Meta หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีอิทธิพลที่สุดในโลก แน่นอนว่า ในยุคที่มีความก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เช่นนี้ ทาง Meta เองก็ไม่พลาดที่จะพัฒนาและสรรค์สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน
การพัฒนา AI ของ Meta ไม่เพียงแต่เน้นไปที่ความก้าวหน้าในเทคโนโลยี แต่ยังให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบ และการเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ โดยทางดร. ราฟาเอล แฟรงเคิล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายสาธารณะของ Meta ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมาบอกเล่าถึงวิสัยทัศน์และแนวคิดในการพัฒนา AI ของ Meta และการทำงานร่วมกับภาครัฐไทยเพื่อส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจในประเทศไทยให้ได้ทราบกัน
แนวทางการพัฒนา AI ของ Meta เน้นย้ำในเรื่องของรับผิดชอบและความปลอดภัย
หนึ่งในจุดเด่นของ Meta ในการพัฒนา AI คือความมุ่งมั่นที่จะสร้างระบบ AI ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible AI) ซึ่งเป็นสิ่งที่ Meta ให้ความสำคัญอย่างมากในทุกขั้นตอนของการพัฒนา โดยแนวคิดนี้ไม่ได้วางไว้เพียงแค่ให้แน่ใจว่า AI ของ Meta จะทำงานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ แต่ยังเพื่อให้แน่ใจว่า AI เหล่านี้จะมีประโยชน์และจะปลอดภัยต่อผู้ใช้งานทั่วโลก
สำหรับ Meta นั้น เรียกได้ว่า มีประสบการณ์ในการพัฒนา AI มายาวนาน โดยเริ่มจากการสร้างศูนย์วิจัย FAIR (Facebook AI Research) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยที่มุ่งเน้นในการพัฒนาและวิจัยของทาง Meta
ดร.ราฟาเอล อธิบายว่า Meta ให้ความสำคัญกับเรื่องของการสร้างระบบที่มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพเป็นหลัก และหนึ่งในตัวอย่างคือ การนำ AI มาใช้ใน Content Moderation ซึ่งเป็นการตรวจสอบและควบคุมเนื้อหาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ Meta เช่น Facebook, Instagram และ Messenger โดยการใช้ AI ทำให้ Meta สามารถตรวจสอบเนื้อหาที่อาจมีความเสี่ยงหรือไม่เหมาะสมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเมื่อแพลตฟอร์มเหล่านี้มีผู้ใช้งานมากกว่า 3 พันล้านคนทั่วโลก และมีคอนเทนต์ที่หลากหลายตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากนี้ Meta ยังใช้วิธีการที่เรียกว่า Red Teaming ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทีมงานภายในของ Meta จะทำการทดสอบระบบ เพื่อหาจุดอ่อนและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น ก่อนที่จะเปิดตัวระบบสู่สาธารณะ ซึ่งการทำงานในลักษณะนี้ช่วยให้ Meta สามารถปรับปรุงระบบให้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุดก่อนที่จะนำเสนอให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความสำคัญของระบบ Open Source ที่ทาง Meta ทำการพัฒนา
Meta ให้ความสำคัญในการสร้าง Open Source ที่เปิดโอกาสให้ทั้งนักพัฒนา นักวิจัย และชุมชนต่าง ๆ ทั่วโลกสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้ไปพัฒนาต่อยอด หรือปรับใช้กับความต้องการเฉพาะของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้ทุกคนสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือโมเดลใหม่ ๆ ที่อาจจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนได้ง่ายและไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของ Meta ที่พัฒนาระบบ Open Source ขึ้นมาให้ได้เข้าไปใช้งานกันคือ การพัฒนา PyTorch ที่เป็น Framework ด้าน AI & Machine Learning ที่พัฒนาโดยทีม Facebook’s AI Research Lab ของ Meta ที่ได้รับการยอมรับและใช้เป็นมาตรฐานของนักพัฒนาทั่วโลกในการสร้างและปรับปรุงโมเดล AI ด้วยระบบ Open Source ที่สามารถนำไปใช้ในโครงการต่าง ๆ ซึ่งสร้างความก้าวหน้าในหลายด้าน เช่น การแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ฯลฯ
สำหรับข้อดีของระบบ Open Source ของ Meta คือ การใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ และทุกคนสามารถเข้าถึง Open Source ได้ จึงช่วยลดอุปสรรคในการเข้าถึงเทคโนโลยีสำหรับผู้ที่มีงบประมาณที่จำกัด นอกจากนี้ ยังช่วยสร้างความเป็นประชาธิปไตยในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้ผู้คนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างทั่วถึงโดยไม่โดนปิดกั้นอีกด้วย
เปิดตัว Llama 3.1 และการพัฒนา AI ขั้นสูง
หนึ่งในก้าวสำคัญของ Meta ในการพัฒนา AI คือ การเปิดตัว Llama 3.1 ซึ่งเป็น AI Model ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้สามารถประมวลผลและวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปล่อยโมเดลออกมาทั้งหมด 3 โมเดล คือ 8B 70B และ 405B ซึ่งเป็น Large Language Model (LLM) ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถทำความเข้าใจและสร้างภาษาที่ซับซ้อนได้อย่างแม่นยำ ซึ่งในปัจจุบันได้เปิดให้บริการในหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย
นอกจากนี้ Llama 3.1 ถือว่าเป็น AI ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดในปัจจุบัน และ Meta ยังมีแผนที่จะพัฒนารุ่นต่อไปคือ Llama 4 ซึ่งคาดว่าจะเป็น AI ที่มีศักยภาพและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นอีกขั้นและช่วยอุดช่องว่างที่มักเกิดการเปรียบเทียบกันระหว่างระบบ Open Source และ Closed Source ได้เป็นอย่างดี นั่นหมายความว่า ผู้ที่ใช้งานแพลตฟอร์มของ Meta ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram หรือว่า Messenger ทุกคนจะเปรียบเสมือนเป็นเจ้าของระบบ AI ที่มีประสิทธิภาพและมีความก้าวหน้าในมือถือของตนเอง
– Meta อัปเดต Llama 3.1 โมเดล AI เวอร์ชันล่าสุด รองรับภาษาไทย
ความร่วมมือกับภาครัฐไทย และการส่งเสริมศักยภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีจาก Meta
Meta ไม่เพียงแต่พัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย แต่ยังมุ่งเน้นในการทำงานร่วมกับภาครัฐในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจไทย โดยดร. ราฟาเอล แฟรงเคิล ได้เล่าถึงความร่วมมือระหว่าง Meta และภาครัฐไทยในโครงการต่าง ๆ เช่น การร่วมกันจัดทำ Thailand Travel Playbook ซึ่งเป็นโครงการที่ Meta ร่วมกับททท. ในการจัดทำคู่มือ โดย Meta ให้คำแนะนำในเชิงกลยุทธ์ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวสามารถสร้างแบรนด์และเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ Meta ยังได้ร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการท่องเที่ยว และกระทรวง DE ในการจัดทำเทรนนิ่งที่จะสอนให้ธุรกิจเข้ามาใช้แพลตฟอร์มของ Meta และเครื่องมือ AI ต่าง ๆ เพื่อช่วยปลดล็อคธุรกิจ โดยโปรแกรมเทรนนิ่งนี้จะเน้นให้ความรู้ รวมถึงยกระดับทักษะของ SME ไทย ซึ่งในปัจจุบันได้ทำการเทรนนิ่งผู้ประกอบการไปแล้วกว่า 7,000 ผู้ประกอบการ และพร้อมให้เข้าถึงผ่านช่องทางออนไลน์ได้แล้ว
และอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ Meta ร่วมมือกับภาครัฐไทย คือ Asia-Pacific AI Accelerator ซึ่งเป็นการแข่งขันที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาจากประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นำเสนอไอเดียและ Use Case ในการพัฒนา Llama 3.1 เพื่อเป็นโครงการที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาในเรื่องต่าง ๆ หรือเป็นประโยชน์กับสังคม ซึ่งผู้ชนะจากการแข่งขันในแต่ละประเทศจะมีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขัน Hackathon ที่ใหญ่ที่สุดใน APEC ที่จัดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ พร้อมมีการอัดฉีดเงินรางวัลกว่าแสนเหรียญดอลลาร์เป็นของรางวัลอีกด้วย
จะเห็นว่า Meta มุ่งเน้นในการพัฒนา AI ที่มีความรับผิดชอบเพื่อความปลอดภัยด้านการใช้งาน และเปิดโอกาสให้ทุกคนสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ผ่านระบบ Open Source อีกทั้งยังมีโครงการที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐไทยและพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจไทยอีกทางหนึ่งตามวิสัยทัศน์ของ Meta ที่ต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ รวมถึงเชื่อมโยงทุกคนจากทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มหรือเทคโนโลยีของ Meta เข้าไว้ด้วยกัน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
Meta ฉายภาพ บทบาทของ AI ในการพัฒนาธุรกิจและการโฆษณา
ETDA ปล่อยคู่มือคุมเข้มโฆษณาออนไลน์ สร้างพื้นที่ปลอดภัย