Share on
×

Share

Data Center บุกไทย ใครรุ่ง ใครร่วง?

เศรษฐกิจไทย “ซึม โตต่ำ” มานานหลายปีหลายฝ่ายมองว่าเราต้องการ FDI ( Foreign Direct Investment ) หรือ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศชุดใหญ่มากระตุ้น คล้ายในอดีตที่เคยมีอุตสาหกรรมยานยนต์เข้ามาสร้างโรงงานจ้างงานและสร้าง supply chain กระตุ้น GDP รอบใหญ่ ล่าสุดก็คาดหวังกันไปที่กระแส “data center” ที่ผู้ประกอบการต่างชาติกำลังพากันเข้าไทย

ทั้งนี้ เศรษฐกิจโลกและไทยผ่านจุดเปลี่ยนใหญ่ ๆ มาแล้วหลายครั้ง จากยุคแรกเป็นแรงงานมนุษย์ล้วน ๆ ก็เพิ่มเติมด้วย ที่ดิน เริ่มจากใช้ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ ไปสู่ยุคโรงงานอุตสาหกรรมมาเป็นพระเอกแทน จากนั้นก็เป็นยุคที่ร้านค้ารูปแบบต่าง ๆ มามีบทบาทสำคัญ

จากนั้นเมื่อโลกเข้าสู่ยุคข้อมูลข่าวสาร จากข้อมูลตัวเลขธุรกิจ สู่ข่าวสาร ภาพ ภาพยนตร์ เพลง กีฬา และจากคอมพิวเตอร์เท่านั้น ก็เพิ่มสมาร์ทโฟน สมาร์ททีวี ฯลฯ และจากยุคแรกที่เก็บข้อมูลไว้ในเครื่องผู้ใช้งานซึ่งมีความจุจำกัด ก็เปลี่ยนมาเป็นการเก็บข้อมูลไว้บน “data center” หรือศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่รองรับผู้ใช้งานได้จากทั้งโลก

ยิ่งช่วงทศวรรษที่ผ่านมานี้ เกิดเทรนด์ “Software As A Service” คือ ซอฟต์แวร์ต่าง ๆขึ้นคลาวด์กันหมดแล้ว เช่น เราใช้ Google Docs, Google Sheets, Microsoft Office 365, Adobe Creative Cloud, Canva ฯลฯ  กันผ่านอินเทอร์เน็ตล้วน ๆ โดยไม่ต้องติดตั้งในเครื่องเราเองแล้ว  นั่นก็ทำให้ตัวซอฟต์แวร์เองก็อยู่บน data center ไปด้วย  

ซึ่งจุดเด่นของ data center แบบนี้ในสายตาลูกค้า คือ ต้นทุนยืดหยุ่นช่วงไหนใช้น้อยก็จ่ายน้อย  ช่วงไหนใช้มากก็จ่ายมาก ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าคงที่เผื่อสูงเกินไปเหมือนการลงทุนซื้อเซิฟเวอร์เองหรือการเช่าเซิฟเวอร์รูปแบบเดิม ๆ

ธุรกิจ Data Center กำลังร้อนแรง ยักษ์ใหญ่ระดับโลกแห่ลงทุนในไทย ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันที่ดุเดือด ใครจะเป็นผู้เล่นหลักในตลาด? ใครจะพลาดท่าเสียที? บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกสมรภูมิเดือด พร้อมวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายของธุรกิจ Data Center ในประเทศไทย

4 บริษัท Data Center ระดับโลก

ในอดีต data center คือผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) สร้างสถานที่และอุปกรณ์ (เช่น เซิร์ฟเวอร์, ระบบเครือข่าย) แล้วให้คนอื่นมาเช่าใช้บริการ โดยที่ตัวเองไม่ได้ใช้เอง ส่วนในปัจจุบัน ผู้ให้บริการ Cloud จำเป็นต้องสร้าง data center ของตัวเอง เนื่องจากธุรกิจ Cloud มีขนาดใหญ่มากและต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการทรัพยากร

ฉะนั้น ผู้ที่ลงทุนใน data center รายใหญ่ มักจะเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด Cloud ด้วย ซึ่งปัจจุบันผู้ให้บริการ cloud ซึ่งใช้ data center จำนวนมากเป็นแกนหลักของธุรกิจนั้น มีอยู่ 4 ราย คือ …

  • Amazon Web Services (AWS) ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ 31 – 33%
  • Microsoft Azure  ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ  20 – 25%
  • Google Cloud  ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ  11 – 13%
  • Alibaba Cloud  ครองส่วนแบ่งตลาดประมาณ  4%

รอง ๆ ลงไปก็ยังมีชื่ออื่นๆที่ส่วนมากจะเน้นให้บริการส่วนบุคคล เช่น iCloud ของ Apple,  Huawei Cloud, Alibaba Cloud และรายอื่น ๆ อีกมากมาย

ความเป็นมาคร่าว ๆ ของ 4 รายยักษ์ใหญ่นั้น เป็นตัวแทนบอกเล่าทำความเข้าใจธุรกิจนี้ได้เป็นอย่างดี โดยแต่ละรายเป็นดังนี้ …

Amazon AWS

แอมะซอนเริ่มต้นจากการเป็นร้านหนังสือออนไลน์เล็ก ๆ ก่อนจะเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่การเป็นผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ของโลก ซึ่งการเติบโดที่ว่านี้ทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีระบบเซิฟเวอร์ที่ปรับขยายได้ตามความต้องการ การค้าปลีกออนไลน์นั้นไม่ได้คึกคักเท่ากันตลอดเวลาและทั้งปี โดยจะมีช่วงที่เซิฟเวอร์ต้องทำงานหนักมาก ทำให้ทางบริษัท Amazon ต้องลงทุนเซิฟเวอร์เผื่อเกินไว้เสมอ แล้วทาง Amazon ก็พบว่าระบบเซิฟเวอร์เหลือ คือไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเต็มที่เสมอไป จึงเกิดไอเดียที่จะนำมาแบ่งให้บริษัทอื่นๆและบุคคลภายนอกเช่าใช้

นั่นทำให้ในปี 2006 บริษัทเปิดตัว AWS ซึ่งย่อมาจาก “Amazon Web Services” มาให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูล (data center) ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น ปรับขยายและลดค้นทุนค่าเช่าได้ตามสถานการณ์ เป็นบริการ data cente rรายแรก ๆ ของโลก หนึ่งหลักฐานตัวอย่างที่แสดงให้เห็นความมาแรงของธุรกิจ data center ก็คือล่าสุดกำไรจากธุรกิจ AWS นี้  สูงแซงกำไรจากธุรกิจค้าขาย e-commerce ที่เป็นธุรกิจหลักของบริษัทมากว่า 30 ปีแล้ว

Microsoft Azure

Microsoft Azure หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Azure (“อะเชอร์”) เป็นบริการ data center ของไมโครซอฟท์ เปิดตัวในปี 2008 โดยช่วงแรกใช้ชื่อ “Windows Azure” ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น “Microsoft Azure” ในปี 2014 ในการแข่งขันกับ AWS นั้น ฝ่าย Microsoft Azure ชูจุดแข็งความเข้ากันได้กับระบบปฏิบัติการ Windows และโปรแกรม Microsoft Office ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการและโปรแกรมที่มีอยู่บนคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่อยู่แล้ว

Microsoft Azure มีบริการหลากหลายที่มากกว่าการเป็น Data Center เก็บข้อมูล  คือเพิ่มเติมบริการประมวลผล โดยเน้นรองรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์บนวินโดวส์เอง และล่าสุดก็เพิ่มเติมเครื่องมือ AI หลากหลายตามเทรนด์ด้วยเช่นกัน

Google Cloud 

หรือที่รู้จักกันในชื่อ Google Cloud Platform (GCP) ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 จากความต้องการที่จะนำเอาศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ของ Google ที่เดิมใช้เก็บข้อมูลจากเว็บทั้งโลกเพื่อรองรับการ search มาแบ่งให้ลูกค้าภายนอกเช่าใช้ ทั้งบุคคลทั่วไป บริษัท และองค์กรต่าง ๆ

Google Cloud Platform (GCP) มีจุดเด่นที่มีเครื่องมือหลากหลายนอกจากแค่การเก็บข้อมูล เช่น เครื่องมือช่วยสร้าง ทดสอบ และรันแอปต่าง ๆ บนเซิฟเวอร์ เครื่องมือสร้างและจัดการฐานข้อมูลหลากหลายแบบไปจนถึง big data ไปจนถึงเครื่องมือสร้างระบบเอไอ Machine Learning 

Alibaba Cloud

Alibaba Cloud หรืออีกชื่อว่า Aliyun นั้นเป็นบริการคลาวด์ของ อาลีบาบา บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดให้บริการเมื่อปี 2009 เน้นตลาดในประเทศและทั่วเอเชีย  โดยเฉพาะกลุ่มที่จับตลาดจีน Alibaba Cloud ชูจุดแข็งเรื่องราคาค่าบริการเมื่อเทียบกับรายอื่นๆระดับโลก และมีเครื่องมือรองรับการสร้างและดูแลระบบอีคอมเมิร์ซแพราะมีรากฐานมาจาก Alibaba Group นั่นเอง

ซึ่งจาก 4 รายยักษ์นี้ จะเห็นได้ว่าแบ่งได้เป็น 2 แนวทางใหญ่ ๆ แนวบริษัทอีคอมเมิร์ซที่เพิ่มเติมบริการคลาวด์มาให้ผู้อื่นใช้ด้วย คือผู้ที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานของ Cloud ให้คนอื่นมาใช้งาน เช่น AWS (Amazon Web Services) และแนวผู้ให้บริการซอฟต์แวร์หรือเว็บที่เพิ่มเติมบริการคลาวด์มาให้ผู้อื่นใช้ด้วย คือบริษัทที่เคยให้บริการซอฟต์แวร์แบบขาย License (ใส่กล่อง) มาก่อน แล้วปรับตัวมาให้บริการซอฟต์แวร์ผ่าน Cloud เช่น Microsoft เมื่อธุรกิจ Cloud เติบโตขึ้น ผู้ให้บริการเหล่านี้จำเป็นต้องลงทุนสร้าง data center ของตัวเอง เช่น Microsoft หรือบริษัทที่ให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านเว็บ ซึ่งต้องใช้ data center จองตัวเองมาตั้งแต่แรก เช่น Google

นอกจากผู้เล่นหลัก 4 ราย (AWS, Microsoft และอื่น ๆ) ยังมีผู้เล่นอื่น ๆ ในระบบนิเวศของ Cloud เช่น ผู้ให้บริการ VM (Virtual Machine) ต่าง ๆ อีกด้วย อีกทั้งการให้บริการซอฟต์แวร์สำหรับองค์กรได้เปลี่ยนแปลงไป ปัจจุบันนิยมใช้รูปแบบ คอนเทนเนอร์ (Container) มากขึ้น ซึ่งทำให้การดึงเข้า ดึงออก และปรับเปลี่ยนซอฟต์แวร์ทำได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องพัฒนาระบบใหม่ทั้งหมดเหมือนในอดีต ซอฟต์แวร์ที่อยู่ในรูปแบบคอนเทนเนอร์จะถูกวางอยู่บน Cloud

บริษัทไหนบ้างที่เข้ามาไทย?

ในปี 2567 ที่ผ่านมา หลายบริษัทระดับโลกได้เข้ามาลงทุนจัดตั้ง data center ในไทย เช่น Amazon Web Service (AWS) ที่ประกาศลงทุน data center ในไทยกว่า 2 แสนล้านบาทภายในปี 2580 โดยในเฟสแรกได้ลงทุนสร้างศูนย์ข้อมูลแล้ว 3 แห่ง เงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท 

ส่วน Google ประกาศแผนลงทุนสร้าง data center ในไทยเป็นมูลค่ารวม 3.6 หมื่นล้านบาท ตามด้วยยักษ์อีกรายคือ Microsoft ที่ยังไม่เผยตัวเลขลงทุน  ส่วน 2 ยักษ์จากจีนยังอยู่ในระยะเริ่มต้น คือ Alibaba Cloud 4,000 ล้านบาท และ Huawei 3,000 ล้านบาท

ยังมีรายอื่น ๆ อีก เช่น GDS จากจีน 2.8 หมื่นล้านบาท Equinix จากสหรัฐฯ 1.65 หมื่นล้านบาท NEXTDC จากออสเตรเลีย 13,700 ล้านบาท CtrlS จากอินเดีย 5 พันล้านบาท STT GDC จากสิงคโปร์  4,500 ล้านบาท Evolution Data Centres จากสิงคโปร์ 4,000 ล้านบาท SUPERNAP (Switch) จากสหรัฐอเมริกา 3,000 ล้านบาท Telehouse จากญี่ปุ่น 2,700 ล้านบาท และ One Asia จากฮ่องกง 2,000 ล้านบาท

และล่าสุดคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพิ่งอนุมัติส่งเสริมการลงทุนครงการ Data Hosting ของบริษัทในเครือ TikTok Pte. Ltd. ซึ่งก็คือ “ติ๊กต่อก” ที่เรารู้จักกันดี โดยเป็นโครงการสร้างศูนย์ข้อมูล ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา มูลค่าลงทุนรวมสูงถึง 1.26 แสนล้านบาท

เทรนด์ Data Center บุกไทย ใครได้ ? และใครโดน ?

ถ้ากระแส data center มาเปลี่ยนแปลงวงการไอทีและธุรกิจไทยได้สำเร็จ ก็จะมีทั้งธุรกิจที่ได้รับผลบวกและผลลบด้วย  

โดยบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส ประเมินว่าบริษัทผลิตไฟฟ้า โรงไฟฟ้า และบริษัทวางระบบไฟฟ้าที่ทันสมัย จะได้ประโยชน์จากเทรนด์การเข้ามาลงทุนนี้ เพราะการสร้าง data center นั้น แต่ละแห่งมีขนาดใหญ่ใช้ไฟฟ้ามาก

ส่วนบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า data center เป็นหนึ่งในรูปแบบอาคารที่ใช้พลังงานมากที่สุดในโลก และปัจจุบันอาคาร data center ทุกหลังในโลกใช้ไฟฟ้ารวมกันประมาณ 3% ของพลังงานไฟฟ้าทั่วโลกไปแล้ว แม้จะมีจำนวนอาคารน้อยกว่าอาคารประเภทอื่น ๆ เช่นศูนย์การค้าก็ตาม

ซึ่งชื่อบริษัทอันดับแรกที่ทุกสำนักวิจัยเห็นตรงกัน ก็คือ Gulf Energy ยักษ์ใหญ่ที่มาแรงสุด ๆ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของข่าวสายสัมพันธ์แนบแน่นกับการเมืองฝ่ายรัฐบาล และในด้านของราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ตามไฟฟ้าที่ใช้ใน data center จะเป็นระบบไฟฟ้าอัจฉริยะหรือ smart grid ด้วย คือเมื่อไฟฟ้าจุดหนึ่งดับต้องมีการให้ไฟฟ้าสำรองทันทีและมีการจัดการเส้นทางข้อมูลอย่างถูกต้องราบรื่น จึงเป็นความท้าทายว่าบริษัทไทยอย่าง Gulf หรือบริษัทอื่น ๆ จะสร้างหรือร่วมสร้างระบบไฟฟ้าในศูนย์ข้อมูลยุคใหม่นี้ได้ดีแค่ไหนและอย่างไร?

กลุ่มต่อไปก็คือนิคมอุตสาหกรรม ที่อาจได้ขายหรือให้เช่าที่ดินสำหรับสร้าง data center ที่แต่ละแห่งต้องใช้พื้นที่มากไม่แพ้โรงงานใหญ่ ๆ เลย เช่นล่าสุด ศูนย์ข้อมูลแห่งแรกของ Google ในประเทศไทย ก็จะตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ (WHA) ในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor-EEC) ที่ชลบุรี และนั่นทำให้หลายฝ่ายมองกันว่าหากยักษ์ใหญ่รายอื่น ๆ นอกจาก Google จะหาทำเลที่ตั้งศูนย์ข้อมูลบ้าง นิคมอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ อย่างนี้ก็จะเป็นทางเลือกแรกๆในการไปซื้อที่ดินหรือเช่าเพื่อสร้างและอาศัยสาธารณูปโภคในนั้น

ส่วน Amazon Web Services หรือ AWS ก็ประกาศตั้งศูนย์ข้อมูล AWS Asia Pacific (Thailand) Region ในไทย โดยใช้เงินลงทุนรวม 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.73 แสนล้านบาท) ภายใน 15 ปีนับจากนี้ รวมค่าใช้จ่ายในการสร้างศูนย์ข้อมูล (Data Center) และสิ่งต่าง ๆ รวมถึงค่าดำเนินการทั้งหมด โดยเริ่มเปิดบริการแล้วด้วย

และอีกกลุ่มที่กำลังเป็นที่จับตากันมาก ก็คือบริษัทซอฟต์แวร์ในไทย ที่ทำงานต่อยอดบนบริการคลาวด์ยักษ์ใหญ่ต่างชาติ  ก็อาจจะได้ขี่กระแส ความนิยมนี้ขยายฐานลูกค้าครั้งใหญ่ตามไปด้วย

ตัวอย่างที่ฮือฮาล่าสุดก็คือบริษัท Siam AI ที่ก่อตั้งและบริหารโดย CEO หนุ่ม รัตนพล วงศ์นภาจันทร์ ที่เป็น หลานลุง ของ ทักษิณ ชินวัตร โดยรัตนพลเป็นบุตรชายของ เยาวเรศ ชินวัตร น้องสาวแท้ ๆของ ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

ซึ่งเมื่อปลายปี 2567 ที่ผ่านมา Siam AI ก็ได้จัดงาน “AI Vision for Thailand” โดยเชิญ Jensen Huang ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ Nvidia ผู้โด่งดังมากล่าวสุนทรพจน์ในไทย ซึ่งในงานมีระดับ VIP มาร่วมทั้ง ทักษิณ เอง รวมถึง สารัชถ์ รัตนาวะดี แห่ง Gulf Energy ธนินท์ เจียรวนนท์ กับศุภชัย เจียรวนนท์ แห่งเครือซีพีและทรู 

โดยที่ก่อนนั้น บริษัท ทรู อินเตอร์เน็ต ดาต้า เซ็นเตอร์ (ทรู ไอดีซี) กับ บริษัท สยามเอไอ คอร์ปอเรชัน (สยามเอไอคลาวด์) ก็ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) เพื่อพัฒนาระบบด้วยกันมาก่อนแล้ว โดยคาดกันว่าหลังจาก Siam AI เดินหน้าเต็มระบบแล้ว มีโอกาสอย่างมากที่ลูกค้าสำคัญกลุ่มแรก ๆ น่าจะเป็นหน่วยงานรัฐ

ภาพ connection ทั้งหมดนี้ ทำให้หลายฝ่ายตั้งคำถามว่าสุดท้ายการมาของผู้ประกอบการไฮเทคต่างชาติรอบใหญ่นี้ จะมีกลุ่มผู้ได้ประโยชน์แค่เฉพาะรายใหญ่ ๆ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับการเมืองเท่านั้นหรือไม่?

Data Center เกี่ยวข้องกับ AI อย่างไร?

จากข่าวความร่วมมือของ สยามเอไอ กับ ทรู อินเทอร์เน็ตดาต้าเซ็นเตอร์ ที่กล่าวไป อาจทำให้บางคนเกิดความสงสัยว่า data center นั้น เกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ AI ?

data center เกี่ยวข้องกับ AI ในหลาย ๆ ด้าน  โดยสรุปคร่าว ๆ ได้เป็น 2 ด้านคือ

  • AI ต้องการข้อมูลทั้งในขั้นตอนการฝีกฝน (train) และในขั้นการใช้งานจริง เพื่อให้ AI สามารถเรียนรู้และตอบคำถามหรือทำตามโจทย์ได้ถูกต้องที่สุด โดยจำเป็นต้องมีข้อมูลจำนวนมาก ฉะนั้น data center จึงทำหน้าที่เป็นคลังเก็บข้อมูลขนาดใหญ่คอยสนับสนุนการทำงานของ AI
  • AI ต้องการคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ต่าง ๆ และเครือข่ายที่มีสมรรถนะกับความเร็วสูง ต้องมีระบบระบายความร้อนและระบบไฟฟ้าที่มีเสถียรภาพและพร้อมรับงานหนัก ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งเดียวกับที่ data center มีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงสามารถอยู่ด้วยกันและทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความนิยมในบริการดาต้าเซ็นเตอร์และคลาวด์ ไม่ได้มีแค่ผลบวก แต่ยังอาจส่งผลกระทบด้านลบอยู่บ้างต่อหลายวงการธุรกิจที่ผลิตหรือขายหรือให้บริการสิ่งเหล่านี้ …

ผู้ขายเครื่องคอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์แบบดั้งเดิม อาจโดนผลกระทบจากการที่องค์กรต่างๆอาจเลิกซื้อไปติดตั้ง แล้วหันไปเช่าใช้บริการคลาวด์แทนการลงทุนซื้อเซิฟเวอร์เอง

ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษา IT ณ ออฟฟิศลูกค้า อาจโดนผลกระทบต่อเรื่องจากข้อแรก คือถ้าองค์กรต่างๆ ย้ายระบบ IT ไปอยู่บนคลาวด์แล้ว ฝ่ายผู้ให้บริการคลาวด์ก็จะรับผิดชอบในการดูแลรักษาให้แทน

ผู้ขายอุปกรณ์เครือข่าย อาจโดนผลกระทบจากการที่องค์กรต่างๆอาจจะเลิกซื้อไปติดตั้ง โดยหันไปเช่าใช้บริการคลาวด์แทนการลงทุนติดตั้งระบบเครือข่ายในสำนักงาน

บริษัทซอฟต์แวร์แบบดั้งเดิมที่มีการไปติดตั้ง อาจได้รับผลกระทบจากการที่บางองค์กรอาจจะหันไปใช้ซอฟต์แวร์แบบ SaaS (Software as a Service) ผ่านคลาวด์และจ่ายค่าเช่าใช้รายเดือนตามการใช้งานจริง


ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง ที่ให้บริการฝากข้อมูลเว็บไซต์แบบดั้งเดิม อาจต้องเจอกับการแข่งขันจากบริการคลาวด์ ที่มีราคายืดหยุ่นและมีเครื่องมือทันสมัยกว่า

อย่างไรก็ตาม ทุกรายข้างต้นก็เริ่มแสดงท่าทีรับรู้และปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้แล้ว และก็น่าจะยังทำธุรกิจต่อไปได้ ไม่ถึงกับล้มหายกันไปเพราะกระแส Cloud ทั้งหมดนี้ นอกจากนักธุรกิจและผู้ประกอบการเล็กใหญ่ไทยจะต้องสนใจเรื่องนี้แล้ว บรรดานักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็ต้องนำประเด็นนี้ไปพิจารณาต่อว่าจะสนใจหรือระวังกับหุ้นกลุ่มไหนตัวใดบ้างต่อไปด้วย 

แล้วผู้บริโภคหรือประชาชนคนไทยทั่วไปจะได้หรือเสียอะไรจากกระแสใหญ่ data center รอบนี้บ้างและอย่างไร ?

ในเรื่องนี้มี 2 ด้าน แต่ละด้านก็มี 2 มุมมอง ด้านแรก คือ ด้านตัวเลขที่บางฝ่ายก็มองว่าจะช่วยกระตุ้น GDP แต่หลาย ๆ ฝ่ายก็มองว่าเป็นเม็ดเงินน้อยนิดเมื่อเทียบกับขนาด GDP ไทย เพราะส่วนใหญ่ก็ต้องใช้เงินลงทุนไปกับการซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์จากต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเม็ดเงินที่จะซื้อของที่ผลิตหรือประกอบในไทย จึงไม่น่าจะมีผลช่วย GDP

ซึ่งในแง่ของตัวเลข GDP นั้น บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประมาณว่าในช่วงปี 2567-2570 คาดว่าการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในไทยระหว่างปี 2567-2570 จะเพิ่มขึ้นจากราว 5 หมื่นล้านบาท เป็น 2.85 แสนล้านบาท คิดเป็น 1.1% ของ GDP จากตัวเลขนี้ เมื่อหักส่วนที่ต้องนำเข้าอุปกรณ์และซอฟต์แวร์จากต่างประเทศแล้ว จึงไม่น่าจะเหลือส่วนที่กระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เท่าไรนัก

ส่วนด้านที่สอง คือ ด้านการสร้างงาน มุมมองแรกก็มองแง่ดีว่าการลงทุนจ้างงานจำนวนมาก ทั้งในระหว่างการก่อสร้างและการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ เช่นบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่คาดว่าการเข้ามาลงทุนสร้าง data center ของบริษัทชั้นนำจะช่วยสร้างงานอย่างน้อย 14,000 ตำแหน่ง ในช่วงปี 2568-2572 

แต่อีกมุมมองก็คาดว่าแรงงานที่จ้างนี้อาจจำกัดอยู่ที่แรงงานก่อสร้างศูนย์ข้อมูล แรงงานติดตั้งระบบไฟฟ้า ส่วนแรงงานทักษะสมัยใหม่ด้านไอทีนั้น ส่วนใหญ่ก็น่าจะยังใช้บุคลากรต่างชาติซึ่งเป็นคนเดิม ๆ จากบริษัทแม่อยู่ดี ทำให้ไม่ค่อยมีผลกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่สำคัญคือไม่ได้ถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคลากรไทยเท่าไรนัก

ส่วนผลดีอื่น ๆ ก็เช่นราคาบริการคลาวด์อาจถูกลง เพราะเมื่อผู้ให้บริการคลาวด์รายนั้นมาสร้างในไทย ต้นทุนการเชื่อมต่อต่าง ๆ ก็อาจถูกลง และอาจเกิดความร่วมมือกับบริษัทสื่อสารในไทยทำโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคและ SME ไทยมากขึ้น และถ้าราคาบริการคลาวด์ถูกลง เมื่อคนไทยเข้าถึงเทคโนโลยีคลาวด์กันมาก ๆ ก็อาจมีการต่อยอดสร้างสิ่งใหม่ ๆ อาจช่วยให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น เกษตรกรรม การแพทย์ การผลิต ฯลฯ กันมากขึ้น

นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ที่การลงทุนของบริษัทคลาวด์จะสร้างแรงผลักดันให้มีการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีของประเทศ เช่น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต ความเร็วอินเตอร์เน็ต ไปจนถึงระบบไฟฟ้า และแถมเพิ่มด้วยผลพลอยได้ทางความเชื่อมั่น ที่อาจมีผลดึงดูดการลงทุนอื่น ๆ การที่บริษัทชั้นนำระดับโลกมาลงทุนในไทย จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอื่น ๆ ทำให้เกิดการลงทุนในภาคส่วนต่าง ๆ เพิ่มขึ้น

กระแสการเข้ามาของยักษ์ใหญ่ data center จะสร้างความเปลี่ยนแปลงแก่เศรษฐกิจไทยหรือไม่และอย่างไร จะเกิดการแย่งชิงเม็ดเงินและโอกาสบางส่วนจากธุรกิจไทยและแรงงานหรือไม่ จะขยายความเสียหายเรื่องการขาดดุลดิจิทัลให้กับชาติมหาอำนาจหลาย ๆ ด้านที่ปัจจุบันเกิดขึ้นกับแพลตฟอร์มการค้าออนไลน์ต่าง ๆ ขึ้นไปอีกหรือไม่

สุดท้ายที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือต้องพยายามอย่าเป็นแค่ผู้บริโภคเทคโนโลยี แต่ต้องพยายามเรียนรู้เพื่อผู้พัฒนาต่อยอดและผู้สร้างต่อไปบ้างด้วยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในวงกว้างระยะยาวต่อไป

×

Share

ผู้เขียน