Share on
×

Share

ภาษีทรัมป์ 19% ‘ส่งออกไทย’ ยังไงก็หนัก

วันที่ 31 กรกฎาคม ตามเวลาท้องถิ่น (ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคมของไทย) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อใช้อำนาจภายใต้พระราชบัญญัติอำนาจทางเศรษฐกิจฉุกเฉินระหว่างประเทศ ในการกำหนดภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ทั่วโลก (Reciprocal Tariffs) กับไทยในอัตรา 19% ซึ่งจะมีผลในอีก 7 วันหลังจากวันลงนามคำสั่ง

ต้องบอกว่าเป็นวันที่คนไทยต่างใจจดใจจ่อ “ลุ้นภาษีทรัมป์” ไม่น้อยกว่าลุ้น “หวยรัฐบาล” ในที่สุดก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายเมื่อผลออกมาที่อัตรา 19% เท่ากับกัมพูชา ไม่แน่ใจว่าอัตราภาษีนี้คำนวณตามหลักเศรษฐศาสตร์หรือจากสมการทางการเมือง หลังจากที่เคยมีท่าทีขู่ไทยกับกัมพูชาก่อนหน้านี้

หากดูการจัดกลุ่มการลดภาษีของสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า อาจแบ่งได้ 3 กลุ่มดังนี้

  • กลุ่มแรก: ชาติที่สหรัฐฯ ได้เปรียบดุลการค้า เช่น สิงคโปร์, อังกฤษ
  • กลุ่มที่ 2: กลุ่มที่สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้าไม่มากนัก อาทิ สหภาพยุโรป
  • กลุ่มที่ 3: กลุ่มที่สหรัฐฯ เสียเปรียบดุลการค้ามาก จะถูกเก็บภาษีสูงกว่า 15% เช่น ไทยและกลุ่มอาเซียน ส่วนจีนโดน 30%, สวิตเซอร์แลนด์ 39%, ลาวกับพม่า 40% (เนื่องจากสหรัฐฯ มองว่าเป็นสินค้าที่จีนสวมสิทธิ์) และบราซิลซึ่งมีประเด็นทางการเมืองกับสหรัฐฯ โดน 50%

แม้ไทยกับกัมพูชาจะได้อัตราภาษี 19% เท่ากัน แต่หาก “คิดส่วนลด” แล้ว ไทยอาจได้ลดน้อยกว่า โดยในบทเจรจา กัมพูชาถูกลดจากอัตราตั้งต้นที่สูงกว่าจึงเสมือนได้ส่วนลดมากกว่า อย่างไรก็ตาม ยังดีที่ไทยได้อัตราภาษีที่ไม่ต่างจากประเทศในกลุ่มอาเซียนมากนัก โดยมาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ ได้ 19% และเวียดนาม 20% ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกัน

สำหรับสิ่งที่ไทยยอมแลกกับสหรัฐฯ อาทิ ยกเว้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ กว่าหมื่นรายการ (ส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่ไทยไม่ได้ผลิตหรือผลิตไม่เพียงพอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง อาหารเฉพาะทาง)

  • ลดอุปสรรคทางการค้า โดยเฉพาะด้านสุขอนามัย ศุลกากร และขั้นตอนการรับรองสินค้า เพื่อเร่งกระบวนการและลดต้นทุนให้แก่สหรัฐฯ
  • เปิดให้สหรัฐฯ เข้ามาลงทุนใน EEC แบบ Fast-track และให้สิทธิประโยชน์บีโอไอในกลุ่มพลังงานสะอาด, เซมิคอนดักเตอร์/ไอซีที และโลจิสติกส์
  • สั่งซื้อพลังงานและอากาศยานจากสหรัฐฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อช่วยลดการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
  • ให้คำมั่นว่าจะลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลง 70% ภายใน 5 ปี ให้เหลือเพียง 30% ในปี พ.ศ. 2573
  • ยินยอมใช้ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าที่เข้มงวดขึ้น เพื่อป้องกันกรณี “สินค้าจีนอ้อมทางไทย” และสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยไม่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อหลบเลี่ยงภาษี
  • เสนอเว้นภาษีชั่วคราวสำหรับบริการดิจิทัลของบริษัทสหรัฐฯ (เช่น AWS, Google Cloud) เป็นเวลา 2 ปี เพื่อเปิดโอกาสให้เข้ามาลงทุนและให้บริการในไทยมากขึ้น
  • ยอมเพิ่มโควต้านำเข้าข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย และตอบสนองข้อเรียกร้องของเกษตรกรอเมริกัน
  • ยังคงภาษีเดิมสำหรับสินค้าเกษตรและอาหารที่สำคัญ แม้จะเปิดเสรีภาษีในภาพรวม แต่ยังปกป้องสินค้าที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง เช่น ข้าว น้ำตาล และผลไม้แปรรูป เพื่อดูแลเกษตรกรในประเทศ

สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือนับจากนี้ไป ผู้ส่งออกไทยต้องทำงานหนักขึ้น จากที่เคยได้ประโยชน์จากอัตราภาษี MFN (Most Favored Nation) ในปี 2024 ซึ่งสหรัฐฯ เก็บจากสินค้าไทยโดยทั่วไปที่ประมาณ 3.6% บัดนี้ต้องเผชิญกับอัตรา 19% ในขณะที่สินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ มาไทยกลายเป็น 0% แม้อัตราใหม่นี้จะใกล้เคียงกับคู่แข่งในอาเซียน แต่ต้องไม่ลืมว่าไทยเคยได้รับสิทธิพิเศษ GSP (ไม่เสียภาษี 0%) ในหลายหมวดสินค้า การปรับขึ้นมาที่ 19% จึงเป็นการเพิ่มขึ้นของภาระที่สูงมาก

นอกจากนี้ สินค้าส่งออกของไทยยังต้องเหนื่อยกับการแข่งขันกับประเทศที่อยู่ใกล้สหรัฐฯ เช่น กลุ่มประเทศในอเมริกาใต้ หรือเม็กซิโก ซึ่งมีสินค้าคู่แข่งหลายประเภทและได้เปรียบด้านต้นทุนขนส่งที่ถูกกว่า หรือแม้แต่เวียดนามในอาเซียนที่ค่าแรงและราคาพลังงานถูกกว่า ทำให้มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย บอกตรงๆ ว่างานนี้ผู้ส่งออกไทยเจองานยาก

อีกประเด็นสำคัญคือข้อกำหนดที่ไทยต้องลดการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ลงถึง 70% ภายใน 3-5 ปี ซึ่งถือว่าหนักมาก เพราะปัจจุบันไทยเกินดุลสหรัฐฯ ราว 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.48 ล้านล้านบาท) นั่นหมายความว่า ไทยต้องส่งออกน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญและต้องนำเข้าเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่สูงมาก ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ในข้อเสียก็มีข้อดี การที่ไทยลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการจากสหรัฐฯ เป็น 0% ถือเป็นผลดีต่อผู้บริโภคไทยโดยตรง เพราะภาษีนำเข้าที่ไทยเคยเรียกเก็บนั้นเป็นการผลักภาระมายังผู้ซื้อ เมื่อภาษีเป็น 0% คนไทยก็จะสามารถซื้อสินค้าในราคาที่ถูกลง

แต่สิ่งที่ต้องระวังอย่างยิ่ง คือ สินค้าจีนที่เคยเป็นคู่แข่งของไทยในตลาดโลก ขณะนี้จีนโดนภาษีสหรัฐฯ ถึง 30% ทำให้โอกาสเข้าตลาดสหรัฐฯ ยากขึ้น และนี่อาจเป็นโอกาสให้สินค้าไทยเข้าไปทดแทนได้ แต่ในทางกลับกัน สินค้าจีนเหล่านี้เมื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ไม่ได้ ก็อาจทะลักเข้ามาขายในประเทศไทยแบบดัมปิงราคา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศอย่างรุนแรง

นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ยังมีการบ้านที่รัฐบาลจะต้องทำอีกมากมาย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยที่จะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน เพราะธุรกิจเกษตรของสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ทำให้มีต้นทุนที่ต่ำกว่า กรณีเนื้อหมูจากสหรัฐฯ ที่เคยถูกกีดกันก็อาจมีโอกาสทะลักเข้ามาได้ เนื่องจากผู้เลี้ยงหมูในสหรัฐฯ ทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าไทยมาก คนไทยอาจจะได้บริโภคเนื้อหมูราคาถูก แต่จะส่งผลกระทบอย่างหนักกับผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยในประเทศ

ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คงเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแล นี่คือการบ้านของรัฐบาลว่าจะมีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาอย่างไร จะอุดหนุนอุตสาหกรรมรายใหญ่หรือไม่ ซึ่งต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบและเป็นธรรม เพราะเม็ดเงินที่นำไปอุดหนุนล้วนเป็นภาษีของประชาชนทุกคน

บทความอื่น ๆ ของผู้เขียน

1 สิงหา 68 วันชี้ชะตาเศรษฐกิจไทย

‘เศรษฐกิจ-การเมืองไทย’ ไร้แสงสว่างปลายอุโมงค์

‘Entertainment Complex’ เครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่…หรือฮับสีเทา

×

Share