ณ โรงงานคึกคักใน ตำบลบางกระเจ้า จังหวัดสมุทรสาคร ที่ซึ่งกลิ่นหอมของข้าวแปรรูปอบอวล คือศูนย์กลางของ บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เบื้องหลังความสำเร็จของขนมสุขภาพแบรนด์ Grinny และ O puff ที่ส่งออกไปกว่า 40 ประเทศทั่วโลก คือเรื่องราวของ สุวิมล สิระนาท (เมนี่) กรรมการผู้จัดการ หญิงแกร่งวัย 31 ปี บัณฑิตทุนเล่าเรียนหลวงจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด บริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นจากความตั้งใจอันแรงกล้าของเธอ หลังจากทำงานในต่างประเทศระยะหนึ่ง สุวิมลเกิดความตระหนักและตั้งคำถามถึงการนำความรู้ความสามารถไปสร้างการเติบโตให้องค์กรต่างชาติ ขณะที่ประเทศไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์โดยตรง
สุวิมล อธิบายความรู้สึกในขณะนั้นว่า “เหตุใดจึงนำเงินของประเทศมาศึกษา แต่ความรู้ความสามารถกลับไปสร้างการเติบโตให้บริษัทต่างชาติ ประเทศไทยได้รับประโยชน์อะไรบ้าง?” ความรู้สึกนี้เองที่ผลักดันให้เธอตัดสินใจครั้งใหญ่ ทิ้งอนาคตที่สดใสในต่างแดน หันหลังให้เงินเดือนสูงลิ่ว เพื่อกลับมาทำประโยชน์ให้สังคมไทย ด้วยความเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้าเกษตรไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เธอรู้ดีว่าข้าวหอมมะลิของไทยนั้นโด่งดัง มีชื่อเสียง และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก เธอจึงเล็งเห็นศักยภาพและตั้งใจว่าจะต้องทำผลิตภัณฑ์จากข้าวหอมมะลิ เพื่อสร้างมูลค่าและนำเสนอความเป็นไทยสู่สากล
เส้นทางของสุวิมล เริ่มต้นจากการเป็นนักเรียนหัวกะทิโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สู่การคว้าทุนเล่าเรียนหลวงไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีและโทด้านเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ความสามารถของเธอทำให้สำเร็จการศึกษาในเวลาเพียง 3 ปี และก้าวเข้าสู่โลกการเงินในตำแหน่งนักวิเคราะห์ที่บริษัทการเงินในเมือง พาโลอัลโต สหรัฐอเมริกา ชีวิตในต่างแดนที่ดูเหมือนจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กลับจุดประกายคำถามสำคัญในใจที่นำเธอกลับสู่มาตุภูมิ
เมื่อกลับถึงไทย สุวิมลไม่ได้เริ่มต้นจากความพร้อม เธอมีเพียงโจทย์ที่ชัดเจนคือนำสินค้าเกษตรไทยมาแปรรูปเพื่อส่งออก โดยมีข้าวหอมมะลิเป็นธงนำ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศ และเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตของเกษตรกร บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด จึงได้ถือกำเนิดขึ้นเพื่อดำเนินธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตรไทยเป็นผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ เช่น ขนมอบกรอบจากข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิก แบรนด์ Grinny และขนมข้าวโพดอบกรอบ แบรนด์ O puff

“เราไม่มีความรู้เรื่องอาหารเลย จบเศรษฐศาสตร์มา” เธอยอมรับอย่างตรงไปตรงมา การเดินทางสู่ธุรกิจขนมจึงเริ่มจาก “ครัวหลังบ้าน” อย่างแท้จริง สุวิมลลงมือทดลองสูตรเอง ลองผิดลองถูกนับครั้งไม่ถ้วน “ก็เกณฑ์แม่บ้าน คนแถวบ้านมาช่วยทำขนม แล้วเอาไปขายตามตลาดนัด 3 ถุงร้อย 4 ถุงร้อย ยืนเปิดแผงเอง ทำมาหมดแล้ว” เสียงตอบรับจากลูกค้าคือบทเรียนล้ำค่า แม้บางครั้งจะท้อแท้กับคำวิจารณ์แรง ๆ อย่าง “หน้าตาเหมือนก้อนขี้ม้า รสชาติกินไม่ได้ ถุงทุเรศ หนูฟังหมด แล้วก็เอากลับไปแก้” นี่คือช่วงเวลา 5-6 เดือนแห่งการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างไม่หยุดหย่อน บริษัทให้ความสำคัญกับปรัชญา ‘Design Inside Out’ คือการมุ่งมั่นทำสินค้าที่ดีมีคุณภาพตั้งแต่ขั้นตอนการคิด
จุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้ออกบูธในงาน Thaifex โดยบังเอิญ “ได้บูธมาเพราะมีคนสละสิทธิ์ เป็นบูธมาตรฐานเล็ก ๆ แถมโดนคนอื่นใช้เป็นที่ทิ้งขยะ” สุวิมลเล่าถึงความทุลักทุเลในการแบกผ้าใบไปสร้างบูธด้วยตัวเอง การได้ยืนหน้าบูธคลุกคลีกับลูกค้าโดยตรง ทำให้เธอเข้าใจความต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างแท้จริง และตระหนักว่ามาตรฐานโรงงานคือหัวใจของการส่งออก
การตัดสินใจสร้างโรงงานแปรรูปขนมบนที่ดิน 8 ไร่ที่ บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรสาคร ด้วยเงินลงทุนกว่าร้อยล้านบาทจากครอบครัว คือก้าวที่ท้าทายที่สุด “ก่อนพ่อจะเซ็นสัญญา พ่อถามคำเดียวว่า ‘สัญญากับป๊ามานะว่าวันนึงถ้าเราเกิดปัญหาอะไร เราจะไม่ทิ้งมัน’ คำนั้นมันฝังอยู่ในใจ” และคำสัญญานั้นก็ถูกทดสอบอย่างหนัก เมื่อการก่อสร้างดำเนินไปได้เพียง 26% ผู้รับเหมากลับทิ้งงานหนีออกนอกประเทศ สุวิมลต้องลุกขึ้นมาดีลกับผู้รับเหมารายย่อยแต่ละส่วนด้วยตัวเอง ทั้งงานไฟฟ้า ประปา จนโรงงานสำเร็จเป็นรูปเป็นร่างได้ในที่สุด
ปัจจุบัน บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด คือผู้ผลิตขนมอบกรอบจากข้าวกล้องหอมมะลิออร์แกนิกแบรนด์ Grinny และขนมข้าวโพดอบกรอบแบรนด์ O puff ที่แข็งแกร่ง โรงงานที่ บางกระเจ้า แห่งนี้รับซื้อข้าวจากเกษตรกรหลายร้อยตันต่อเดือน รวมถึงข้าวโพดและธัญพืชอื่นๆ อีกมหาศาล สร้างรายได้ที่มั่นคงให้เกษตรกรในภาคอีสานและภาคกลาง โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายขนาดตลาดให้กับสินค้าเกษตรของไทยและหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายเดิมในประเทศ

สุวิมล แบ่งปันว่า บริษัทพยายามเติบโตไม่เพียงในด้านยอดขาย แต่ยังมองถึงมิติอื่นด้วย เช่น คุณภาพชีวิตของพนักงาน การช่วยเหลือเกษตรกร หรือการแบ่งปันความรู้ที่สามารถมอบให้พวกเขาได้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับตลาดในประเทศ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสำหรับผู้บริโภคทุกวัย ทำให้สามารถรับซื้อวัตถุดิบทางการเกษตรได้ในปริมาณที่มากขึ้น และยังขยายการช่วยเหลือไปยังเกษตรกรผู้ปลูกพืชผลอื่น ๆ เพิ่มเติมจากข้าว เช่น ข้าวโพดและผลไม้หลากหลายชนิด ทั้งยังนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทซึ่งเกิดจากการแปรรูปวัตถุดิบจากเกษตรกรในชุมชนต่าง ๆ ส่งคืนกลับไปยังชุมชนเหล่านั้นด้วย เพราะทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น เธอเห็นรอยยิ้มและความภาคภูมิใจเล็ก ๆ ของพวกเขา
ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้หยุดอยู่แค่ตัวเลข สุวิมลให้ความสำคัญกับการเป็น บริษัทไทย 100% ที่ให้ความสำคัญกับการจ้างงานคนไทยและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าบริษัทอื่นในละแวกเดียวกัน พนักงานกว่า 300 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่วัย 20 กว่า ได้รับการปั้นขึ้นมาจากศูนย์ และยังใส่ใจมาตรฐานแรงงานและสิ่งแวดล้อม เพราะในการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศจำนวนมาก จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานต่าง ๆ ไม่เพียงแต่มาตรฐานสินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงมาตรฐานแรงงานและมาตรฐานสิ่งแวดล้อมด้วย
เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สุวิมลเผชิญความท้าทายมานับไม่ถ้วน ทั้งปัญหาการผลิต การแข่งขันที่รุนแรงจากบริษัทใหญ่ที่เข้ามาเรียนรู้แล้วเปิดไลน์แข่ง หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้าส่วนตัวจนเกือบจะไปต่อไม่ไหวหลายครั้ง แต่ด้วยจิตใจนักสู้ และการยึดหลักการปล่อยวางในสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ ทำให้เธอก้าวข้ามอุปสรรคและหาทางเดินหน้าต่อไป
“การทำธุรกิจเหมือนการเล่นเกมที่ไม่มีวันจบ ทุกวันเจอปัญหา แต่ต้องค่อย ๆ แก้ไป คนที่ไม่หยุดคือผู้ชนะ” สุวิมล กล่าวทิ้งท้าย
เรื่องราวของ สุวิมล สิระนาท จากทุนหลวง สู่การก่อตั้งโรงงานที่ บางกระเจ้า จังหวัดสมุทรสาคร ไม่เพียงสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ แต่ยังเป็นภาพสะท้อนของความสำเร็จที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างความรู้ ความอดทน และหัวใจที่ปรารถนาจะตอบแทนสังคมอย่างแท้จริง เป็นสารคดีชีวิตที่พิสูจน์ว่า ความฝันที่จะสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและเกื้อกูลสังคมไทยนั้นเป็นจริงได้
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Kantar เผยพฤติกรรมนักช้อปกลุ่ม Gen Z ให้ความสำคัญ ‘ความคุ้มค่า- ประสบการณ์ที่ดี’
ไทยยูเนี่ยนจับมือ ADB เปิดมิติใหม่ ‘Blue Finance’ ปั้นอุตสาหกรรมกุ้งไทยสู่ความยั่งยืนระดับโลก