ในแวดวงปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของประเทศไทย ชื่อของ ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย และ “บอทน้อย” (Botnoi) คือสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ เขาคือผู้บุกเบิกที่นำพา AI สัญชาติไทยให้เป็นที่รู้จัก ไม่ใช่แค่ในฐานะเครื่องมือทางธุรกิจ แต่ในฐานะเพื่อนและผู้ช่วยที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน เส้นทางของเขาเต็มไปด้วยจุดพลิกผันที่น่าทึ่ง จากวิศวกรหนุ่มผู้ใฝ่ฝันอยากเห็นโลกกว้าง สู่การเป็นผู้นำทัพ AI ไทยที่กำลังมุ่งหน้าสู่เวทีโลก
จุดเริ่มต้นบนเส้นทาง AI: จากเยอรมนีสู่แรงบันดาลใจจาก “Night Rider”
เส้นทางสู่โลก AI ของ ดร.วินน์ วรวุฒิคุณชัย CEO แห่ง Botnoi Group เริ่มต้นขึ้นหลังจบการศึกษาวิศวกรรมโทรคมนาคมจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ด้วยความกระหายใคร่รู้ว่า “ทำไมฝรั่งถึงคิดค้นนวัตกรรมได้มากมาย” เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ที่นั่นเอง เขาได้สัมผัสกับเทคโนโลยี AI อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรก
“จุดเปลี่ยนสำคัญคือตอนทำวิทยานิพนธ์ที่ Daimler Chrysler บริษัทแม่ของรถเบนซ์ หัวข้อของผมคือการใช้ AI ตรวจจับคนเดินเท้าที่ตัดหน้ารถ (Pedestrian Detection) ซึ่งเป็นพื้นฐานของรถยนต์ไร้คนขับ”
ประสบการณ์ครั้งนั้นปลุกความตื่นเต้นในตัวเขา ทำให้ภาพฝันจากซีรีส์ในวัยเด็กอย่าง “Night Rider” ที่พระเอกสามารถพูดคุยกับรถอัจฉริยะกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้ มันคือแรงผลักดันมหาศาลที่ทำให้เขาหันมาทุ่มเทให้กับสายคอมพิวเตอร์และ AI อย่างเต็มตัว แม้จะต้องเรียนรู้และผลักดันตัวเองอย่างหนักก็ตาม
“มันเหมือนหนังเรื่อง Knight Rider ที่เราเคยดูตอนเด็กๆ เลยครับ การที่รถอัจฉริยะโต้ตอบกับเราได้ มองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ มันยิ่งทำให้เราเกิดแรงผลักดัน” ดร.วินเล่าถึงความตื่นเต้นในวันนั้น
หลังจากจบปริญญาโทที่เยอรมนีและปริญญาเอกด้าน Computer Vision จากฝรั่งเศส ซึ่งเขาได้ทำวิจัยเชิงลึกเกี่ยวกับการตรวจจับวัตถุในภาพ (Image Recognition) ดร.วินน์ตัดสินใจเดินทางกลับมายังเอเชียในปี 2014 พร้อมกับความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมาเกือบ 9 ปี
พลิกบทบาทสู่ Data Scientist และการถือกำเนิด “บอทน้อย”
ชีวิตการทำงานในเอเชียของ ดร.วินน์ เริ่มต้นที่ AirAsia ในตำแหน่ง Data Scientist ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ดูแตกต่างแต่กลับเชื่อมโยงกับสิ่งที่เขาทำมาได้อย่างน่าทึ่ง “หัวหน้าอธิบายว่า Computer Vision คือการตรวจจับวัตถุจาก ‘พิกเซล’ ของรูปภาพ ส่วน Data Science ก็คล้ายกัน คือการตรวจจับ ‘นักธุรกิจ’ จาก ‘พิกเซล’ ของข้อมูลองค์กร” การเปลี่ยนข้อมูลการจองตั๋ว อายุ หรือที่อยู่ ให้กลายเป็นภาพที่ AI สามารถวิเคราะห์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น คือภารกิจใหม่ที่ท้าทาย
“ข้อมูลการจองตั๋ว ที่อยู่ อายุ รายได้ ถ้าเราเอามาร้อยเรียงกัน มันก็เหมือนพิกเซลของรูปภาพ ที่ประกอบร่างกันขึ้นมา แล้ว AI ของเราก็จะมองเห็นว่าคนในรูปภาพนั้นคือนักธุรกิจหรือเปล่า”
ต่อมา ดร.วินน์ ได้ย้ายไปทำงานที่ Telenor Group (บริษัทแม่ของ Dtac) ในตำแหน่งที่สูงขึ้น ทำให้เขามีมุมมองที่กว้างขึ้นในระดับภูมิภาค (Bird’s eye view) ในการให้คำปรึกษาและผลักดันการใช้ AI ในหลายประเทศ
และที่นี่เอง “บอทน้อย” ได้ถือกำเนิดขึ้น…
จุดเริ่มต้นมาจากโปรเจกต์แชตบอทของ Dtac ในปี 2017 ซึ่ง vendor ต่างชาติไม่สามารถพัฒนาระบบที่เข้าใจความซับซ้อนของภาษาไทยได้อย่างแท้จริง ดร.วินน์ จึงลองพัฒนาบอทตัวน้อย ๆ ขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่ามันเป็นไปได้ แต่แล้วโปรเจกต์ส่วนตัวนี้กลับมีจุดเปลี่ยนสำคัญ
“มีคนพิมพ์เข้ามาในบอทน้อยว่า ‘อยากฆ่าตัวตาย’ ผมเลยเทรนให้บอทตอบกลับไปว่า ‘เราเป็นกำลังใจให้นะ ถ้าไม่มีใครก็ยังมีบอทน้อยอยู่’ แล้วมีคนนำไปโพสต์ในโซเชียลมีเดียว่าบอทน้อยช่วยชีวิตเขาไว้” เหตุการณ์นี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ ดร.วินน์ เห็นว่า AI ที่เขาสร้างขึ้นสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้มากกว่าแค่การตอบคำถามทางธุรกิจ
วิกฤติที่เกือบดับฝัน: จุดต่ำสุดสู่การเกิดใหม่อย่างแข็งแกร่ง
หลังจากความสำเร็จของบอทน้อยใน Dtac และขยายผลไปสู่บริษัทในเครือ Telenor ทั่วโลก ดูเหมือนว่าทุกอย่างกำลังพุ่งทะยานสู่จุดสูงสุด แต่แล้วมรสุมลูกใหญ่ก็มาถึงโดยไม่ทันตั้งตัว Telenor Group มีการเปลี่ยนบอร์ดบริหารชุดใหม่และตัดสินใจยุบบริษัท Telenor Digital ซึ่งเป็นต้นสังกัดของทีม ดร.วินน์
“มันเหมือนรถไฟเหาะที่กำลังจะพุ่งขึ้นสูงสุด แต่กลับหักเหและดิ่งลงมาสู่จุดที่ต่ำที่สุดอย่างรวดเร็ว” ดร. วินน์ กล่าวถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด
เขาและทีมงานอีก 10 ชีวิตต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก ว่าจะแยกย้ายกันไปหรือจะสู้ต่อ? ด้วยเงินชดเชยที่เขามี และความเสียดายในสิ่งที่สร้างมาร่วมกันเกือบ 2 ปี ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด ด้วยเงินชดเชย 6 เดือนของตัวเอง และ 1 เดือนของทีมงานอีก 10 ชีวิต ดร.วินน์ ได้ยื่นคำขาดกับทีมว่า “เรามาลองกันสัก 1 เดือน ถ้าหาโปรเจกต์ไม่ได้ เราแยกย้าย”
และโชคก็เข้าข้างพวกเขา เมื่อได้รับทุนวิจัย 3 ล้านบาทจากวช. เพื่อพัฒนา “พยาบาล AI” ให้กับโรงพยาบาลสมุทรปราการ นี่คือจุดที่ทำให้ “บอทน้อย” รอดชีวิตและได้กลับมาโลดแล่นอีกครั้งในฐานะสตาร์ตอัพเต็มตัว
กำเนิด Botnoi Voice และปรัชญา “การให้”
การรอดชีวิตในครั้งนั้นทำให้บอทน้อยแข็งแกร่งขึ้น ดร.วินน์ ตัดสินใจนำรายได้ส่วนใหญ่กลับมาลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างเทคโนโลยีหลักของตัวเอง หนึ่งในผลงานชิ้นเอกคือ Botnoi Voice เทคโนโลยีแปลงข้อความเป็นเสียงพูด (Text-to-Speech) ที่มีความเป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์
“เราใช้เวลาพัฒนา 2 ปี ลงทุนไปกว่า 4 ล้านบาท โดยที่ไม่รู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่” ดร.วินน์ เล่าถึงความท้าทาย “วันที่ผมได้ฟังเสียงที่มันดีพอจนรู้สึกว่าถ้าปล่อยออกไปทุกคนจะประทับใจ มันเหมือนน้ำตาซึมเลยครับ ว่าเราทำสำเร็จแล้ว”
ปัจจุบัน Botnoi Voice มีผู้ใช้งานกว่า 200,000 คนต่อเดือน โดยบอทน้อยได้นำปรัชญา “การให้” (Give and Take) มาใช้ โดยเปิดให้นักเรียนและคุณครูใช้ฟรีเพื่อสร้างสื่อการสอน ซึ่งนอกจากจะเป็นการคืนสู่สังคมแล้ว ยังเป็นการสร้างการรับรู้และนำไปสู่ลูกค้าองค์กรในที่สุด
เฟสต่อไป: จากบริษัท AI สู่การสร้าง “ระบบนิเวศ”
ดร.วินน์ มองว่าบอทน้อยกำลังก้าวเข้าสู่ “เฟสที่ 3” คือการสร้าง Ecosystem และขยายไปสู่ระดับสากล โดยวางตัวเองเป็น “Engineering Layer” ที่นำ Foundation Model (เช่น OpenAI) มาปรับจูนให้เหมาะกับบริบทของไทยและธุรกิจ แล้วเปิดให้ “Application Layer” เช่น Startup ด้านกฎหมาย HR และเกษตรกรรม เป็นต้น มาเชื่อมต่อเพื่อสร้างโซลูชันที่เฉพาะทาง
เป้าหมายคือการเป็นพันธมิตรกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ Hardware (NVIDIA) Cloud (AWS) ไปจนถึงผู้เชี่ยวชาญในโดเมนต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตไปด้วยกัน และ “เฟสที่ 4” ในอนาคต คือการที่บอทน้อยจะผันตัวไปเป็นผู้สนับสนุนและผลักดันให้ Startup ไทยรายอื่น ๆ ประสบความสำเร็จในเวทีโลกเหมือนที่ตนเองเคยทำ
“ถ้าเราทำให้สตาร์ตอัพรายอื่นสำเร็จได้เหมือนเรา มันคือการสเกลที่แท้จริง เราต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ปลาเล็กได้เติบโต ไม่ใช่ปลาใหญ่ลงมาแข่งกับปลาเล็ก”
เป้าหมายสูงสุดในเฟสนี้คือการที่โลโก้บอทน้อยเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เหมือน Huawei หรือ Canva ดร.วินน์ ตั้งเป้าหมาย “ผมอยากพิชิตเป้าหมายนี้ให้ได้ภายใน 3 ปี”
มุมมองต่ออนาคต AI: คำเตือนและคำแนะนำจากแนวหน้า
ในฐานะผู้ที่อยู่แนวหน้าของวงการ ดร.วินน์ ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจและเป็นคำเตือนถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
กลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือนักศึกษา เพราะ Generative AI สามารถทำงานในระดับ Junior ได้เกือบทั้งหมดแล้ว เช่น เขียนโค้ด ทำกราฟิก วิเคราะห์ข้อมูล ตำแหน่งงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
ทางรอดคือต้องดิ้นรน นักศึกษาไม่สามารถรอให้หลักสูตรหรืออาจารย์เปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป แต่ต้องวิ่งหาโอกาส สร้างผลงาน และพัฒนาทักษะที่มากกว่าความรู้พื้นฐานด้วยตัวเอง
“นักศึกษาจะรอให้หลักสูตรเปลี่ยน หรือรออาจารย์เปลี่ยนไม่ได้แล้ว ทุกคนต้องวิ่ง ต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ต้องขบถออกจากกรอบเดิมๆ เพื่อสร้างทักษะที่ AI ทำแทนไม่ได้”
จริยธรรมคือพื้นฐานที่สำคัญที่สุด ยิ่งเทคโนโลยีทรงพลังมากเท่าไหร่ การปลูกฝังศีลธรรมและจริยธรรมให้คนในสังคมยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เพื่อป้องกันการนำเครื่องมือไปใช้ในทางที่ผิด
เส้นทางของ ดร.วิน และบอทน้อย คือบทพิสูจน์ว่าสมองของคนไทยไม่ได้ด้อยกว่าชาติใดในโลก หากแต่ต้องการระบบนิเวศที่แข็งแกร่ง การสนับสนุนที่ถูกทิศทาง และ “หัวใจ” ที่ไม่ยอมแพ้ เพื่อขับเคลื่อนวงการ AI ของไทยให้ก้าวไปทัดเทียมกับเวทีโลกให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้านี้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เขาและทีมงานบอทน้อยกำลังมุ่งมั่นไปให้ถึง และวันนี้ “บอทน้อย” กำลังออกเดินทางครั้งใหม่เพื่อปักธงชาติไทยบนแผนที่ AI ของโลก
บทสัมภาษณ์อื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ZUPPORTS สตาร์ตอัพจากรั้ว SCG กับภารกิจพลิกโลกโลจิสติกส์
เมื่อโทรศัพท์ดังกลายเป็นภัย: ‘แมนวู จู’ กับภารกิจสร้างโลกการสื่อสารที่ไว้วางใจได้ของ Gogolook
“เศรษฐศิริ เศรษฐภากรณ์” กับภารกิจขับเคลื่อน กรุงศรี นิมเบิล สู่ความเป็นเลิศ