บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอเชีย – แปซิฟิก ผู้ให้บริการผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่ายสำหรับธุรกิจองค์กร และระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย จัดงานประชุม TP-Link APAC Enterprise Partner Summit 2024 ครั้งแรกในประเทศไทย แสดงนวัตกรรมและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเครือข่ายและระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย
Brian Dong รองประธานบริษัท ทีพี-ลิงค์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า การจัดประชุม TP-Link APAC Enterprise Partner Summit 2024 ครั้งนี้เป็นการจัดประชุมครั้งแรกในประเทศไทย ที่รวบรวมพันธมิตรธุรกิจ Business to Business (B2B) ในระดับเอเชียแปซิฟิกเพื่อใช้เป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดำเนินธุรกิจและเรียนรู้กลยุทธ์สู่ความสำเร็จจากการนำผลิตภัณฑ์ TP-Link ไปใช้ในโครงการต่างๆ สามารถตอบโจทย์การทำงานในสถานการณ์ต่างๆ (Product Scenario) ได้อย่างยืดหยุ่นและยังเป็นการรับรู้เสียงผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ TP-Link สำหรับการเลือกกรุงเทพฯ ประเทศไทย ในการจัดประชุมครั้งนี้ ประการหนึ่งเพราะ TP-Link มีการดำเนินธุรกิจประมาณ 30 ประเทศในภูมิภาคนี้ ครอบคลุมถึงอินเดีย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย
ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีสถานที่ตั้งเสมือนเป็นจุดศูนย์กลางโลกเพราะมีระบบการขนส่งที่เชื่อมต่อไปยังหลายประเทศ และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมมาก ทั้งนี้ จากประสบการณ์ในแต่ละปี ตนมีโอกาสได้เดินทางไปติดต่อทางธุรกิจทั่วโลก อาจกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมีจุดเด่นในด้านงานภาคบริการและการอำนวยความสะดวกสบาย รวมถึงบุคลากรที่ทำงานด้านนี้ (Service & Hospitality) มีศูนย์ประชุมที่การเดินทางสะดวกสบาย ทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกที่อยู่ในบริเวณโดยรอบ
รวมทั้ง TP-Link ยังได้เลือกให้กรุงเทพฯ ประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC) ของ TP-Link อีกด้วย นอกจากนี้ TP-Link มีผลิตภัณฑ์และโซลูชันที่หลากหลายและสามารถนำไปใช้งานในด้านต่างๆ การจัดประชุมครั้งนี้ จึงถือโอกาสเปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เพื่อแสดงถึงพลังของการดำเนินธุรกิจที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อให้พันธมิตรธุรกิจได้เห็นถึงการผนึกกำลังสู่ความสำเร็จไปด้วยกัน (Together Power The Future)
Brian Dong กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันเป็นยุคของ AI โดยปีที่ผ่านมา TP-Link ได้ย้ายศูนย์ออกแบบผลิตภัณฑ์ไปยังแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาเพื่อมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีล่าสุดเข้ามาผนึกรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ อีกทั้งจัดหาและทดสอบเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรและลูกค้า สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ทั้ง VIGI และ OMADA ล้วนมีคุณสมบัติเทคโนโลยี AI มาในอุปกรณ์ โดยล่าสุด บริษัทยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ OMADA ที่ใช้ประสิทธิภาพของ AI เพื่อรองรับการใช้งานร่วมกับระบบ Cloud ซึ่งจะให้ประสบการณ์ใช้งานที่ดีและมีประสิทธิภาพสูงให้กับลูกค้า พร้อมเสริมด้วยคุณสมบัติการทำงานใหม่ ๆ
ปัจจุบัน AI เข้ามาอยู่ในทุกอุปกรณ์ (Devices) ซึ่งจะเห็นการใช้งานรูปแบบใหม่ๆ จากผลิตภัณฑ์ ทั้งนี้ TP-Link มองว่า AI คือเครื่องมือพัฒนาแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า ที่จะมาช่วยยกระดับอุปกรณ์ ไม่ว่าจะใช้งานกับเครือข่ายแบบมีสาย หรือ Wi-Fi สร้างโอกาสมหาศาลให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย ขณะเดียวกันกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์ ยังรวมไปถึงผู้ใช้งานทั่วไป ทั้งภาคการศึกษา บริการภาครัฐ เป็นต้น และจากประสิทธิภาพการใช้งานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ลูกค้าสามารถควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น การตรวจจับและประมวลผลรวดเร็วขึ้น ลดการใช้บุคลากรในการดูแลจัดการระบบ เป็นต้น
เราขอให้คำมั่นกับทั้งพันธมิตร และทีมงานทุกคนของ TP-Link ในประเทศไทยว่าจะให้การสนับสนุนในทุกก้าวย่างเพื่อไปสู่ความสำเร็จ อีกทั้งเสริมความแข็งแกร่ง (Empower) ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม ควบคู่การติดอาวุธทางความรู้ที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันในตลาด โดยตลอดทั้งปีนี้จะดำเนินการผ่านหลักสูตรฝึกอบรมที่เตรียมจัดไว้ให้ตลอดทั้งปี ทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ VIGI บริษัทจะใช้สูตรการตลาด 4E คือการใช้งานง่าย (Easy to use) และติดตั้งง่าย (Easy to deploy) สนับสนุนการจัดการระบบอย่างง่ายดาย ได้ผ่านแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์
Gary Wen ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ หน่วยธุรกิจ อุปกรณ์เน็ตเวิร์ค (OMADA) และ Eden Xu ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ หน่วยธุรกิจ ระบบกล้องวงจรปิดเฝ้าระวังความปลอดภัย (VIGI) กล่าวถึงกลยุทธ์ธุรกิจว่า บริษัทฯ มุ่งให้ความสำคัญกับลูกค้า จึงเน้นการประสานรวมระบบการจัดการของกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดในอุตสาหกรรมรักษาความปลอดภัยภายใต้แบรนด์ VIGI และผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่ายแบรนด์ OMADA เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยการจัดสร้าง Ecosystem ของทั้ง 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้าด้วยกันเพื่ออำนวยความสะดวกด้านการให้บริการกับลูกค้า ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างความแตกต่างให้กับ TP- Link เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่นๆ ในตลาด เนื่องจากโดยทั่วไปแต่ละบริษัทจะเน้นให้บริการเพียงผลิตภัณฑ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ทำเฉพาะตลาดกล้องวงจรปิด หรือเฉพาะตลาดระบบเครือข่าย
ขณะที่ในส่วนของบริษัท TP-Link มีการพัฒนาแพลตฟอร์มระบบการจัดการแบบรวมศูนย์ สำหรับสนับสนุนผลิตภัณฑ์กลุ่มกล้องวงจรปิด VIGI และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครือข่าย OMADA ร่วมกัน โดยใช้จุดแข็งด้านเทคโนโลยีของ VIGI มาเสริมความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าที่ใช้กล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย สามารถสร้างธุรกิจใหม่ๆ และยกระดับประสิทธิภาพการให้บริการ ตลอดจนขยายขอบข่ายการทำธุรกิจให้ไปได้ไกลมากขึ้น
Chen Kun กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีพี-ลิงค์ เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์ธุรกิจในตลาดประเทศไทย TP-Link เน้นขับเคลื่อนการเติบโตโดยแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบเครือข่าย OMADA มีการกำหนด Brand Strategy ไว้ เพื่อให้ครอบคลุมการหากลุ่มลูกค้าเป้าหมายและการวางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจน และกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจระดับ SMEs และธุรกิจระดับ SMBs ที่ทำการตลาดมาก่อนหน้า บริษัทฯ มุ่งชูจุดขายเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพดีที่ใช้งานง่าย (Easy to use) และมีราคาที่เหมาะสม
รวมทั้ง การเปิดตัว OMADA Pro เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ (Enterprise) ซึ่งจากการวิเคราะห์ตลาดพบว่าลูกค้าองค์กรใหญ่ มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีโซลูชันที่ดี และสามารถตอบโจทย์ความต้องการใช้งานขององค์กร ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ดีต้องถูกขับเคลื่อนด้วยโซลูชันที่ดีจะทำให้มีข้อได้เปรียบ และผลิตภัณฑ์ของ TP-Link มีจุดแข็งด้านนี้อยู่แล้ว ส่วนการผลักดันตลาด OMADA Pro เราจะทำควบคู่กันไป ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาช่องทางจัดจำหน่าย โดยจะมีการเพิ่มแรงจูงใจให้กับพันธมิตรตัวแทนจำหน่าย เพื่อนำผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ไปต่อยอดสร้างโครงการใหม่ๆ ขยายธุรกิจใหม่ เพิ่มโอกาส รวมทั้งแหล่งรายได้ใหม่ให้กับพันธมิตรได้อีกด้วย อีกทั้งการที่ TP-Link มีแพลตฟอร์มการจัดการแบบรวมศูนย์ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่ง และความพร้อมเหล่านี้สนับสนุนให้บริษัทสามารถให้บริการกับลูกค้าได้ทั่วถึง ซึ่งอยู่ในแผนการตลาดประเทศไทยภายในสิ้นปีนี้
งานประชุม TP-Link APAC Enterprise Partner Summit 2024 ครั้งนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ในโครงการเด่น ๆ จากพันธมิตรในหลายประเทศที่นำโซลูชันจากผลิตภัณฑ์ OMADA และ VIGI ไปติดตั้งและให้บริการลูกค้าในหลากหลายภาคธุรกิจ ได้แก่ โครงการที่พักอาศัยระดับสูงในออสเตรเลีย การติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และระบบเฝ้าระวังความปลอดภัย สำหรับ Business Apartment ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการติดตั้งระบบ CCTV และ ผลิตภัณฑ์ OMADA เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับโรงเรียนสำหรับเด็กเล็ก ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายการบริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการนี้ เป็นการยกระดับประสิทธิภาพรักษาความปลอดภัยสำหรับเด็ก เป็นต้น
ขณะที่ในส่วนของลูกค้า TP-Link เราได้ผสานรวมการสนับสนุนการจัดการ ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์ ระบบเครือข่าย และ กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดเพื่อรักษาความปลอดภัย ไว้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินผ่านเทคโนโลยีอัจฉริยะ สร้างความปลอดภัยในสังคมเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ลูกค้าก็สามารถจัดซื้อผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
กรุงศรี ออโต้ พาลุย น้ำท่วมระดับไหนไปต่อไหว ขับอย่างไรให้ปลอดภัย
จีเอเบิล เผยกุญแจลับสร้างธุรกิจยุค AI ให้สำเร็จและเติบโต ด้วย “The Triple Bottom Line – 3Ps”