Share on
×

Share

Jerome Ribot เผยวิธีทำงานร่วมกับ AI เปลี่ยนความกลัวให้เป็นโอกาส

ในยุคที่ AI พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ความรู้สึกตื่นเต้นมักมาพร้อมกับความหวาดกลัว ว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ในไม่ช้า แต่สำหรับ Jerome Ribot ซีอีโอของ Cogload บริษัทที่ปรึกษาด้านพฤติกรรมศาสตร์ เขากลับมองว่าความกลัวนี้ไม่ต่างอะไรกับ ‘เครื่องเทศ’ ที่หากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะ มันจะกลายเป็นส่วนผสมชั้นเลิศที่ช่วยยกระดับศักยภาพและความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ให้ก้าวไปอีกขั้น

บนเวที KBTG Techtopia 2025 Jerome ได้แบ่งปันมุมมองที่น่าสนใจ โดยเชื่อมโยงความรู้สึกของเราที่มีต่อ AI เข้ากับหลักการทางพฤติกรรมศาสตร์ 3 ข้อ เพื่อฉายภาพให้เห็นว่าเราจะก้าวข้ามความกลัวและใช้ AI เป็นเครื่องมือในการ ‘ต่อยอด’ ตัวตนของเราได้อย่างไร

1. สัญชาตญาณแห่งความกลัวสูญเสีย (Prospect Theory)

Jerome เริ่มต้นด้วยแนวคิดที่เรียกว่า ทฤษฎีความคาดหวัง (Prospect Theory) ซึ่งหยั่งรากลึกในสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ ที่จะรู้สึกเจ็บปวดกับการสูญเสียมากกว่าความสุขจากการได้รับในปริมาณที่เท่ากัน เขาเปรียบเทียบว่า “ความรู้สึกที่คุณทำเงินหาย 10 ปอนด์ มันรุนแรงกว่าความสุขตอนที่คุณได้รับเงิน 10 ปอนด์เป็นของขวัญถึงสองเท่า” เพราะในเชิงวิวัฒนาการ การปกป้องทรัพยากรที่มีอยู่ (เช่น อาหาร) สำคัญต่อการอยู่รอดมากกว่าการได้ทรัพยากรใหม่

เขาเชื่อมโยงสิ่งนี้เข้ากับประสบการณ์ตรงเมื่อเห็นเทคโนโลยี AI ใหม่ ๆ เปิดตัว ตอนแรกเขารู้สึกตื่นเต้น แต่ไม่นานความรู้สึกนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวล “AI กำลังทรงพลังขึ้นเรื่อย ๆ แล้วคุณค่าในตัวฉันล่ะอยู่ตรงไหน?” ความรู้สึกเหมือนทักษะและตัวตนในฐานะนักเขียนที่สั่งสมมากำลังถูก ‘ขโมย’ ไป คือความรู้สึกของการสูญเสียที่เจ็บปวด แม้ในความเป็นจริง AI ไม่ได้ขโมยอะไรไปจากเราเลย แต่ “ความรู้สึก” นั้นจริงแท้และทรงพลัง

2. กับดักของต้นทุนจม: เมื่ออดีตฉุดรั้งเราไว้ (Sunk Cost Fallacy)

เมื่อเรารู้สึกกลัวที่จะสูญเสีย สัญชาตญาณถัดมา คือการยึดติดอยู่กับสิ่งที่คุ้นเคย หรือที่เรียกว่า ‘กับดักต้นทุนจม’ (Sunk Cost Fallacy) เราจะให้น้ำหนักกับความพยายาม ประสบการณ์ หรือเวลาที่เราเคยลงทุนไปในอดีตมากเกินไป จนไม่กล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

Jerome เล่าว่าเขาใช้เวลากว่า 20 ปีในการเป็นนักเขียน และเป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่าการยึดติดกับตัวตนในอดีตนั้นปลอดภัยกว่า เหมือนกับคนที่ไม่กล้าลาออกจากงานที่ไม่ชอบ เพียงเพราะทำมานานแล้ว คนที่ยังคงเล่นงานอดิเรกที่ไม่ได้สนุกอีกต่อไป เพียงเพราะลงทุนกับอุปกรณ์ไปเยอะแล้ว หรือคนที่ยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไป เพราะเสียดายเวลาที่เคยมีร่วมกัน เรามักจะคิดว่า “ปีศาจที่เรารู้จัก ดีกว่าเทวดาที่เราไม่รู้จัก” และความคิดนี้เองที่ทำให้เราติดอยู่ในกับดัก และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อเผชิญกับอนาคตที่ไม่แน่นอน

3. พลังของความอยากรู้อยากเห็น: เชื้อเพลิงที่เอาชนะความกลัว (Curiosity)

กุญแจสำคัญที่จะทลายกำแพงแห่งความกลัวและต้นทุนจมได้ก็คือ ‘ความอยากรู้อยากเห็น’ (Curiosity) Jerome อธิบายว่ามนุษย์มีสัญชาตญาณในการ “ปิดช่องว่าง” ระหว่างสิ่งที่เรารู้และสิ่งที่เราไม่รู้ ซึ่งเป็นกลไกเพื่อความอยู่รอด เช่น การที่เราอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่หลังเทปเหลืองของตำรวจ นั่นเพราะสมองของเราถูกสร้างมาให้ค้นหาภัยคุกคามก่อนที่มันจะมาถึงตัว

ในยุคปัจจุบัน สัญชาตญาณนี้ถูกนำมาใช้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การที่ซีรีส์ใน Netflix ต้องจบตอนแบบทิ้งปม (Cliffhanger) ให้เราต้องดูต่อ กล่องสุ่ม (Loot Box) ในเกมที่ทำให้เราต้องเปิดดูให้ได้ หรือแม้แต่แอปหาคู่ที่เบลอใบหน้าของคนที่กดไลก์เราเพื่อกระตุ้นให้เรายอมจ่ายเงินเพื่อดู ความอยากรู้อยากเห็นนี่เองที่เป็นเหมือนพลังพิเศษที่เปลี่ยนความกลัวให้กลายเป็นเชื้อเพลิง และคลายการยึดติดกับอดีต มันทำให้เราต้องยอมปล่อยวางสิ่งเก่า ๆ เพื่อเปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ ๆ

จากความกลัวสู่การต่อยอด: เมื่อนักเขียนกลายเป็นนักแต่งเพลง

เรื่องราวที่ทรงพลังที่สุดคือประสบการณ์ส่วนตัวของ Jerome เขาเป็นนักออกแบบและนักเขียนที่ดี แต่ยอมรับว่าตัวเองเป็น “นักดนตรีที่แย่มาก” ดนตรีจึงเป็นสิ่งที่เขารู้สึกว่าอยู่ไกลตัวมาตลอด

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในโปรเจกต์ที่เขาออกแบบแนวคิดให้ธนาคาร Monzo ในอังกฤษ เกี่ยวกับฟีเจอร์การออมเงินที่เรียกว่า “Pot” เขาเกิดไอเดียที่จะเปลี่ยนการออมเงินเพื่อซื้อจักรยานให้กลายเป็นเรื่องราวผ่านมิวสิควิดีโอ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงลองเขียนเนื้อเพลงแล้วส่งให้ AI ช่วยแต่งทำนองและสร้างสรรค์ออกมาเป็นเพลง

ผลลัพธ์ที่ได้กลับมาทำให้เขา “น้ำตาไหล”

“ผมร้องไห้ถึงสองครั้ง มันเป็นประสบการณ์ที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ได้เห็น AI เข้ามาต่อยอดความสามารถของผมในทางนี้” Jerome กล่าว

นี่คือช่วงเวลาที่ความรู้สึกกลัวว่าจะสูญเสีย (Dread) ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นความรู้สึกของการได้รับ (Gain) อย่างแท้จริง เขาไม่ได้สูญเสียตัวตนในฐานะนักเขียน แต่เขากลับได้รับสิ่งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือการ ‘ต่อยอด’ (Extension) ไม่ใช่การ ‘แทนที่’ (Replacement)

อนาคตที่เผ็ดร้อนแต่กลมกล่อม

Jerome ทิ้งท้ายว่า AI ที่ขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจในมนุษย์ (Humane AI) จะเข้ามาต่อยอดเรา ไม่ใช่แทนที่เรา เขาได้ยกตัวอย่าง 6 รูปแบบที่ AI จะกลายเป็นคู่หูของนักสร้างสรรค์ ได้แก่ ตัวช่วยข้ามศาสตร์ (Genre Jumper) ผู้จุดประกายความคิด (Idea Birther) ผู้เสริมจินตนาการ (Imagination Plus) คู่หูสร้างสรรค์ (Co-creator) เครื่องมือเอาชนะความสมบูรณ์แบบ (Overcome Perfectionism) และ พื้นที่ปลอดภัยสำหรับการเรียนรู้ (A safe place to learn)

แทนที่จะถามว่า “เราจะปกป้องตัวเองในโลกของ AI ได้อย่างไร?” คำถามที่เราควรถามคือ “หากเราก้าวข้ามความกลัวไปได้ อะไรคือความสนุกที่รอเราอยู่อีกฝั่งหนึ่ง?”

สำหรับ Jerome Ribot แล้ว อนาคตอาจจะเผ็ดร้อนเหมือนเครื่องเทศ แต่เป็นความเผ็ดร้อนในปริมาณที่พอเหมาะพอดี ที่จะทำให้เราได้ลิ้มรสชาติใหม่ๆ ของความคิดสร้างสรรค์ และอาจทำให้เราต้องหลั่งน้ำตา…ด้วยความสุขใจ

“The future is spicy, but with just enough spice to make you cry tears of joy.”

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

จริยธรรม AI: เมื่อ ‘ความรับผิดชอบ’ สำคัญกว่า ‘ความฉลาด’

‘จากอาหารเพื่อยังชีพ สู่อาหารเพื่อสุขภาวะที่ยืนยาว’ เมกะเทรนด์ในยุค Healthspan

×

Share

ผู้เขียน