ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นพลังขับเคลื่อนโลก ใครคือผู้กุมอนาคตและอธิปไตยทางเทคโนโลยีนี้? คำถามสำคัญนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาถกในเวทีเสวนาหัวข้อ “Sovereign AI” ซึ่งได้รวบรวม 3 ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้าของประเทศ ผู้เปรียบเสมือนสามเสาหลักแห่งวงการ AI ไทย มาร่วมฉายภาพอนาคตและวางยุทธศาสตร์สำคัญเพื่อกำหนดทิศทางปัญญาประดิษฐ์ของชาติ
ผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) ผู้กำหนดยุทธศาสตร์และนวัตกรรม ดร.ชัยชนะ มิตรพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ผู้สร้างมาตรฐานและความปลอดภัย และ รศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการสถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการขุมทรัพย์ข้อมูลของชาติ โดยมี ผศ.ดร.รัชฎา กุญชรจันทร์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
อธิปไตย AI ไม่ได้หมายถึงการสร้างทุกอย่าง แต่คือการคุม “จุดยุทธศาสตร์”
คำว่า “อธิปไตย AI” (Sovereign AI) ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะต้องพัฒนาเทคโนโลยี AI ทุกอย่างขึ้นมาเองทั้งหมดเพื่อแข่งขันกับมหาอำนาจโลก แต่คือการวางยุทธศาสตร์เพื่อเข้าควบคุม “จุดยุทธศาสตร์” (Choke Point) ที่สำคัญในห่วงโซ่อุปทานของ AI เพื่อให้ชาติไม่ตกอยู่ในสถานะ “ผู้ใช้” (User) เพียงอย่างเดียว
ดร.ชัย ชี้ให้เห็นถึง 2 จุดยุทธศาสตร์หลักที่ประเทศไทยสามารถเข้าควบคุมได้ คือ ข้อมูล (Data) และ มาตรฐานและการกำกับดูแล (Standard & Governance)
ข้อมูล (Data) เปรียบเสมือนอาหารที่หล่อเลี้ยง AI การควบคุมข้อมูลจึงเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะการจัดการ “เส้นเลือดของข้อมูล” ซึ่งก็คือเครือข่าย Internet of Things (IoT) เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลสำคัญของชาติไม่ได้ไหลออกไปต่างประเทศโดยไม่มีการควบคุม
ส่วนมาตรฐานและการกำกับดูแล (Standard & Governance) ไม่จำเป็นต้องเป็นกฎหมายที่เข้มงวดเสมอไป แต่อาจใช้กลไกทางสังคมและการสร้างมาตรฐานการทดสอบที่โปร่งใส เพื่อควบคุมคุณภาพ ลดความผิดพลาด (Hallucination) และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับ AI ที่พัฒนาหรือนำมาใช้งานในประเทศ
ขณะที่ ดร.ชัยชนะ ได้เสนอเกณฑ์ในการเลือกว่าจะควบคุมจุดยุทธศาสตร์ใด โดยควรพิจารณาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ความมั่นคงของชาติ (National Security) ความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness) และ การรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทย (Uniqueness) ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถจัดสรรทรัพยากรที่มีจำกัดได้อย่างตรงจุดและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ข้อมูลไทย: ขุมทรัพย์สำคัญสร้างความได้เปรียบ
เมื่อข้อมูลคือหัวใจสำคัญของการสร้างอธิปไตยทาง AI ข้อมูลที่มีบริบทความเป็นไทย (Thai Contextual Data) คือขุมทรัพย์และเป็นจุดที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่งต่างชาติอย่างชัดเจนที่สุด
รศ.ดร. ธีรณี ได้เปิดเผยถึง 2 โครงการหลักที่สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) กำลังผลักดันเพื่อรวบรวมและใช้ประโยชน์จากขุมทรัพย์ข้อมูลนี้ คือ คลังข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bank) และแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (Data Integration and Intelligence – D2I)
คลังข้อมูลแห่งชาติ (National Data Bank) เป็นโครงการรวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการฝึกฝน Foundation Model ของไทยโดยเฉพาะ โดยเน้นความหลากหลายของภาษาและบริบทอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ประกอบด้วย
ข้อมูลภาษาเขียน: จากหนังสือทั้งนวนิยายและสารคดีที่หมดลิขสิทธิ์แล้วจากหอสมุดแห่งชาติ, เอกสารกฎหมายทั้งหมดจากสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, และเอกสารราชการที่เปิดเผยได้จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ข้อมูลเฉพาะทาง: ข้อมูลคำถาม-คำตอบจาก Call Center ของภาคเอกชน, ข้อมูลทางการแพทย์, และข้อมูลเสียงภาษาถิ่นต่างๆ “เป้าหมายหลักคือการสร้างความหลากหลายของข้อมูล” รศ.ดร. ธีรณี อัจฉรคุณ กล่าว
“มันไม่ควรจะเป็นว่า Chatbot ต่างชาติพูดไทยได้เหมือนคนไทยมากกว่า Chatbot ที่คนไทยทำเอง”
โครงการนี้จะช่วยลดต้นทุนมหาศาลในการรวบรวมข้อมูลให้แก่ภาคเอกชน และเปิดโอกาสให้เกิดการพัฒนา AI ที่เข้าใจคนไทยอย่างลึกซึ้ง
ส่วนแพลตฟอร์มเชื่อมโยงข้อมูลภาครัฐ (Data Integration and Intelligence – D2I) ทำหน้าที่เสมือน “ถนน” หรือท่อส่งข้อมูลที่เชื่อมโยงข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น ข้อมูลด้านสาธารณสุข การท่องเที่ยว และสิ่งแวดล้อม โดย BDI จะไม่เก็บข้อมูลดิบไว้ที่ส่วนกลางเพื่อรักษาความเป็นเจ้าของและให้ข้อมูลต้นทางเป็นแหล่งข้อมูลจริงเพียงแหล่งเดียว (Single Source of Truth) ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐสามารถวิเคราะห์ข้อมูลข้ามกระทรวงเพื่อตอบโจทย์ปัญหาใหญ่ของประเทศได้ในอนาคต
ทำไมต้องมี AI ของตัวเอง? คำตอบคือความมั่นคงของชาติ
แม้การใช้เทคโนโลยี AI ชั้นนำจากต่างประเทศจะดูเป็นทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็ว แต่ประเทศไทยมีความจำเป็นในการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองเพื่อเป็นหลักประกันด้านความมั่นคงของชาติ
รศ.ดร.ธีรณี กล่าวว่า “เหมือนประเทศที่ไม่เคยมีสงคราม ก็ยังต้องมีทหาร” การพัฒนา AI ของไทยก็เช่นเดียวกัน แม้อาจจะยังไม่เทียบเท่าเทคโนโลยีระดับโลก แต่ก็ต้องมีไว้เพื่อเป็นทางเลือกและหลักประกันในยามวิกฤติ
“ลองจินตนาการว่าถ้าวันหนึ่ง Mobile Banking ที่เราใช้กันอยู่เป็นของต่างชาติทั้งหมด แล้วเขาขึ้นราคาหรือตัดการเข้าถึง เราจะทำอย่างไร? วันหน้าถ้า Chatbot ที่ทุกองค์กรใช้เกิดใช้งานไม่ได้พร้อมกันจะเกิดอะไรขึ้น?”
การมีเทคโนโลยีของตัวเองจึงเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อให้แน่ใจว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ประเทศไทยจะไม่ต้อง “เริ่มจากศูนย์”
ในขณะเดียวกัน ดร.ชัย ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่จับต้องได้ในหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลข้อมูลอ่อนไหวระดับประเทศ เช่น กรมสรรพากร ศาลยุติธรรม และ รฐสภา การนำข้อมูลการเสียภาษีของประชาชนทุกคน ข้อมูลคดีความ หรือข้อมูลการประชุมสภา ไปประมวลผลบนแพลตฟอร์ม AI ที่เป็นของบริษัทข้ามชาติและไม่สามารถควบคุมได้ 100% ถือเป็นความเสี่ยงอย่างยิ่ง
“ถ้าเราควบคุมไม่ได้ นั่นหมายถึงอธิปไตยของประเทศไทยใช่หรือไม่?” ดร.ชัยตั้งคำถาม “การควบคุมดูแลภาษีสรรพากรของพวกเราไปตกอยู่ในแพลตฟอร์มที่เราไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างสมบูรณ์”
ดังนั้น สำหรับภารกิจหลักของประเทศ (Critical Mission) การมีเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาขึ้นเองและสามารถควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดเพื่อความมั่นคงของชาติโดยตรง
สร้างความเชื่อมั่นด้วยธรรมาภิบาลและการกำกับดูแล
เพื่อให้ประชาชนและทุกภาคส่วนเกิดความเชื่อมั่นในการใช้งาน AI ที่พัฒนาขึ้นในประเทศ ดร.ชัยชนะ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของ “ธรรมาภิบาล AI” (AI Governance) ว่าเป็นเครื่องมือหลักที่จะช่วยสร้างความโปร่งใส ปลอดภัย และป้องกันการนำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด
ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ซึ่งมีศูนย์ AI Governance Center โดยเฉพาะ ได้วางกรอบการกำกับดูแลที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การออกกฎหมาย แต่ครอบคลุมถึงเครื่องมืออื่น ๆ ที่สร้างความมั่นใจได้จริง เช่น การจัดทำข้อตกลงในการใช้ข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และที่สำคัญที่สุดคือ กระบวนการทดสอบและประเมินผล (Testing and Evaluation)
ดร.ชัยชนะ ยกตัวอย่างการพัฒนา AI เพื่อวิเคราะห์ภาพถ่ายเอกซเรย์ปอดว่า “การจะมั่นใจได้ว่า AI ทำงานได้อย่างที่เราคาดหวัง ข้อมูลที่ใช้ฝึกฝน (Train) จะต้องครบถ้วนและเป็นตัวแทนของประชากรอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากโรคต่าง ๆ คนในช่วงอายุต่าง ๆ หรือคนในอาชีพต่าง ๆ” หากข้อมูลมีอคติ (Bias) ก็จะทำให้ AI ทำงานผิดพลาดและอาจเป็นอันตรายได้
ดังนั้น การมีเครื่องมือและมาตรฐานในการทดสอบที่เข้มแข็งจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ปัจจุบัน ETDA ได้ทำงานร่วมกับ NECTEC อย่างใกล้ชิดในการทดสอบโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่พัฒนาขึ้น เพื่อค้นหาปัญหาและความเสี่ยง และนำผลกลับไปปรับปรุงแก้ไข ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะช่วยรับประกันได้ว่า AI ของรัฐที่ออกมาให้บริการประชาชนนั้น มีความน่าเชื่อถือ เป็นธรรม และสามารถตรวจสอบได้จริง
ยุทธศาสตร์ชาติและการผนึกกำลังรัฐ–เอกชน
รศ.ดร.ธีรณี สรุปภาพรวมของยุทธศาสตร์ชาติ AI ที่มุ่งเน้นการสร้างความพร้อม (Readiness) ใน 3 ด้านหลัก คือ คน (Manpower)โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เช่น Open-source และคลังข้อมูลแห่งชาติ และ การกำกับดูแล (Governance) ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการนำไปใช้ (Adoption) ผ่านศูนย์ความเป็นเลิศ (COE) ในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม
หัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์นี้คือการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยมี National AI Consortium ที่นำโดยภาคเอกชนทำหน้าที่เป็น “วาทยกร” คอยกำหนดทิศทางและขับเคลื่อนแผนงานทั้งหมด เพื่อให้การพัฒนาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไม่หยุดชะงักแม้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ด้านดร.ชัย ได้ยกตัวอย่างโมเดลความร่วมมือที่เรียกว่า GovTech ซึ่ง NECTEC ใช้ในการพัฒนาโซลูชัน AI โดยเริ่มจากโจทย์ของภาครัฐ เช่น Traffy Fondue จากนั้นเมื่อโซลูชันมีความชัดเจนและได้รับการพิสูจน์แล้ว ก็จะเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามารับช่วงต่อเพื่อขยายผลในเชิงพาณิชย์ต่อไป
การสร้างอธิปไตยทางปัญญาประดิษฐ์ของประเทศไทยไม่ใช่การปิดกั้นตัวเองจากเทคโนโลยีโลก แต่คือการเดินหน้าอย่างมีกลยุทธ์ โดยการควบคุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลซึ่งเป็นหัวใจหลัก การพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองในมิติที่จำเป็นต่อความมั่นคง การสร้างระบบนิเวศที่แข็งแกร่งผ่านความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน พร้อมมีกลไกการกำกับดูแลที่เหมาะสม เพื่อให้อนาคต AI ของไทย ถูกกำหนดโดยคนไทย และเพื่อประโยชน์ของคนไทยอย่างยั่งยืน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
จริยธรรม AI: เมื่อ ‘ความรับผิดชอบ’ สำคัญกว่า ‘ความฉลาด’
สัมมนา AI แห่งชาติ 2568: เปิดลงทะเบียนฟรี Thailand National AI Summit 2025