Share on
×

Share

SET จับมือ ttb หนุน SME ใช้ ‘SET Carbon’ สู้กติกาคาร์บอนโลก

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับธนาคารทหารไทยธนชาติ (ttb) ในฐานะธนาคารพาณิชย์แห่งแรก ที่จะนำแพลตฟอร์ม “SET Carbon” มาใช้สนับสนุนลูกค้าธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่ม SME และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้สามารถวัดผลและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นระบบตามมาตรฐานสากล นับเป็นก้าวสำคัญในการเตรียมความพร้อมให้ภาคธุรกิจไทยสามารถรับมือกับกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังจะกลายเป็น “กติกาใหม่ของโลก” และเปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็นโอกาสในการแข่งขันบนเวทีโลก

SET Carbon จะทำหน้าที่เปรียบเสมือนพาสปอร์ตให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถเข้าถึงสินเชื่อที่มีสิทธิประโยชน์มากกว่าสินเชื่อทั่วไป ความตั้งใจร่วมกันของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ทีทีบี จะเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้ภาคธุรกิจบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน และเติบโตไปพร้อมกับการสร้างระบบการเงินที่ยั่งยืน

ภัยที่รอไม่ได้เมื่อโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวยอมรับว่าเรื่อง ESG และการปล่อยคาร์บอนเป็นประเด็นที่ซับซ้อนและพัฒนาอย่างรวดเร็ว แม้แต่บุคลากรในแวดวงการเงินก็เพิ่งได้เรียนรู้ถึงความสำคัญอย่างจริงจังในระยะหลังนี้ แต่ปัจจุบัน ปัญหาโลกร้อนได้ผลักดันให้ประชาคมโลกร่วมกันตั้งเป้าหมายในการชะลอภาวะโลกร้อน ซึ่งนำมาสู่การสร้างมาตรฐานสากลและกฎระเบียบใหม่ ๆ ที่กำลังจะกลายเป็นภาคบังคับสำหรับอุตสาหกรรมทั่วโลก

ประเด็นที่เป็นปัญหา (Pain Point) ที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อมีมาตรฐานเกิดขึ้น ก็จำเป็นต้องมีการวัดผลและพิสูจน์ ซึ่งอัสสเดชย้ำว่า “มันไม่ง่าย มันมีวิทยาศาสตร์ของมัน ที่ต้องทำให้เกิดขึ้น ต้องให้คนเชื่อใจได้ ต้องทรัสต์ได้” นี่คือความท้าทายใหญ่ที่สร้างแรงกดดันมหาศาล โดยเฉพาะเมื่อเกิดความเหลื่อมล้ำทางทรัพยากร บริษัทขนาดใหญ่สามารถทุ่มเงินทุนจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการได้ แต่สำหรับบริษัทขนาดกลางและเล็ก นี่คือภาระที่หนักหน่วงและซับซ้อนเกินกำลัง

ที่สำคัญที่สุดคือผลกระทบทางการเงินโดยตรงจากนักลงทุนสถาบันทั่วโลก ที่มีนโยบายชัดเจนแล้วว่า “ถ้าข้อมูลพวกนี้ไม่ครบถ้วน ไม่เพียงพอ เชื่อใจไม่ได้ เขาจะไม่ลงทุน” ดังนั้น แพลตฟอร์มของตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือกลางในการลดช่องว่างนี้ ทำให้บริษัทไทยสามารถจัดทำข้อมูลที่น่าเชื่อถือ สอดคล้องกับมาตรฐานโลกอย่าง FTSE Russell และยังคงความน่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติเอาไว้ได้

พลิกวิกฤติสู่โอกาส: เกราะป้องกันความเสี่ยงและใบเบิกทางสู่การแข่งขัน

ปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต ได้ย้ำถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์นี้ โดยยกย่องบทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าเปรียบเสมือนครูใหญ่หรือผู้อำนวยการโรงเรียน ที่คอยชี้แนะทิศทางที่ถูกต้องให้แก่บริษัทขนาดใหญ่ของประเทศ เพื่อร่วมกันผลักดันแนวคิดการบริหารจัดการเรื่องของวันพรุ่งนี้ตั้งแต่วันนี้ (Manage Tomorrow, Today) ซึ่งตรงข้ามกับสไตล์ไทย ๆ ที่มักรอให้วัวหายแล้วจึงล้อมคอก

โดยยกบทเรียนราคาแพงในอดีตขึ้นมาเตือนใจว่า “ตื่นเช้ามาวันนึงก็บอกว่า ประเทศไทยส่งออกอาหารทะเลไม่ได้นะ เพราะว่ามาตรฐานการทำประมงของเราไม่ผ่านมาตรฐานชาวโลก หรือเครื่องบินเราบินไปต่างประเทศไม่ได้นะ เพราะมาตรฐานการบินของเราไม่ได้มาตรฐานโลก” บทเรียนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการไม่เตรียมพร้อมรับมือกติกาโลกนั้นสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ปิติจึงชี้ว่ากฎระเบียบใหม่ ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมมีสองด้าน คือการเป็นภัยคุกคาม (Threat) และในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาส (Opportunity) ที่ยิ่งใหญ่สำหรับคนที่ปรับตัวก่อน เพราะถ้าคู่แข่งในโลกนี้ปรับตัวไม่ทัน คุณปรับตัวได้ก่อนคุณชนะ ซึ่งแนวคิดนี้สะท้อนความจริงที่ว่าความเสี่ยงของลูกค้าก็คือความเสี่ยงของธนาคารเช่นกัน “ทำไมเราต้องคิดกันเยอะแยะ เพราะถ้าลูกค้าเจ๊ง เราปล่อยกู้ เราก็เจ๊งนะ”

การดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมของทีทีบีได้สะท้อนแนวคิดนี้อย่างชัดเจน โดยตั้งแต่ปี 2562 จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อความยั่งยืนไปแล้วกว่า 78,000 ล้านบาท และตั้งเป้าสำหรับปี 2568 ไว้อีก 35,000 ล้านบาท ควบคู่ไปกับการมอบองค์ความรู้ผ่านการจัดสัมมนาและอบรมเรื่องการจัดทำคาร์บอนฟุตพรินต์ให้แก่ผู้ประกอบการกว่า 500 บริษัทในปีที่ผ่านมา โดยในความร่วมมือครั้งนี้ ทีทีบีได้คัดเลือกกลุ่มลูกค้ากว่า 1,000 รายจากอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบโดยตรง เช่น เคมี, การขนส่ง, อาหารและเครื่องดื่ม และการโรงแรม เพื่อนำร่องเข้าร่วมโครงการ นับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการนำข้อมูล ESG มาใช้ประกอบการพิจารณาสินเชื่ออย่างจริงจัง

SET Carbon จิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ: เครื่องมือที่มาถูกที่ถูกเวลา

ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ (ESG) โดยเฉพาะข้อมูลการบริหารจัดการสภาพภูมิอากาศ ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุนและกำหนดนโยบาย การเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้องจึงสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของธุรกิจที่พร้อมปรับตัวเพื่อคว้าโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

ด้วยเหตุนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้พัฒนาระบบ SET Carbon เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถยกระดับการเปิดเผยข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจุบัน มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 300 แห่ง หรือคิดเป็น 33% ที่ใช้ระบบนี้แล้ว และมีแผนขยายการให้บริการไปยังผู้ประกอบการทุกขนาดนอกตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง SME ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ

ปิติชี้ให้เห็นว่า อุปสรรคด่านแรกและท้าทายที่สุดของผู้ประกอบการ ไม่ใช่เรื่องเงินทุน แต่ปัญหาที่แท้จริงคือความไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร “ด่านแรกคือทำยังไง มันยากนะ คำนวณยังไง คิดยังไง เอาเข้าระบบยังไง ให้คนเชื่อถือตรวจสอบได้ เรื่องยากเลย” การจะลงทุนซื้อระบบเองก็มีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว ในขณะที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างก็กำลังประสบปัญหาทางการเงินจากภาวะเศรษฐกิจอยู่แล้ว และต้องการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อความอยู่รอดก่อน

แพลตฟอร์ม SET Carbon จึงเข้ามาเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มาต่อกันได้อย่างพอดี เพราะเป็นเครื่องมือที่มาช่วยให้ลูกค้าธุรกิจของธนาคารที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สามารถคำนวณและจัดเก็บคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเป็นระบบและมีมาตรฐานได้ดียิ่งขึ้น โดยถูกออกแบบมาให้เป็น End-to-end solution ที่ครบวงจร ตั้งแต่การเก็บข้อมูล การจัดการ การคำนวณ จนถึงการทวนสอบโดยผู้ตรวจสอบภายนอก ซึ่งสามารถทำทุกอย่างจบได้บนระบบเดียวแบบไร้กระดาษ (Paperless) ที่สำคัญคือทีมงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ย่อยข้อมูลทางเทคนิคที่ซับซ้อน เช่น ค่า Emission Factor ต่าง ๆ ให้อยู่หลังบ้าน แล้วแปลงออกมาให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ระบบได้ง่ายที่สุด โดยไม่ต้องมีความรู้เชิงลึก พร้อมทั้งมีเทมเพลตที่ออกแบบมาให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม ช่วยให้แม้แต่มือใหม่ก็สามารถเริ่มต้นได้ทันทีอย่างเป็นระบบ

ไม่ใช่แค่เรื่องรักษ์โลกแต่คือปากท้องและความอยู่รอด

ประเด็นสำคัญที่ถูกย้ำในงานแถลงข่าวคือ แรงจูงใจที่แท้จริงของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SME ไม่ใช่แนวคิดรักษ์โลกที่สวยหรู แต่เป็นผลประโยชน์ทางธุรกิจที่จับต้องได้ ปิติ กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “เราอย่าโลกสวย เรื่องของ Carbon Transition Loan สวย ๆ สำหรับ SME เนี่ย ไม่มีอยู่จริง เพราะความจริงคือ SME ส่วนใหญ่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด ก่อนที่เขาจะปรับธุรกิจยังไงให้สร้างคาร์บอนลดลง เขาต้องปรับธุรกิจยังไงให้เขาอยู่รอดได้ก่อน”

ดังนั้น การสื่อสารที่ได้ผลที่สุดจึงไม่ใช่เรื่องอุดมการณ์ แต่เป็นเรื่องที่จับต้องได้ ทีมงานตลาดหลักทรัพย์ฯ เล่าเสริมว่า จากการทำงานร่วมกับผู้ประกอบการ พบว่าพวกเขาไม่ได้สนใจศัพท์เทคนิค แต่จะให้ความสนใจทันทีเมื่อได้ยินว่า รายงานที่ได้จากระบบนี้ สามารถนำไปใช้เป็นพาสปอร์ตเพื่อขอสินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงได้ นี่คือบทพิสูจน์ว่าการปรับตัวด้านสิ่งแวดล้อมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความอยู่รอดและการแข่งขันทางธุรกิจไปโดยสมบูรณ์

มองไปข้างหน้า: ปูทางสู่ตลาดคาร์บอนเครดิตและอนาคตของ Ecosystem

ความร่วมมือนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานสำหรับอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังเตรียมการสำหรับวันที่ พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลบังคับใช้ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดตลาดคาร์บอนภาคบังคับ (Compliance Market) ขึ้นในประเทศไทย

กระบวนการจะเริ่มต้นเมื่อกฎหมายมีผลบังคับ ซึ่งจะทำให้ภาครัฐเริ่มกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Allowance) สำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เมื่อนั้นเองที่กลไกตลาดจะเริ่มทำงาน บางคนอาจจะมีคาร์บอนเหลือมาขาย บางคนอาจจะมีขาดต้องซื้อ ซึ่งจะสร้างอุปสงค์และอุปทานของคาร์บอนเครดิตขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม บทบาทของตลาดหลักทรัพย์ฯ คือการเตรียมโครงสร้างพื้นฐาน หรือแพลตฟอร์มการซื้อขาย (Trading Platform) ที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือไว้รองรับ โดยได้มีการศึกษาแนวทางร่วมกับตลาดชั้นนำของโลกอย่าง Intercontinental Exchange (ICE) เพื่อให้มั่นใจว่าตลาดในอนาคตของไทยจะเป็นไปตามมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมองถึงการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI เข้ามาช่วยให้ระบบมีประสิทธิภาพและใช้งานง่ายขึ้น รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ของ Tokenization เพื่อเป็นทางเลือกในการลดต้นทุนการซื้อขาย

อย่างไรก็ตาม ปิติได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่าต้องระมัดระวังไม่ให้เทคโนโลยีกลายเป็นเพียงเปลือกที่มุ่งเน้นการเก็งกำไร จนละเลยแก่นที่แท้จริงคือการลงทุนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอนอย่างยั่งยืน ซึ่งสะท้อนว่าเป้าหมายสุดท้ายของ Ecosystem นี้ คือการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงให้กับโลกและเศรษฐกิจไทยไปพร้อมกัน

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

กรุงเทพฯสีเขียว: ไม่ใช่แค่สิ่งแวดล้อม แต่คือเครื่องมือใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเมือง

ถอดรหัส ‘Power from Home’ พลังจากบ้านที่สร้างอนาคตยั่งยืนได้จริง

×

Share

ผู้เขียน