน โดยเป็นระบบที่ให้ผู้ประกอบการได้เข้าไปเลือกบริการที่เหมาะกับธุรกิจของตน ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการที่ปรึกษาด้านพลังงาน การตรวจปริมาณคาร์บอนที่บริษัทปล่อย หรือแม้กระทั่งการขอมาตรฐานจาก International Organization for Standardization (ISO) โดยทาง สสว. จะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสำหรับนิติบุคคล/บุคคลธรรมดาที่จดทะเบียนกับหน่วยงานภาครัฐกว่า 80% ของค่าใช้จ่ายในบริการทั้งหมดตามขนาดของธุรกิจนั้น ๆ และหากเป็นนิติบุคคลที่ไม่ได้มีการจดทะเบียนกับภาครัฐ สสว. ก็จะมีการจ่ายให้เช่นกัน แต่ว่าจ่ายเพียง 50% ของการบริการ

นอกจากนี้ยังมีแหล่งเงินทุนจากกองทุน ThaiCI ซึ่งสนับสนุนธุรกิจ SME ในกลุ่มที่พัก โรงแรม และอุตสาหกรรมเหล็ก โดยให้เงินสนับสนุนสูงสุดถึง 50% ของวงเงินลงทุน ทั้งนี้มีเงื่อนไขว่าบริษัทจะต้องสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้ไม่น้อยกว่า 10% เมื่อเทียบกับกรณีปกติ และต้องดำเนินกิจกรรมได้สำเร็จตามแผนการดำเนินงานที่วางไว้

ต่อมา การสนับสนุนจากทางฝั่งของ KBank โดย ดร.วิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย ได้เปิดเผยถึงนโยบายสนับสนุนสินเชื่อสำหรับธุรกิจ SME ที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอน โดยเสนอวงเงินสินเชื่อที่สูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า และเงื่อนไขการผ่อนชำระที่ยืดหยุ่นและยาวนานกว่า เมื่อเทียบกับสินเชื่อทั่วไป ธนาคารกสิกรยังได้จัดทำคอร์สสำหรับลูกค้าที่ต้องการปรับเปลี่ยนและพัฒนาธุรกิจของตนไปสู่เส้นทางของธุรกิจสีเขียว โดยมีการจัดทำ CREATIVE CLIMATE ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับมอบความรู้และความเข้าใจในเรื่องของ Climate Change ผ่านวิทยากรชั้นนำและงานวิจัยที่ได้ร่วมมือกับทางจุฬาฯ

ถัดมาจะเป็นเรื่องของการวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัท โดยทางธนาคารได้มีการจัดตั้งบริษัทในเครืออย่าง K-Climate 1.5 ที่จะช่วยในเรื่องของการตรวจสอบปริมาณคาร์บอนที่บริษัทปล่อย (Carbon Accounting) พร้อมทั้งระบุตำแหน่งสำคัญที่เป็นต้นเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG hotspot identification) สุดท้ายจะเป็นการให้คำปรึกษาและบริการต่าง ๆ ผ่าน K-CLIMATE ESG Advisory ที่จะเน้นเรื่องการให้วิธีการแก้ปัญหาของธุรกิจนั้น ๆ และการบริการเพื่อลดการสร้างก๊าซเรือนกระจก เช่น WATT’S UP ที่เป็นบริการให้เช่าจักรยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น

สุดท้ายนี้ ดร.วิชัย ได้ฝากถึงผู้ประกอบการว่า “สิ่งสำคัญที่ผู้นำองค์กรต้องมี เพื่อเปลี่ยนแปลงธุรกิจไปสู่ Green Finance คือการที่ผู้นำต้องมี Passion ในการเปลี่ยนแปลง และการตัดสินใจลงมือทำ (Take Action) หลังจากนั้น ความสนุกสนาน ผลกำไร และความสามารถในการต่อยอดธุรกิจไปสู่เส้นทาง Net Zero จะตามมาเอง”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

เศรษฐกิจหมุนเวียน: ทางรอดธุรกิจยุคใหม่ ถึงเวลาลงมือทำ ก่อนสายเกินไป

TBCSD – TEI – BEDO ผนึกกำลังภาคธุรกิจ สร้างเครือข่าย Biodiversity เพื่อโลกยั่งยืน

×

Share

ผู้เขียน