Share on
×

Share

ธนา เธียรอัจฉริยะ ถอดรหัส ‘Likable Polymath’ ทักษะมนุษย์ที่จำเป็นในยุค AI

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามามีบทบาทในทุกมิติของชีวิต หลายคนต่างตั้งคำถามสำคัญว่า “ในฐานะมนุษย์ เราต้องเป็นคนแบบไหนเพื่อที่จะอยู่รอดและเติบโตต่อไป” ธนา เธียรอัจฉริยะ ประธานกรรมการ บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้นำเสนอคำตอบที่น่าสนใจและลึกซึ้ง ผ่านแนวคิดที่ตกผลึกจากประสบการณ์และการค้นคว้าส่วนตัว คำตอบนั้นสรุปได้ในคำสองคำที่ทรงพลัง: Likable Polymath

Polymath: จากผู้เชี่ยวชาญหนึ่งเดียวสู่ผู้รู้รอบด้านที่เชื่อมโยงเป็น

ธนาอธิบายว่า โลกในยุคก่อนหน้านี้มักจะสอนให้เราเป็นคนแบบ “ตัว I” (I-shaped) คือการรู้ลึก รู้จริงในศาสตร์เพียงแขนงเดียว หรือที่สุภาษิตไทยว่า “รู้อะไร รู้ให้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจึงเกิดผล” แต่วันนี้ โลกได้เปลี่ยนไป ทักษะเฉพาะทางที่ลึกเพียงอย่างเดียวนั้น กลายเป็น “อาหารอันโอชะ” ของ AI ที่สามารถเรียนรู้ข้อมูลเชิงลึก อย่างเช่น ข้อมูลของทนายความ หรือเภสัชกร และประมวลผลได้อย่างรวดเร็วแม่นยำกว่ามนุษย์หลายเท่าตัว

ดังนั้น มนุษย์จึงต้องพัฒนาตัวเองไปสู่การเป็นคนแบบ “ตัว T” (T-shaped) ที่นอกจากจะมีความรู้เชิงลึกแล้ว ยังต้องมีความรู้ในแนวกว้างเพื่อที่จะเข้าใจบริบทของศาสตร์อื่น ๆ และทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เทคนิคสำคัญคือการพาตัวเอง “ไปในที่ที่อาชีพเราไม่ไป และคุยกับคนที่อาชีพเราไม่คุย” เพื่อเปิดโลกทัศน์และสร้างมุมมองที่กว้างขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือทนายความ ที่ไม่ได้รู้แค่ข้อกฎหมาย แต่ยังเข้าใจเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร ทำให้สามารถหาทางออกที่ยืดหยุ่นและสร้างสรรค์ แทนที่จะบอกว่า “ทำไม่ได้” เพียงอย่างเดียว

แต่เพียงแค่ “ตัว T” อาจยังไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องก้าวไปสู่การเป็นคนแบบ “ตัว Y” (Y-shaped) หรือที่เรียกว่า Polymath ซึ่งคือผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเชิงลึกอย่างน้อยสองแขนง และมีความสามารถพิเศษในการ “เชื่อมโยง” ศาสตร์ทั้งสองเข้าด้วยกันเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีมาก่อน ความคิดสร้างสรรค์ที่แท้จริงมักเกิดจากการผสมผสานความรู้ที่แตกต่างกัน เช่น ความรู้ที่ “เป๊ะ ๆ” อย่างวิทยาศาสตร์ การเงิน กฎหมาย กับความรู้ที่อาจจะดู “กะ ๆ” (ในความหมายว่าจับต้องได้ยาก) อย่างดนตรี ศิลปะ การเขียนหนังสือคุณคมสันต์ลีคือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถเชื่อมโลกธุรกิจไทยและจีนได้อย่างไร้รอยต่อ โดยการพูดภาษาไทย 70% และสอดแทรกสุภาษิตจีน 30% กับคนไทย และทำในทางกลับกันกับคนจีน ทำให้แต่ละฝ่ายรู้สึกว่าเขาคือคนที่เข้าใจโลกของตนอย่างแท้จริง

Likable: อาวุธลับที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์

อย่างไรก็ตาม การเป็น Polymath ที่เก่งกาจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เราไปได้ไกล เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจะเก่งที่สุดเมื่อได้อยู่ร่วมกัน จึงเป็นที่มาของคำว่า “Likable” หรือการเป็น “คนที่น่ารักน่าเอ็นดู” ที่ทำให้ผู้อื่นอยากเข้าหา, อยากช่วยเหลือ และอยากให้โอกาส นี่คือสิ่งที่ AI ไม่สามารถทำได้ ลองไปถาม AI ว่าจะทำให้ตัวเองเป็นที่รักได้อย่างไร มันก็ไม่สามารถให้คำตอบได้

วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า เราควรเอาตัวเองไปอยู่ในแวดวงของคนที่เก่งและดีกว่าเรา แต่ธนาตั้งคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือ “เขาอยากให้เราไปอยู่ด้วยไหม?” การจะเป็นคนที่ “Likable” นั้นต้องตีความในหลายบทบาท สำหรับเจ้านาย คนที่น่ารักคือผู้ที่ทำงาน “สำเร็จ” ไม่ใช่แค่ “เสร็จ” เป็นคนกระตือรือร้นและมีความรับผิดชอบ ดังเรื่องเล่าของพนักงานคนหนึ่งที่ทุกเย็นจะเดินไปถามเจ้านายว่า “ผมทำงานของวันนี้เสร็จแล้ว มีอะไรให้ช่วยอีกไหมครับ” แม้ในตอนแรกจะไม่มีอะไรให้ทำเพิ่ม แต่การกระทำนี้ทำให้เขากลายเป็นคนโปรด ได้เรียนรู้งานในระดับที่สูงขึ้น และถูกเสนอชื่อเมื่อมีโอกาสเข้ามา

ในขณะเดียวกัน สำหรับเพื่อนร่วมงาน คนที่น่าคบหาคือคนที่ไม่นินทา มีน้ำใจ และพร้อมฉลองความสำเร็จร่วมกัน และสำหรับลูกน้อง หัวหน้าที่เป็นที่รักคือผู้ที่ทำตัวเป็นเหมือนโค้ช คอยส่งเสริมและปรารถนาดีอยากเห็นทีมเติบโตและเก่งขึ้น

โชเฮโอทานิ: ต้นแบบของ Likable Polymath

ตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบที่สุดของแนวคิดนี้คือ โชเฮ โอทานิ นักเบสบอลที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เขาสร้าง Mandala Chart หรือเครื่องมือใช้จัดระเบียบความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตั้งแต่สมัยมัธยมปลายเพื่อวางแผนสู่การเป็นนักเบสบอลอาชีพ 7 ใน 8 หัวข้อหลักคือทักษะการเป็น Polymath ของวงการเบสบอล เช่น การสร้างร่างกาย จิตใจ การควบคุมบอล และความเร็ว

แต่หัวข้อสุดท้ายที่น่าสนใจและลึกซึ้งที่สุดคือ “โชค” (Luck) โอทานินิยามคำว่า “โชค” ของเขาว่าคือการกระทำที่ทำให้เขากลายเป็นคน “Likable” เช่น การทักทายอย่างสดใส การเก็บขยะ การทำความสะอาดห้อง การให้ความเคารพกรรมการ การอ่านหนังสือ การคิดบวก และการใช้อุปกรณ์อย่างทะนุถนอม

ทั้งหมดนี้คือการทำตัวให้น่ารักเพื่อให้กรรมการเอ็นดู ให้คนดูอยากเชียร์ และให้สปอนเซอร์อยากสนับสนุน สิ่งเหล่านี้คือ “การเตรียมพร้อม” ที่จะรอรับ “โอกาส” ซึ่งเป็นนิยามของคำว่าโชคดีนั่นเอง

3 ทักษะสำคัญเพื่อสร้างตัวตนแบบ ‘Likable Polymath’

ธนาได้สรุปว่า การจะสร้างตัวเองให้เป็นแบบนั้นได้ อาจเริ่มต้นจากการบ่มเพาะ 3 ทักษะสำคัญ

ทักษะแรกคือ Curiosity หรือความอยากรู้ที่ไม่ใช่แค่การสงสัย แต่ต้องเป็น “Active Learning” คือความกระหายที่จะลงมือทดลองทำจนเกิดเป็นทักษะที่แท้จริง เราไม่สามารถเล่นบาสเกตบอลเก่งได้จากการดูวิดีโอ 100 ชั่วโมง แต่ต้องลงสนามไปเจ็บตัว ลองผิดลองถูก นี่คือกระบวนการเรียนรู้ที่ต้องวางโทรศัพท์มือถือลงแล้วออกไปเผชิญโลกแห่งความเป็นจริง

ทักษะถัดมาคือ Discipline หรือวินัย ในยุคที่ทุกอย่างง่ายดายเพียงปลายนิ้วสัมผัส วินัยได้กลายเป็นของหายากและมีค่ามหาศาล การจะสร้างความเชี่ยวชาญในศาสตร์ที่สองหรือสามนั้นต้องอาศัยวินัยและความอุตสาหะอย่างยิ่งยวด เช่นเรื่องราวของเชฟไอซ์แห่งร้านศร ที่อยากยกระดับอาหารใต้ จึงเดินทางลงไปศึกษาศิลปะการทำอาหารที่ใกล้สาบสูญ (Lost Art) เขาใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เพื่อเรียนรู้เทคนิคการหุงข้าวของคุณยายท่านหนึ่งจนได้ข้าวที่ทุกเมล็ดตั้งฉาก 90 องศา และเมื่อเชฟรุ่นใหม่มาขอเคล็ดลับ เขาก็ตอบว่าเขาใช้เวลาฝึกฝนเรื่องนี้มานานถึง 5 ปี นี่คือบทพิสูจน์ว่าความสำเร็จที่แท้จริงไม่มีทางลัด

และทักษะสุดท้ายที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกันคือการสร้าง Trust หรือความไว้วางใจ ในโลกที่เต็มไปด้วยข่าวปลอมและกลโกง คนหรือแบรนด์ที่สามารถสร้างความไว้วางใจได้จะมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งความไว้วางใจนี้เป็นผลพวงโดยตรงมาจากการเป็นคน “Likable” ที่น่าเชื่อถือนั่นเอง

โลกยุคใหม่อาจจะท้าทาย แต่ก็เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับผู้ที่เข้าใจว่าคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การทำงานแข่งกับเครื่องจักร แต่อยู่ที่การพัฒนาตนเองให้เป็น “Likable Polymath” ผู้มีความรู้หลากหลาย สามารถเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ และที่สำคัญที่สุด คือเป็นมนุษย์ที่มีเสน่ห์ มีกัลยาณมิตร และเป็นที่รักของคนรอบข้าง … ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ AI ไม่มีวันทำได้

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

‘ทักษะอนาคต’ ต้องรู้อะไรบ้างในยุค AI ถึงจะรอดและรุ่ง

‘AI สำหรับภาคธุรกิจ’ รายงานชี้ องค์กรในเอเชียแปซิฟิกเผชิญวิกฤติขาดทักษะ-ต้นทุนสูง

×

Share

ผู้เขียน