Share on
×

Share

อลิอันซ์ อยุธยา ผนึกกำลัง ตั้งเป้าผู้นำตลาดประกันภัยไทย ชี้ Co-Payment ช่วยสร้างวินัยการเคลม

ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความท้าทายหลากหลายด้านที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญในรอบปีที่ผ่านมา ผู้คนต่างบ่นกันมากว่าเศรษฐกิจแย่ โรงงานหลายแห่งปิดตัว คนตกงาน มูลค่าเงินในกระเป๋าก็ลดลงเรื่อย ๆ แต่มีธุรกิจ 1 ที่มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง นั่นคือธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัย ซึ่งสะท้อนว่าคนยังเห็นว่าการซื้อประกันยังเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อคนไทยกำลังถูกบังคับให้ร่วมเงื่อนไข Co-Payment ยอดขายประกันสุขภาพพุ่งขึ้นสูงมากก่อนที่เงื่อนไขใหม่จะมีผลบังคับใช้

อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต และ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ใช้กลยุทธ์ One Allianz Ayudhya ผนึกกำลังมุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านประกันภัยแบบครบวงจรที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกมิติ ประกาศตั้งเป้าหมายสร้างเบี้ยประกันภัยรับรวมในธุรกิจประกันชีวิตเติบโต 10% ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท และธุรกิจประกันภัย เติบโต 12% เบี้ยประกันภัยรับรวมแตะ 1.2 หมื่นล้านบาท ในปี 2568

ayutthaya-alliance-co-payment-1

“ด้วยรากฐานที่แข็งแกร่ง กลยุทธ์ที่ชัดเจน และความมุ่งมั่นของทีมงาน เรามั่นใจว่าอลิอันซ์ อยุธยา จะสามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทประกันภัยที่ลูกค้าไว้วางใจและเลือกใช้บริการมากที่สุดในประเทศไทย” โทมัส วิลสัน กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต กล่าวระหว่างการแถลงทิศทางและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจปี 2568

ก่อนหน้านี้ สมาคมประกันชีวิตไทยได้ประมาณการอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันชีวิตปี 2568 อยู่ที่ 2-3 % โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบของอัตราเงินเฟ้อทางการแพทย์ (Medical Inflation) ที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 8 – 10% โดยบางปีสูงมากถึง 15% สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อผู้บริโภคทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ และการขยายช่วงอายุการรับประกันสุขภาพออกไปจนถึง 80 ปี จึงเป็นแรงผลักดันที่ทำให้การประกันสุขภาพและโรคร้ายแรงเติบโตต่อไปได้ อีกทั้งยังมีการเข้าสู่สังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ

ปี 67 โตเหนือตลาดทุกกลุ่มธุรกิจ

ในปี 2567 อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต มีตัวเลขการเติบโตแข็งแกร่งเหนือตลาดในทุกช่องทาง สร้างเบี้ยประกันภัยรับรวม (GWP) เติบโต 8% (ตลาดโต 3.23%) แตะ 3.93 หมื่นล้านบาท ขณะที่เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) เพิ่มขึ้น 14% (ตลาดโต 3.28%) แตะ 8.4 พันล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นคงของธุรกิจประกันชีวิตแม้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจชะลอตัว

ด้าน อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย มีการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม เพิ่มขึ้น 7% (ตลาดโต 0.5%) แตะ 1.09 หมื่นล้านบาท ขับเคลื่อนโดย ประกันอุบัติเหตุและสุขภาพ (A&H) ที่เติบโตสูงถึง 9% (ตลาดโต 1.2%) แตะ 3.9 พันล้านบาท ขณะที่ ประกันภัยรถยนต์เติบโต 4% (ตลาดโต -0.2%) แตะ 3.4 พันล้านบาท ประกันวินาศภัยอื่น ๆ เติบโต 7% (ตลาดโต 0.6%) แตะ 3.6 พันล้านบาท 

ชี้ Co-Payment ช่วยสร้างความยั่งยืนระบบประกันสุขภาพ

หนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงกันมากในแวดวงธุรกิจประกันภัยตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คือ Co-Payment หรือเงื่อนไขที่ลูกค้าต้องร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาลในแต่ละครั้ง ซึ่งจะกำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันสุขภาพ โดยจะส่งผลกระทบในเรื่องค่ารักษาพยาบาล ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ผู้ซื้อประกันสุขภาพรายใหม่ มีการเคลมประกันจนเข้าเงื่อนไข Co-Payment ที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ การเข้ารักษาพยาบาลครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นแบบ OPD หรือแบบ IPD จะต้องร่วมจ่ายค่าพยาบาลส่วนหนึ่งด้วย

สำหรับลูกค้าที่ต้องจ่ายเงินซื้อประกัน แน่นอนว่า คนส่วนมากไม่มีใครเห็นด้วยกับ Co-Payment เพราะไม่มีใครอยากควักกระเป๋าจ่ายเพิ่มหากมีการเคลม แต่บริษัทประกันภัยโดยทั่วไป ไม่มีใครคัดค้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าสามารถควบคุมต้นทุนได้ในระยะยาว

โทมัสเปิดเผยว่า ผลจากการประกาศใช้ Co-Payment ทำให้ยอดขายประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นสูงมาก เพราะคนรีบซื้อเพื่อเลี่ยงการถูกบังคับร่วมจ่าย ซึ่งในระยะยาว เขาคิดว่าเงื่อนไขดังกล่าวจะช่วยให้ผู้บริโภคมีระเบียบวินัยมากขึ้นในการเคลมค่ารักษา ส่วนบริษัทประกันภัยก็สามารถควบคุมต้นทุนได้จึงไม่จำเป็นต้องปรับค่าเบี้ยประกันขึ้น

“Co-Payment จะกระทบกับลูกค้าที่มีพฤติกรรมใช้ประกันสุขภาพที่ไม่ถูกทาง เช่น เคลมค่ารักษาโรคที่ไม่รุนแรง (Simple Diseases) เกินเกณฑ์ที่กำหนด แต่ไม่กระทบกับคนที่เป็นโรคร้ายแรงหรือมะเร็ง” โทมัสกล่าว

“เงื่อนไขนี้จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคว่า เวลาไปโรงพยาบาล ควรใช้ระบบประกันสุขภาพแบบไหนถึงจะเหมาะสม ไม่ใช่ว่าบริษัทประกันจะไม่ยอมจ่ายค่าเคลม” โทมัสกล่าว

สำหรับลูกค้าของ อลิอันซ์ อยุธยา ที่ต้องเข้ามาอยู่ในเงื่อนไข Co-Payment มีจำนวนน้อยกว่า 1%

ใครบ้างที่จะเข้าเงื่อนไข Co-Payment

สำหรับผู้ทำประกันสุขภาพรายใหม่ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป จะมีเงื่อนไข Co-Payment ระบุอยู่ในกรมธรรม์ ซึ่งจะมีเกณฑ์การเข้าเงื่อนไขในลักษณะต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งออกเป็น 3 กรณี

กรณีที่ 1:  เจ็บป่วยเล็กน้อย (Simple Diseases)

  • การเคลมจากการป่วยเล็กน้อยทั่วไป หรืออาการที่ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล จำนวนการเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์
  • และมีค่าสินไหมทดแทนมากกว่าหรือเท่ากับตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีกรมธรรม์ถัดไป

กรณีที่ 2: เจ็บป่วยโรคทั่วไป แต่ไม่นับรวมการผ่าตัดใหญ่และโรคร้ายแรง

  • การเคลมมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อปีกรมธรรม์
  • และค่าสินไหมทดแทนมากกว่าหรือเท่ากับ 400% ของเบี้ยประกันสุขภาพ จะต้องร่วมจ่าย 30% ทุกค่ารักษาในปีกรมธรรม์ถัดไป

กรณีที่ 3: หากผู้เอาประกันเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 กรณีข้างต้น

  • จะต้องร่วมจ่าย 50% ทุกค่ารักษาในปีกรมธรรม์ถัดไป

แนวโน้มค่ารักษาพุ่ง 10% ในอีกไม่ถึง 10 ปี

“แนวโน้มค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นทุกปี ผมไม่แน่ใจว่า ในอีก 15-20 ปีข้างหน้า ผมจะยังสามารถจ่ายค่าเบี้ยประกันได้หรือไม่” โทมัสตั้งคำถามเกี่ยวกับความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพในเมืองไทย

ผลการสำรวจแนวโน้มค่ารักษาพยาบาลทั่วโลกล่าสุดจาก วิลลิส ทาวเวอร์ส วัตสัน (Willis Tower Watson – WTW) บริษัทที่ปรึกษา โบรกเกอร์ และโซลูชั่นส์ชั้นนำระดับโลก คาดการณ์ว่า ค่ารักษาพยาบาลในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 7-8 ปีข้างหน้า และยังคงสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและดัชนีผู้บริโภค โทมัสจึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่า บริษัทประกันภัย ผู้บริโภคและหน่วยงานภาครัฐต้องร่วมมือกันหาวิธีควบคุมค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นทุกปีให้อยู่ในอัตราที่เหมาะสม ซึ่งเขาชี้ว่า Co-Payment จะช่วยแก้ปัญหาได้

พัฒนาตัวแทน- ขยายความร่วมมือช่องทางธนาคาร

สำหรับกลยุทธ์ของ อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต ปี 2568 จะเดินหน้าขับเคลื่อนการเติบโตผ่านกลยุทธ์การพัฒนาเครือข่ายตัวแทนและการขยายความร่วมมือช่องทางธนาคารอย่างต่อเนื่อง มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนและคุณภาพของตัวแทนมืออาชีพผ่านโครงการพัฒนาศักยภาพแบบเข้มข้น เพื่อสร้างเครือข่ายตัวแทนที่แข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ในตลาดผ่านโปรแกรมการแข่งขันและฝึกอบรมต่างๆ

ขณะเดียวกัน เราได้กำลังเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งกับพันธมิตรช่องทางธนาคารอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความร่วมมือกับธนาคารกรุงศรี ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับช่องทางนี้ผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบวงจร รองรับทั้งการออม การลงทุน และการคุ้มครองสุขภาพ พร้อมพัฒนา นวัตกรรมดิจิทัล ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกแผนประกัน จัดการกรมธรรม์ และเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้สะดวกยิ่งขึ้น

“เราเชื่อมั่นว่าการเสริมความแข็งแกร่งของทั้งสองช่องทางนี้ จะช่วยให้เราสามารถขยายการเข้าถึงลูกค้าและสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2568″ โทมัสกล่าว

ขยายพอร์ตผลิตภัณฑ์ประกันภัย

ด้าน ลาร์ส ไฮบุทสกี้ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อลิอันซ์ อยุธยา ประกันภัย ระบุว่า บริษัทจะขยายขีดความสามารถด้วยกลยุทธ์สำคัญ 3 ด้าน คือ

  1. การกระจายพอร์ตผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งขยายโอกาสธุรกิจที่มากไปกว่าประกันรถยนต์ โดยจะเน้นไปที่ประกันสุขภาพ การคุ้มครองความเสี่ยงธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) และการคุ้มครองบ้านและทรัพย์สินอื่นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูง พร้อมเพิ่มโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจรายย่อยและองค์กร
  2. การเสริมความแข็งแกร่งของช่องทางการจัดจำหน่าย โดยมุ่งเสริมศักยภาพของทั้งโบรกเกอร์และตัวแทนประกันรถยนต์เดิม ให้มีความสามารถแนะนำประกันภัยชนิดอื่นๆให้กับลูกค้าได้ด้วย
  3. ขยายธุรกิจประกันภัยเชิงพาณิชย์ Allianz Commercial ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถให้บริการประกันภัยที่ครอบคลุมสำหรับภาคธุรกิจขนาดใหญ่และกลุ่มองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่ม ประกันภัยทรัพย์สิน วิศวกรรม การขนส่ง และความรับผิดทางกฎหมาย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

AWC กางแผน 5 ปี ดันมูลค่าทรัพย์สินแตะ 3 แสนล้านบาท โชว์ผลงานปี 67 สร้างสถิติใหม่ 5 นิวไฮ

ดาต้าเซ็นเตอร์ แท้จริงคือ นวัตกรรมหรือภัยสูญพันธุ์

“เครื่องบินส่งมอบช้า” ฉุดการบินไทยขยายตลาด ลุ้นนำหุ้นกลับเข้าเทรด มิ.ย.นี้ หลังออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ

×

Share

ผู้เขียน