“เดวา แลนด์” (Davaland) ประกาศการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ในรอบ 7 ปีของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากประสบการณ์ เปิดตัว 3 โครงการบ้านเดี่ยวลักชัวรีใจกลางเมือง ได้แก่ พระราม 9 อารีย์ และสุขุมวิท 101 รวมมูลค่ากว่า 500 ล้านบาท ชูคอนเซ็ปต์ “บ้านนวัตกรรม” ที่นำเทคโนโลยีการก่อสร้างระดับอาคารสูงมาใช้กับบ้านเดี่ยวเป็นครั้งแรก พร้อมกลยุทธ์การร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน (Joint Venture) เจาะทำเลศักยภาพที่หาได้ยาก (Rare Item) และกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง
หลังจากห่างหายจากวงการไปนานถึง 7 ปี เพื่อทุ่มเทเวลาให้กับการดูแลครอบครัว เลิศมงคล วราเวณุชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดวา แลนด์ จำกัด ซึ่งดำรงตำแหน่งอุปนายกและเลขาธิการ สมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และอดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์นนทบุรี ผู้มีประสบการณ์ในวงการอสังหาริมทรัพย์ยาวนานกว่า 32 ปี และเคยนำบริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก่อนจะขายให้กับกลุ่มสิงห์ (ปัจจุบันคือ สิงห์ เอสเตท) ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “เดวา แลนด์”
การกลับมาครั้งนี้เป็นการเปิดตัวพร้อมกันถึง 3 โครงการ ซึ่งเป็นผลมาจากโมเดลธุรกิจแบบ Joint Venture กับพันธมิตรเจ้าของที่ดินที่ต้องการพัฒนาที่ดินเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม แทนการขายที่ดินท่ามกลางภาระภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยรีวาแลนด์จะรับผิดชอบในส่วนของการพัฒนาโครงการ การออกแบบ การตลาด และการก่อสร้างทั้งหมด
นวัตกรรมบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง: เมื่อเทคโนโลยีอาคารสูงมาอยู่ในบ้าน
“นี่แทบไม่ใช่บ้าน แต่มันคือการนำเทคโนโลยีของอาคารสูงมาใช้สร้างบ้าน” คือคำจำกัดความที่สะท้อนหัวใจของโครงการ “Canvas” ได้อย่างชัดเจน จุดเด่นที่สร้างความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง คือการนำนวัตกรรมและวิศวกรรมการก่อสร้างระดับสูงมาประยุกต์ใช้กับบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือกว่าในทุกมิติ
หัวใจสำคัญเริ่มต้นจากโครงสร้างแบบ Post-Tension ที่ทำให้พื้นและผนังทำหน้าที่รับน้ำหนักแทนคาน ส่งผลให้ภายในบ้านโปร่ง โล่งสบาย ปราศจากเสาและคานมาบดบังสายตา การออกแบบเช่นนี้ไม่เพียงเพิ่มความสวยงาม แต่ยังช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยและความสูงของฝ้าเพดานได้สูงสุดถึง 3.20 เมตร ซึ่งแตกต่างจากบ้านทั่วไปที่มักเสียพื้นที่ใต้คานไปหลายสิบเซนติเมตร นอกจากนี้ ผนังบ้านยังเป็นแบบ Double Wall ก่อ 2 ชั้น มีความหนาถึง 20 เซนติเมตร ซึ่งช่วยป้องกันความร้อนและเสียงรบกวนจากภายนอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านนวัตกรรมเพื่อสุขภาพและการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน บ้านทุกหลังได้ติดตั้งระบบฟอกอากาศ (Air Purify) ที่สามารถกรองฝุ่น PM2.5 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่สร้างภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานแม้แต่บาทเดียว เนื่องจากใช้ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโซลาร์เซลล์ขนาด 5 กิโลวัตต์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานพร้อมกับ EV Charger สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า พลังงานที่ผลิตได้ยังเพียงพอสำหรับใช้กับเครื่องปรับอากาศและส่วนอื่นๆ ภายในบ้าน สำหรับบ้านที่มีสระว่ายน้ำ จะใช้ระบบ Freshwater ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุด โดยใช้ประจุไฟฟ้าในการฆ่าเชื้อโรคแทนการใช้คลอรีนหรือเกลือ ทำให้ได้น้ำที่มีคุณภาพเทียบเท่าน้ำดื่ม ปลอดภัยต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว
เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัวหลากหลายวัย โครงการได้ติดตั้งลิฟต์โดยสารเกรดคอนโดมิเนียม ซึ่งมีประตูทางเข้ากว้างถึง 90 เซนติเมตร เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานวีลแชร์ของผู้สูงอายุได้อย่างสะดวกสบาย แตกต่างจากลิฟต์บ้านทั่วไปที่มักมีความกว้างเพียง 70 เซนติเมตร ขณะเดียวกัน ที่จอดรถถูกออกแบบให้มีเพดานสูงถึง 3.40 เมตร เพื่อรองรับการติดตั้งที่จอดรถอัตโนมัติ (Mechanical Car Parking) สำหรับจอดรถ 3 คันได้จริง นอกจากนี้ยังเลือกใช้วัสดุเกรดพรีเมียม เช่น กระจกลามิเนตหนาสูงสุด 12 มิลลิเมตร ที่มีความปลอดภัยสูง และควบคุมระบบต่าง ๆ ผ่าน Home Automation พร้อมวางระบบไฟฟ้าใต้ดินทั่วทั้งโครงการเพื่อทัศนียภาพที่สวยงามและเป็นระเบียบ
กลยุทธ์เจาะทำเล “แรร์ไอเทม” และกลุ่มเป้าหมายที่ใช่

เดวา แลนด์ เลือกใช้กลยุทธ์ “Blue Ocean” โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันในตลาดบ้านเดี่ยวที่มีการแข่งขันสูง (Red Ocean) เช่น ย่านราชพฤกษ์หรือกรุงเทพกรีฑา ซึ่งเต็มไปด้วยผู้พัฒนารายใหญ่ที่มีความได้เปรียบทั้งในด้านแบรนด์และขนาดโครงการ แต่จะมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบนทำเลที่เป็น “แรร์ไอเทม” ซึ่งเป็นที่ดินที่หาได้ยากและส่วนใหญ่นักพัฒนารายอื่นมักจะนำไปสร้างเป็นคอนโดมิเนียม ด้วยกลยุทธ์นี้ เดวา แลนด์ สามารถสร้างความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่ยังคงมีช่องว่างอยู่
โครงการ Canvas พระราม 9 ซึ่งมีจำนวน 8 ยูนิต และราคาเริ่มต้นที่ 24.9 ล้านบาท เป็นโครงการแรกที่สร้างเสร็จพร้อมให้เข้าชม ทำเลนี้ถือเป็นย่านธุรกิจใหม่ (New CBD) ที่แวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่กลับไม่มีโครงการบ้านเดี่ยวในรูปแบบ Gated Community ที่มีความเป็นส่วนตัวและปลอดภัยเลย โครงการจึงตั้งเป้าหมายไปยังกลุ่มแพทย์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลชั้นนำอื่น ๆ รวมถึงนักธุรกิจและผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองที่เดินทางสะดวก
สำหรับโครงการ Canvas อารีย์ (พหลโยธิน 14) ซึ่งมีจำนวน 4 ยูนิต และราคาเริ่มต้นที่ 35 ล้านบาท เป็นโครงการสั่งสร้าง (Build-to-Order) ที่ตั้งอยู่ในย่านอารีย์ ซึ่งเป็นย่านที่มีโรงพยาบาลกระจุกตัวอยู่มากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการระดับสูงมายาวนาน โครงการนี้จึงเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นอาจารย์แพทย์และข้าราชการระดับสูงที่คุ้นเคยกับทำเลนี้เป็นอย่างดีและต้องการบ้านเดี่ยวในย่านนี้
ในขณะที่โครงการ Canvas สุขุมวิท 101 (ปุณณวิถี) ซึ่งเป็นโครงการสั่งสร้างอีก 4 ยูนิต และอยู่ห่างจาก BTS ปุณณวิถีเพียง 750 เมตร ได้วางตำแหน่งตัวเองให้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคนในแวดวงเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ เนื่องจากทำเลนี้ถูกขนานนามว่าเป็น “Silicon Valley” ของกรุงเทพฯ จากการที่มีโครงการขนาดใหญ่อย่าง True Digital Park และ Cloud 11 ของกลุ่ม MQDC ซึ่งเป็นศูนย์รวมของบริษัทเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพชั้นนำ
“เราจะไม่ไปสู้ในที่ที่เราสู้ไม่ได้ แต่เราจะเลือกทำเลที่หายากจริง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่คนอื่นจะเอาไปทำคอนโด แต่เรานำมาทำบ้านเดี่ยว นี่คือจุดแข็งของเรา” เลิศมงคล กล่าว
การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจน การเลือกทำเลที่มีศักยภาพ และการตั้งราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่าคู่แข่งในทำเลใกล้เคียงประมาณ 15-20% ทำให้โครงการได้รับการตอบรับที่ดีตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยมีลูกค้ารอเข้าชมโครงการแล้วกว่า 60 ราย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านเดี่ยวคุณภาพสูงในทำเลใจกลางเมืองที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
ทาโร่ จับมือ ไปรษณีย์ไทย – PTTGC เปลี่ยนซองขนมสู่พลังงานสะอาด
เมื่อ ‘เรื่องยาว’ ต้องสู้กับ ‘ความไว’ ของนิ้วโป้งในยุค Short Attention Span