Share on
×

Share

KBTG เพิ่ม Horizontal Core Banking ให้ KBank รักษาศักยภาพผู้นำทางการเงิน

วันที่ 23 ตุลาคม KBTG กดปุ่ม Core Banking ตัวใหม่ให้กับธนาคารกสิกรไทย หลังซุ่มพัฒนาและทดสอบระบบอย่างหนักมาตลอด 22 เดือน

Core Banking ตัวใหม่ของธนาคารกสิกรไทยถูกเรียกขานว่า โครงการ Horizontal Core Banking เป็นการขยายตัวในแนวกว้างเพื่อให้ระบบ Core Banking สามารถรับรองการเติบโตได้ แทนการเปลี่ยนระบบ Core Banking ด้วยการขยายขีดความสามารถของระบบ Core Banking ในครั้งนี้ จะสามารถรองรับการขยายฐานลูกค้าได้มากถึง 60 ล้านแอคเคาท์ ไปจนถึงปี 2031

ระบบ Core Banking เป็นหัวใจหลักของธุรกิจธนาคาร ระบบต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกับ Core Banking เปรียบเสมือนอวัยวะในร่างกาย ระบบการทำงานร่วมกับเปรียบเหมือนเส้นเลือดน้อยใหญ่ที่เชื่อมร้อยทุกอวัยวะเข้ากับหัวใจ การเพิ่ม Core Banking อีก 1 ระบบ จึงเปรียบเสมือนการผ่าตัดเพิ่มหัวใจอีกดวง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานของทั้งระบบอีกเท่าตัว

KBTG และธนาคารกสิกรไทยเลือกที่ใช้วิธีผ่าตัดเพิ่มหัวใจดวงใหม่เข้ามาในระบบเดิม โดยทำให้ระหว่างการเพิ่มหัวใจเข้ามาใหม่นั้นระบบแอปพลิเคชันทั้งหมดของธนาคารไม่มีหยุดแม้แต่วินาทีเดียว ยังคงรันและให้บริการได้อย่างเป็นปกติ เปรียบเสมือนการผ่าตัดใหญ่ที่ไม่ต้องวางยาสลบ KBTG และธนาคารกสิกรไทยทำได้อย่างไร ทำไม KBTG และธนาคารกสิกรไทย ถึงเลือกวิธีการเพิ่มระบบ Core Banking แทนที่การเปลี่ยนระบบ Core Banking ใหม่ คือเลือกผ่าตัดเพิ่มหัวใจ แทนที่จะเปลี่ยนหัวใจ The Story Thailand จะพาไปหาคำตอบกับทีมผู้บริหารของ KBTG

เป้า ROE ระบบล่มไม่ได้แม้วินาที

ด้วยเป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยที่ต้องการ ROE หนึ่งในนั้นคือระบบการเงินของธนาคารจะต้องมีเสถียรภาพขั้นสูง ในขณะที่ขีดความสามารถของระบบ Core Banking ปัจจุบันจะต้องได้รับการเพิ่มศักยภาพเพื่อให้สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่เติบโตก้าวกระโดดและรักษาคุณภาพของแต่ละธุรกรรมให้ตอบสนองรวดเร็วทันความต้องการของผู้ใช้งาน เป็นที่มาของโครงการ Horizontal Core Banking โครงการที่ “เพิ่ม” ระบบ Core Banking เข้าไปในระบบเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพของระบบ Core Banking เดิมที่มีเสถียรภาพระดับสูงที่รองรับปริมาณธุรกรรม 1 ใน 3 ของทั้งประเทศ

ความท้าทายของโครงการนี้ คือการเพิ่มศักยภาพของ Core Banking โดยห้ามให้ธุรกรรมทางการเงินของธนาคารกสิกรไทยหยุดชะงักแม้แต่วินาทีเดียว

Core Banking เป็นระบบหลักของธุรกิจธนาคาร เป็นระบบหัวใจที่ต้องทำงานเชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ของธนาคารจำนวนมาก การแตะต้องระบบ Core Banking จะส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ไม่มากก็น้อย แต่โจทย์ที่ KBTG ได้รับมาคือต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบ Core Banking โดยธุรกรรมทางการเงินของผู้ใช้งานจะต้องไม่มีสะดุด

วรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman, KBTG
วรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman, KBTG

วรนุช เดชะไกศยะ Executive Chairman, KBTG กล่าวว่า เป้าหมายของธนาคารกสิกรไทยที่จะเพิ่ม ROE เป็นตัวเลข 2 หลักในปี 2026 ยุทธศาสตร์ปี 2025 ของ KBTG คือสนับสนุนการเติบโตของธนาคารกสิกรไทย โดยที่ต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบ Core Banking ว่าจะต้องไม่มีสะดุด KBTG

ปัจจุบันปริมาณธุรกรรมทางการเงินของ K PLUS เท่ากับ 1 ใน 3 ของปริมาณธุรกรรมทางเงินทั้งหมดของประเทศไทย หรือประมาณ 30% ดังนั้น หากระบบของธนาคารกสิกรไทยเป็นอะไรจะกระทบ 1 ใน 3 ของประเทศไทย

“โจทย์ที่ KBTG ได้รับมาคือ ระบบ Mobile Banking จะต้องไม่ล่ม ความยากของการขึ้นระบบ Core Banking ใหม่คือการจัดการกับระบบที่อยู่ล้อมรอบ เพราะเวลาเปลี่ยนหรืออัปเกรดระบบ Core Banking จะต้องแน่ใจว่าจะไม่กระทบกับระบบของทุกช่องทางที่เชื่อมต่อกับ Core Banking” วรนุช กล่าว

การตัดสินใจเลือกเพิ่มศักยภาพของระบบ Core Banking แทนการเปลี่ยนระบบ Core Banking เป็นการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ครั้งสำคัญของ KBTG และธนาคารกสิกรไทย

ในอดีตธนาคารกสิกรไทยเคยเปลี่ยนระบบ Core Banking มาแล้ว 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 10 ปี ครั้งแรกทำตอนปี 2005 เมื่อเทคโนโลยีเริ่มเข้ามีบทบาทในธุรกิจการเงินการธนาคารมากขึ้นธนาคารกสิกรไทยจึงทำ Reengineering ผ่าตัดครั้งใหญ่ ครั้งต่อมาเมื่อปี 2015 ธนาคารกสิกรไทยทำ K-Transformation 

ซึ่งทั้งสองครั้งยังไม่มี KBTG การเปลี่ยนระบบ Core Banking ทั้งสองครั้งนั้นอาศัยการทำงานของ Technology Vendor เป็นหลักทำงานร่วมกับทีมเทคโนโลยีของธนาคารกสิกรไทย แต่ครั้งนี้ธนาคารกสิกรไทยมีทีมเทคโนโลยีของตัวเองที่แข็งแกร่งอย่าง KBTG จึงตัดสินใจเลือกการเพิ่มหัวใจแทนการเปลี่ยนหัวใจ 

การตั้งเป้า ROE 100 (Return on Equity) จึงไม่สามารถเลือกใช้วิธีที่จะให้ธุรกิจหยุดอยู่นิ่ง ๆ เพื่อเปลี่ยนระบบ Core Banking ใหม่ได้ การเพิ่มระบบ Core Banking ไม่เหมือนการเปลี่ยน Core Banking ที่หยุดการทำงานของธุรกิจ 2 วันเต็ม ๆ

ถึงเวลาอัปเกรด Core Banking 

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกสิกรไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยที่ผลการดำเนินการในปี 2024 ที่ผ่านมามีจำนวนลูกค้าเติบโต 2.3% (โตมากถึง 37% ในปี 2020) จนปัจจุบันมีลูกค้า 24.3 ล้านคน

ในแง่ของปริมาณธุรกรรมผ่านแอปพลิเคชัน K PLUS ในปีที่ผ่านมาก็เติบโตมากกว่า 20% ปัจจุบันมีจำนวนธุรกรรมมากถึง 1.16 หมื่นล้านธุรกรรม ทำให้ K PLUS กลายเป็น Mobile Banking อันดับหนึ่งของประเทศไทย ส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมในปี 2024 ที่ผ่านมาธนาคารกสิกรไทยมีกำไรสุทธิ 48,598 ล้านบาท เติบโต 14.6% จากปีก่อนหน้า

KBank มีแอป Mobile Banking 2 ตัว คือ K PLUS มีผู้ใช้ 23 ล้านคน และ MAKE by KBank มีผู้ใช้ 2.95 ล้านคน มารวมศูนย์ที่ Core Banking ซึ่งทั้งสองแอปฯ​ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

เมื่อระบบ Mobile Banking เติบโตก้าวกระโดดทั้งปริมาณธุรกรรมเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในทุกช่องทาง โดยเฉพาะ Mobile Banking (K PLUS) ที่จำนวนเงินลดลง แต่จำนวนธุรกรรมเพิ่มขึ้นมหาศาล (จากผู้ใช้รายเดิมและจำนวนผู้ใช้รายใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง) ช่องทางทาง ATM เองก็ไม่ได้ลดลง ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะต้องเพิ่มศักยภาพของระบบ Core Banking ให้นอกจากจะสามารถรองรับปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นได้แล้วยังต้องสามารถมีประสิทธิภาพ (Transaction Speed) ที่ดีเยี่ยมด้วย

“แม้ว่าระบบ Core Banking ของธนาคารกสิกรไทยยังคงมีความทันสมัย แต่ด้วยความที่ระบบแอปพลิเคชันที่อยู่ล้อมรอบมีจำนวนมาก ทำให้ต้องกลับมารีวิวระบบ Core Banking เพื่อให้สามารถรองรับประมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลได้อย่างไม่มีสะดุด หรือระบบล่ม”

เป็นโครงการใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา

ระบบ Core Banking คือ หัวใจหลักของธุรกิจธนาคาร เป็นระบบที่ทุกธนาคารจะต้องมี กสิกรไทยเริ่มมี Core Banking ตั้งแต่เริ่มสร้างธนาคาร แต่มาในปี 1993 มีการทำ Re-Engineering คือการปรับระบบ Core Banking ครั้งใหญ่ จน 10 ปีถัดมาเมื่อระบบ Core Banking เริ่มเก่าแล้ว กสิกรไทยทำ K-Transformation เพื่อเปลี่ยนระบบ Core Banking ใหม่ ซึ่งเป็นตัว Core Banking ตัวปัจจุบัน เริ่มต้นศึกษาตั้งแต่ 2003 เริ่มทำจริงปี 2005 เสร็จสิ้นในปี 2015 (ณ ตอนนั้นฐานลูกค้าของกสิกรไทยยังมีจำนวนไม่มากเท่าปัจจุบัน) 

ระบบ Core Banking ตัวปัจจุบันที่กสิกรไทยใช้นั้นเป็นระบบที่ใช้มา 10 ปี ตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งเป็นระบบที่ทันสมัยและลงทุนครั้งใหญ่ แม้ว่า K-Transforamtion จะเป็นโครงการใหญ่ใช้คนจำนวนมากกว่า ลงทุนเยอะกว่า เพราะครั้งนั้นเป็นการเปลี่ยนระบบ Core Banking  แต่ทว่าโครงการนี้ถือว่าเป็นการโครงการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่ KBTG เคยทำมา คือ ลงทุน 4,500 ล้านบาท ใช้เวลาทำ 22 เดือน

จรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman, KBTG
จรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman, KBTG

จรุง เกียรติสุภาพงศ์ Vice Chairman, KBTG กล่าวว่า แม้ว่าการยกเลิกค่าธรรมเนียมการโอนเงินต่างธนาคารในปี 2018 เป็นจุดเปลี่ยนแรกที่ทำให้ปริมาณธุรกรรมทางการเงินเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่การที่กสิกรไทยเพิ่มฟีเจอร์ให้แอป K PLUS และโควิดเป็นอีกสองจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดปริมาณธุรกรรมทางการเงินบนมือถือเติบโตก้าวกระโดดยิ่งกว่า

วันพีคที่มียอดการโอนเงินสูงสุดของ K PLUS คือ 260 ล้านธุรกรรม ประเทศไทยมีอัตราการใช้ Mobile Banking มากที่สุดในโลก และ K PLUS คือ Mobile Banking ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย 

นอกจากนี้ ปี 2021 กสิกรไทยเพิ่ม Mobile App อีกตัวคือ MAKE by KBank เพื่อเป็น Mobile Banking สำหรับคนรุ่นใหม่ ซึ่งก็เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบัน กสิกรไทยมีฐานผู้ใช้งานเกือบ 30 ล้านคน (K PLUS มี 23 ล้านคน MAKE by KBank มี 2.95 ล้านคน) 

ปี 2023 มีการเปลี่ยนดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรองรับเซิร์ฟเวอร์ปริมาณ 8,000 ตัว จากนั้นช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมามีการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบธนาคารด้วยการเพิ่ม Core Banking อีกตัว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มอีกเท่าตัว 

การเปลี่ยนระบบ Core Banking ในปี 2015 ธนาคารกสิกรไทยต้องหยุดให้บริการ 2 วันเต็ม  ทำให้ธนาคารกสิกรไทยเลือกวิธีเพิ่ม Core Banking อีกตัว แทนที่การเปลี่ยนระบบ Core Banking ตัวใหม่

การเปลี่ยนหรือเพิ่มเติมศักยภาพของระบบ Core Banking มีความท้าทายมาก กสิกรไทยเพิ่มหัวใจอีกดวงสำเร็จแล้ว หัวใจ 2 ดวงนี้จะทำให้กสิกรไทยมีความสามารถในการให้บริการทางการเงินในระดับผู้นำตลาดไปได้จนถึงปี 2031 

กสิกรไทยมีลูกค้าใหม่ 3 ล้านรายต่อปี ในขณะที่ลูกค้าเดิมเปิดบัญชีเพิ่มอีก 2 ล้านบัญชี ทำให้มีลูกค้าใหม่ 5 ล้านบัญชีต่อปี มีปริมาณธุรกรรมทางการเงินเพิ่มปีละ 3,000 – 4,000 ล้านธุรกรรรมต่อปี การเพิ่ม Core Banking ทำให้มี Core Banking 2 ตัว ทำให้ธนาคารกสิกไทยสามารถขยายขีดความสามารถรองรับจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นได้ไปจนถึงปี 2031 ที่คาดว่าจะมีลูกค้าประมาณ 50-60 ล้านคนในประเทศไทย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 90% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ 

และทำอย่างไรที่จะให้ระบบ Core Banking ใหม่นี้สามารถทำงานร่วมกับระบบอื่น ๆ ที่ต้องทำงานกับระบบ Core Banking อีก 183 ระบบ อาทิ ระบบรับชำระ (Payment) ระบบเอทีเอ็ม (ATM) ระบบสาขา เป็นต้น 

การขึ้น Core Banking ตัวใหม่ ต้องทำงานกับระบบ 183 ระบบ มีคนทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับโครงการนี้มากกว่า 1,000 คน จากมากกว่า 50 หน่วยงานทั้งจากธนาคารกสิกรไทยและ KBTG ใช้เงินลงทุนไป 4,500 ล้าน ใช้เวลาในการทำงานเพื่อขึ้นระบบทั้งหมด 22 เดือน มีการซ้อมจริงไป 21 ครั้ง ทำให้การขึ้นระบบ Core Banking ตัวใหม่ในครั้งนี้ ธุรกรรมทางการเงินของธนาคารกสิกรไทยไม่มีสะดุด เพราะไม่มี  Downtime แม้แต่วินาทีเดียว ลูกค้าได้รับการบริการทางการเงินอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่รู้เลยว่าหลังบ้านของธนาคารกสิกรไทยมีการเพิ่มระบบ Core Banking เพิ่มอีกตัว 

4 เคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จของการเพิ่มระบบ Core Banking

นพวรรณ ปฏิภาณจำรัส Managing Director, KBTG
นพวรรณ ปฏิภาณจำรัส Managing Director, KBTG

การเพิ่มระบบ Core Banking นอกจากตัวระบบ Core Banking เองที่เพิ่มเข้ามา ทีมงานจะต้องเชื่อมต่อการทำงานของทั้ง 183 ระบบให้สามารถทำงานกับระบบ Core Banking ตัวใหม่ได้อย่างราบรื่น และต้องเพิ่มการทำงานของสมองหรือที่เรียกว่า Core Banking Gateway เพื่อสั่งการให้ระบบงานต่าง ๆ วิ่งมาทำงานกับระบบ Core Banking ทั้ง 2 ตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นพวรรณ ปฏิภาณจำรัส Managing Director, KBTG กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จของการเพิ่มระบบ Core Banking มี 4 เรื่องสำคัญ

เรื่องแรกคือการสร้างการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานทั้งหมด (Team Collaboration) จากระบบงาน 183 ระบบ มีคนต้องทำงานด้วยมากกว่า 1,000 คน จาก 50 หน่วยงานภายใต้ KBTG และธนาคารกสิกรไทย การทำให้คนฝั่งธุรกิจและฝั่งเทคโนโลยีสามารถพูดคุยและทำงานร่วมกันได้เป็นสิ่งที่ท้าทาย 

เคล็ดลับคือการตั้งทีม Business Deployment Team ประกอบด้วยคนฝั่งธุรกิจจากธนาคารกสิกรไทยและคนฝั่งเทคโนโลยีจาก KBTG เข้ามาทำงานร่วมกัน ทีมนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนของโครงการและคนของธนาคาร เป็นตัวกลางสื่อสารสิ่งที่ทีมปฎิบัติการเพิ่ม Core Banking กำลังทำไปยังคนทำงานในส่วนต่าง ๆ ของธนาคารกสิกรไทยว่ามีความซับซ้อนแค่ไหน แผนการทำงานคืออะไร มีใครเกี่ยวข้องบ้าง และต้องทำงานร่วมกันอย่างไร และสร้างทีม Core Team Agent 8-9 คน จะต้องเข้าใจว่าระบบแอปพลิเคัชนทั้ง 183 ระบบนี้มีผลกระทบและเกี่ยวข้องอย่างไรกับ Core Banking เพื่อสื่อสารไปยังทีมที่ต้องดูแลระบบงานทั้ง 183 ระบบ เพื่อให้เข้าใจแผนงานและดำเนินการตามแผนงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

“ทั้งทีม Business Deployment Team และทีม Core Team Agent เป็นกลยุทธ์การสร้างทีมคนธุรกิจกับคนไอทีเป็นทีมเดียวกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน”

เรื่องต่อมาคือการสร้างทีมบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) ซึ่งเป็นทีมผู้บริหารระดับสูงที่มองเห็นการทำงานทั้งฝั่งธุรกิจและฝั่งเทคโนโลยี เพื่อบริหารโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบ Core Banking ที่มีมากกว่า 200 โครงการให้สามารถทำงานร่วมกับการเพิ่ม Core Banking ได้อย่างราบรื่น เพราะธุรกิจต้องเดินหน้าควบคู่กับการขยายศัยกภาพระบบ

เรื่องที่สามคือการวางยุทธศาสตร์การทดสอบ (Test Strategy) ที่ใช้เวลาในการทดสอบเกือบ 12 เดือน หากนำเวลาการทำสอบมาร้อยเชื่อมต่อกัน เคล็ดลับของการทดสอบอยู่ที่การมีเครื่องมือพิเศษ คือ เขียนเครื่องมือ (Tools) ขึ้นมาและแยกเฟสการทดสอบออกมาต่างหากที่เรียกว่า Data Validation and Comparison Test เพื่อทดสอบการทำงานของระบบงานทุกระบบด้วยเทคโนโลยีโดยไม่ต้องใช้คนเข้าไปเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ยังเขียน Tools ให้มีการตรวจสอบว่าหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ระบบใดระบบหนึ่งการตอบสนองของระบบ Core Banking จะเป็นอย่างไร กลไกที่วางแผนไว้สามารถรองรับได้หรือไม่

เรื่องสุดท้ายคือการวางกลยุทธ์การนำไปใช้งานจริง (Deployment Strategy) ด้วยการ “ซ้อมให้เหมือนจริง ทำจริงให้เหมือนซ้อม” ด้วยการทดสอบเสมือนจริง 21 ครั้ง ภายใน 6 เดือน ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด ทำทั้งกลางวันและกลางคืน 

และในวันขึ้นระบบจริง 8 รอบ โดยแบ่งการขึ้นระบบเป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ โดย 2 รองแรกเป็นการขึ้นงานกลุ่มใหญ่ ๆ คือ หัวใจ (Core Banking) กับสมอง (Core Banking Gateway) และยก 1,000 งานขึ้นระบบ รอบที่ 3-6 เป็นการขึ้นทุกระบบช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคาร และ 2 รอบสุดท้ายเป็นการขึ้นระบบของสาขาทั้งหมด 

เพิ่ม core banking โดยที่บริการไม่ล่ม

ระบบ Core Banking รุ่นใหม่ ๆ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนระบบใหม่มาทดแทนระบบเดิม แต่เป็นการเพิ่มระบบ Core Banking เข้าไปได้เพื่อขยายขีดความสามารถของระบบ

แก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director, IT Service Availability, KBTG
แก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director, IT Service Availability, KBTG

แก้วกานต์ ปิ่นจินดา Deputy Managing Director, IT Service Availability, KBTG กล่าวว่า การทำให้ระบบ Core Banking ของธนาคารมีความยืดหยุ่นสูง ยึดหลัก “เตรียมการสำหรับรับมือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และลงมือทำเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด” ทำ 2 เรื่องใหญ่คือ การบริหารจัดการความเสี่ยงและแก้ปัญหา (Incident & Problem Management) กับการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) 

การบริหารจัดการความเสี่ยงและแก้ปัญหา (Incident & Problem Management) คือทำอย่างไรไม่ให้ระบบเกิดปัญหา และหากเกิดปัญหาแล้วสามารถจัดการกอบกู้ให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงตรวจสอบสาเหตุของการเกิดเหตุ และเตรียมการป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำอีก 

การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management) มีความสำคัญมากที่จะต้องกำหนดแผนการทำงานและมีการนำเครื่องมือเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ

“ทีม Incident เข้าร่วมกับโครงการ Core Banking ในทุกขั้นตอน ซ้อมเหมือนจริง 21 ครั้ง ไม่มี Incident เกิดขึ้นเลย การที่เราซ้อมให้เหมือนจริง ทำจริงให้เหมือนซ้อม และเตรียมการสำหรับรับมือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด และลงมือทำเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด ทำให้โครงการ Horizontal Core Banking ในครั้งนี้เดินตามแผนงานแบบไม่มีสะดุด ไม่มีล่าช้า ไม่มี Downtime เลยแม้วินาทีเดียว และสามารถปิด War Room ได้ภายใน 1 สัปดาห์หลังขึ้นระบบ จากเดิมที่วางแผนไว้ 3 เดือน ความสำเร็จทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นจากการที่เราเป็น One Team One Goal และรักษา One Step Ahead Forever”​ แก้วกานต์ กล่าว 

กลยุทธ์ 3Cs

ภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director, Project Management, KBTG
ภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director, Project Management, KBTG

ภูวดล ทรงวุฒิชโลธร Assistant Managing Director, Project Management, KBTG กล่าวว่า การบริหารโครงการเพิ่มระบบ Core Banking ในครั้งนี้ ใช้กลยุทธ์ 3Cs คือ การสื่อสาร (Communication) เพื่อสร้างความไว้วางใจ การขอความร่วมมือ (Collaboration) เพื่อสร้างให้เกิดการทำงานร่วมกัน และการขอคำมั่นสัญญา (Commitment) เพื่อสร้างให้เกิดผลงาน 

การทำโครงการขนาดใหญ่ระดับนี้ที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนมากกว่า 1,000 คน มีการประชุมกันมากกว่า 2,000 ครั้ง มีการพูดคุยของระบบงาน 183 ระบบงานมากกว่า 2,000 การเชื่อมต่อ มีการทดสอบมากกว่า 10 เดือน และทดสอบ 30,000 เคส เกี่ยวข้องกับโครงการอื่น ๆ มากกว่า 200 โครงการ 

การสื่อสารคือสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างแรกที่จะต้องสร้างให้เกิดความไว้วางใจของคนจำนวนมากว่าโครงการนี้สำคัญและซับซ้อน ทุกคนต้องให้ความร่วมมือและมีส่วนร่วมในการทำให้เกิดขึ้น การสื่อสารเป็นจุดเริ่มต้นนำมาซึ่งความร่วมมือในการทำให้เกิดผลขึ้นจริง 

Next Generation ของระบบ Core Banking 

เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman, KBTG
เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman, KBTG

เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman, KBTG กล่าวว่า ธุรกิจการเงินคือความเชื่อถือได้ (Trust) การขยายศักยภาพของระบบ Core Banking ด้วยการขยายระบบออกด้านข้าง (Horizontal Core Bank Scaling) ในครั้งนี้คือการรักษาความเสถียรภาพและความแข็งแกร่งของระบบ Core Banking ของธนาคารกสิกรไทยหรือ Brilliant Basics ด้วยการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด 

โครงการนี้อาจจะดูเหมือนใช้เงินลงทุนจำนวนมหาศาล คือ 4,500 ล้านบาท แต่หากเทียบกับการลงทุนของธนาคารอื่น ๆ ในการเพิ่มศักยภาพระบบ Core Banking แล้วเป็นเงินที่น้อยมาก ซึ่งระบบ Core Banking ที่เพิ่มเข้ามาจะทำให้ธนาคารกสิกรไทยเป็นผู้นำในตลาดไปจนถึงปี 2031 

เนื่องจากจำนวนธนาคารกสิกรไทยมีธุรกรรมทางการเงินคิดเป็นหนึ่งในสามของทั้งประเทศ การบริหารต้นทุนต่อธุรกรรมจึงมีความสำคัญ การทำ Horizontal Core Banking เป็นการเพิ่มขีดความสามารถด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า (Cost Optimization) 

“โลกกำลังเคลื่อนจากสังคมแห่งความรู้สู่สังคมแห่งความเชื่อใจ ธุรกิจธนาคารเป็นเรื่องของความเชื่อใจ หากเปิดแอปธนาคารมาแล้วล่มหรือโหลดช้า ความเชื่อใจจะไม่มี การขยายศักยภาพของ Core Banking ในครั้งนี้สอดรับกับยุทธศาสตร์ AI ของ KBTG เสถียรภาพของระบบ Core Banking คือความเชื่อใจที่ลูกค้ามีให้ ในโลกของ AI ความเชื่อใจยิ่งทวีความสำคัญ” เรืองโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย

×

Share

ผู้เขียน