ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านทรัพยากรที่ร่อยหรอลงและผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน โมเดลธุรกิจแบบดั้งเดิมที่เรียกว่า “เศรษฐกิจเส้นตรง” (Linear Economy) ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการ “ผลิต-ใช้-ทิ้ง” กำลังเดินทางมาถึงทางตัน การเปลี่ยนผ่านสู่ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy: CE) จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือทางรอดที่จำเป็นต่ออนาคตของธุรกิจและโลกใบนี้
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนองค์ความรู้และนวัตกรรมของประเทศ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้ และได้ดำเนินโครงการ “ออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน” (Design for Circular Economy) เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางผู้ประกอบการไทยให้ปรับเปลี่ยนวิธีคิดและสร้างความยั่งยืนตั้งแต่ต้นทาง
จุดเปลี่ยนอยู่ที่ “การออกแบบ” ไม่ใช่แค่ปลายทาง
ดร.วิชชุดา เดาด์ นักวิจัย ทีมวิจัยเทคโนโลยีพลาสติก กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ขั้นสูง เอ็มเทค สวทช. ได้ไขข้อข้องใจว่า เศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่แค่เรื่องของการรีไซเคิลหรือการใช้ซ้ำ แต่เป็นปรัชญาการดำเนินธุรกิจที่ต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” อย่างเป็นระบบ โดยหัวใจสำคัญที่หลายคนอาจมองข้ามคือขั้นตอน “การออกแบบ”
“กว่า 80% ของผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ถูกกำหนดตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ” ดร.วิชชุดา กล่าวย้ำ
นี่คือจุดเปลี่ยน เพราะแทนที่จะรอแก้ปัญหาที่ปลายทาง เพราะสามารถป้องกันปัญหาได้ตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุที่ทนทานและรีไซเคิลได้ การออกแบบเพื่อให้ง่ายต่อการซ่อมแซมและแยกชิ้นส่วน หรือแม้แต่การออกแบบโมเดลธุรกิจและบริการที่ส่งเสริมให้ทรัพยากรหมุนเวียนอยู่ในระบบให้นานที่สุดและปล่อยของเสียออกมาน้อยที่สุด
ดร.วิชชุดา ได้เปรียบเทียบวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์เหมือนการสร้าง “ภูเขาแห่งคุณค่า” ในระบบเศรษฐกิจเส้นตรง ที่ใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ให้มีคุณค่าสูงสุด (ยอดเขา) แต่หลังจากการใช้งาน คุณค่านั้นกลับดิ่งลงสู่การเป็นขยะอย่างรวดเร็ว (ตีนเขา) ในทางกลับกัน การออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียนคือการสร้าง “ทางวน” บนภูเขา เพื่อให้คุณค่าของผลิตภัณฑ์และวัสดุยังคงหมุนเวียนอยู่ใกล้กับยอดเขาได้นานที่สุด ผ่านการซ่อมบำรุง การนำกลับมาผลิตใหม่ (Remanufacturing) ก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในท้ายที่สุด มันคือการ “ออกแบบทางตาย” ให้กับผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่แค่ “ออกแบบทางเกิด” เพื่อให้มันสามารถวนกลับมามีชีวิตใหม่ได้อีกหลาย ๆ รอบ
สวทช. จึงเข้ามามีบทบาทในการเผยแพร่องค์ความรู้ สร้างความตระหนักรู้ผ่านการจัดสัมมนา เวิร์กช็อป และให้คำปรึกษาเชิงลึกแก่ผู้ประกอบการ เพื่อผลักดันให้แนวคิดนี้เกิดผลจริงในภาคอุตสาหกรรม โดยในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำงานร่วมกับบริษัทกว่า 22 แห่ง และสร้างต้นแบบ Design Solution ไปแล้วมากกว่า 24 โซลูชัน ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าทฤษฎีนี้สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง
กรณีศึกษา 1: ถิรไทย – ชุบชีวิตหม้อแปลงไฟฟ้าสร้างมูลค่าใหม่นับหมื่นล้าน
บริษัท ถิรไทย จำกัด (มหาชน) ผู้นำในอุตสาหกรรมหม้อแปลงไฟฟ้าของไทยที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 38 ปี คือหนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนของการนำแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้จนเกิดผลลัพธ์ที่น่าสนใจ อวยชัยศิริวจนากรรมการบริษัทฯ เล่าถึงปัญหาในตลาดหม้อแปลงไฟฟ้ามือสองว่า หม้อแปลงที่หมดอายุการใช้งานมักถูกขายให้ผู้รับซื้อของเก่า ซึ่งบางครั้งถูกนำไปปรับสภาพเพียงผิวเผิน เช่น ทำสีใหม่ แล้วนำกลับมาหลอกขายเป็นหม้อแปลงใหม่ ซึ่งหม้อแปลงที่ไม่มีคุณภาพเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการชำรุด ระเบิด และนำไปสู่อัคคีภัยที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้
ด้วยความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและหลักการ ESG ที่บริษัทฯ ยึดมั่น ถิรไทยจึงได้ร่วมมือกับ สวทช. พัฒนากระบวนการ “Remanufacturing” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งไม่ใช่แค่การซ่อม แต่เป็นการถอดประกอบชิ้นส่วนทั้งหมด ตรวจสอบคุณภาพอย่างละเอียด และนำกลับมาผลิตใหม่ให้กลายเป็น “หม้อแปลง CE” ที่ต้องผ่านมาตรฐานที่เข้มงวด คือ มีประสิทธิภาพ (Efficiency) ไม่ต่ำกว่า 98.5% และต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. 384 เทียบเท่าหม้อแปลงใหม่ 100% พร้อมการรับประกันคุณภาพไม่ต่ำกว่า 2 ปี เพื่อสร้างความมั่นใจสูงสุดให้ผู้ใช้งาน
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคือศักยภาพทางธุรกิจที่ซ่อนอยู่ อวยชัยชี้ให้เห็นข้อมูลว่า ในระบบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและภาคเอกชน มีหม้อแปลงที่ใช้งานเกิน 20 ปีอยู่หลายแสนเครื่อง หากนำหม้อแปลงเฉพาะกลุ่มนี้ (ประมาณ 155,700 เครื่อง) มาคำนวณมูลค่าทดแทนด้วยหม้อแปลงใหม่ จะมีมูลค่าสูงถึง 31,710 ล้านบาท และหากคิดเฉพาะมูลค่าวัตถุดิบหลักที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ เช่น ทองแดง เหล็ก และน้ำมันหม้อแปลง ก็ยังมีมูลค่าสูงถึง 12,870 ล้านบาท ตัวเลขเหล่านี้แสดงให้เห็นว่านี่คือตลาดขนาดมหาศาลที่รอการปลดล็อก ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยลดการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ลดการใช้พลังงานในการผลิต และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ ถิรไทยยังต่อยอดด้วยการนำเศษวัสดุบรรจุภัณฑ์อย่างลังไม้มา “Upcycle” ออกแบบเป็นเฟอร์นิเจอร์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงการใช้ทรัพยากรทุกส่วนอย่างคุ้มค่าสูงสุด
กรณีศึกษา 2: พีเอสเอ็มพลาสิเทคกรุ๊ป – ปฏิวัติวงการรีไซเคิลด้วย Close Loop System

ปัญหาขยะพลาสติกเป็นอีกหนึ่งความท้าทายระดับโลก ฐิติพันธ์ วาณิชธนศรี ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนจำกัด พี เอส เอ็ม พลาสิเทค กรุ๊ป ผู้ผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง เล่าว่าในอดีต ความเชี่ยวชาญของบริษัทมุ่งเน้นด้านเทคนิคและวิศวกรรมเป็นหลัก แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป กฎระเบียบและมาตรฐานสำหรับพลาสติกรีไซเคิลมีความเข้มข้นเทียบเท่าพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic) การเข้าร่วมโครงการกับ สวทช. จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทต้องมองภาพรวมในมิติของนโยบายและกฎหมายระดับสากล
จากองค์ความรู้ที่ได้รับ บริษัทได้ตกผลึกเป็น “5 เสาหลักในการออกแบบเพื่อการรีไซเคิล” ซึ่งกลายเป็นพิมพ์เขียวในการทำงานและนำไปสู่โปรเจกต์ “Close Loop Recycle” ร่วมกับแบรนด์สีชั้นนำที่ต้องการลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมของบรรจุภัณฑ์ กระบวนการทำงานที่เป็นระบบ
เริ่มต้นจากเสาหลักแรกคือ Application (การใช้งาน) ซึ่งกำหนดเป้าหมายชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ปลายทางคือ “ถังสี” ที่มีส่วนผสมของพลาสติกรีไซเคิล ตามมาด้วย Life Cycle Assessment (การประเมินวัฏจักรชีวิต) ที่ออกแบบการไหลของวัสดุทั้งระบบ ตั้งแต่การรับคืนถังสีใช้แล้วจากไซต์งานก่อสร้าง 15 แห่งของลูกค้า นำมาผ่านกระบวนการคัดแยก บดย่อย ล้างทำความสะอาด และแปรรูปเป็นเม็ดพลาสติกคุณภาพสูง เพื่อส่งกลับไปผลิตเป็นถังสีใบใหม่
ในส่วนของ Requirement (ข้อกำหนด) ได้นำเม็ดพลาสติกรีไซเคิลมาทดสอบคุณสมบัติทางกายภาพอย่างเข้มข้น เพื่อให้มั่นใจว่าถังสีที่ผลิตขึ้นใหม่จะมีความแข็งแรงทนทานตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
ขณะที่ Business Model and Cost (โมเดลธุรกิจและต้นทุน) ได้วางแผนการบริหารจัดการต้นทุนตลอดกระบวนการเพื่อให้เกิดขึ้นได้จริงและยั่งยืน
และสุดท้ายคือ Impact (ผลกระทบ) ซึ่งสามารถวัดผลลัพธ์เชิงประจักษ์ โดยพบว่ากระบวนการนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผลิตภัณฑ์ (Carbon Footprint of Product) ได้ถึง 20% ตอบโจทย์ด้านความยั่งยืนของเจ้าของแบรนด์ได้อย่างตรงจุด
ความสำเร็จของโครงการนี้ไม่เพียงแต่สร้างโซลูชันที่จับต้องได้ แต่ยังนำไปสู่การต่อยอดเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ในชื่อ “Unvirgin Corporation” ซึ่งเป็นบริการที่ทำงานร่วมกับเจ้าของแบรนด์โดยตรง เพื่อช่วยนำบรรจุภัณฑ์หรือผลิตภัณฑ์พลาสติกที่หมดอายุการใช้งานแล้วกลับมาเข้าสู่กระบวนการ Re-engineer สร้างเป็นผลิตภัณฑ์เดิมหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงขึ้น
ก้าวต่อไป: เมื่อข้อมูลและความร่วมมือคือกุญแจสู่อนาคต
จากทั้งสองกรณีศึกษาและมุมมองของนักวิจัย ชี้ให้เห็นตรงกันว่า การจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นในวงกว้างนั้น ต้องอาศัยปัจจัยสำคัญสองประการคือ “ข้อมูล” และ “ความร่วมมือเชิงระบบ”
ความท้าทายด้านข้อมูลที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เผชิญมีสองรูปแบบหลัก คือ กลุ่มที่ “เก็บข้อมูลเยอะแต่ไม่รู้จะนำไปใช้อย่างไร” และกลุ่มที่ “แทบไม่ได้เก็บข้อมูลเลย” ดังนั้น ก้าวแรกที่สำคัญที่สุดคือการสร้างระบบการจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้สามารถวัดผลก่อนและหลังการปรับปรุงได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่โครงการของ สวทช. ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
ในขณะเดียวกัน โลกธุรกิจไม่ได้หยุดนิ่ง กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสากล เช่น กฎหมาย Ecodesign ของสหภาพยุโรป กำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ และอาจกลายเป็นกำแพงการค้าที่กีดกันสินค้าที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ดังนั้น การปรับตัวจึงไม่ใช่แค่เพื่อภาพลักษณ์ แต่เพื่อความอยู่รอดและความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากภาคเอกชนเพียงลำพัง แต่ต้องอาศัยการสร้าง “Value Network” และระบบนิเทศที่เอื้ออำนวยจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการออกมาตรฐานผลิตภัณฑ์หมุนเวียน การสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ หรือนโยบายสำคัญอย่าง “การจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว” (Green Public Procurement) ที่จะช่วยสร้างตลาดให้กับสินค้าและบริการที่ยั่งยืน เพื่อเปลี่ยนแนวคิดนี้ให้กลายเป็น “สาระ” ที่สร้างประโยชน์ ไม่ใช่ “ภาระ” ของผู้ประกอบการ
การ “คิดก่อนทำ” ด้วยหลักการออกแบบเพื่อเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่ใช่แค่ภาระหรือต้นทุน แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน เป็นการสร้างภูมิคุ้มกันทางธุรกิจท่ามกลางกฎระเบียบและแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป และที่สำคัญที่สุด คือการเปลี่ยนมุมมองจาก “ของเสีย” ให้กลายเป็น “โอกาส” ทางธุรกิจที่สามารถสร้างมูลค่าได้อย่างไม่สิ้นสุด
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘ขยะที่คนไม่กล้าทิ้ง’ พลิกซากรถเก่าเป็นขุมทรัพย์ 2 แสนล้าน
เบื้องหลังกระจกเงา: ถอดโมเดลจัดการของบริจาคสู่การสร้างงาน-ลดขยะ