Share on
×

Share

‘Geoeconomics’ โอกาสและความท้าทายของอาเซียน ในวันที่โลกปั่นป่วน

ในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน ภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากเดิมที่ประเทศต่าง ๆ ใช้ ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) หรืออำนาจทางการเมืองและการทหารเป็นเครื่องมือหลักในการต่อรอง บัดนี้โลกได้ก้าวเข้าสู่ยุค ภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) ที่ซึ่งอำนาจทางเศรษฐกิจถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความได้เปรียบและกำหนดทิศทางของโลก

เวทีเสวนา ASEAN’s Resilience: Challenge and Opportunity ในงานครบรอบ 10 ปี C-ASEAN ผู้เชี่ยวชาญระดับแนวหน้ามาร่วมวิเคราะห์ภาพอนาคตของอาเซียน ได้แก่ เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ธนาคารโลก (World Bank); คอลิน เฉิน (Colin Chen) หัวหน้าฝ่ายการเงินเพื่อความยั่งยืน (ESG Finance) ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ธนาคารเอ็มยูเอฟจี (MUFG Bank) และ อิษฎา หิรัญวิวัฒน์กุล กรรมการผู้จัดการและหุ้นส่วนอาวุโส บริษัท บอสตัน คอนซัลติ้ง กรุ๊ป (BCG) ได้ร่วมกันชี้ให้เห็นถึงความท้าทายและโอกาสที่รออยู่ข้างหน้า โดยมีหัวใจสำคัญคือ “ความร่วมมือ” (Collaboration) ที่จะกลายเป็นอาวุธสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งและความรุ่งเรืองที่ยั่งยืน

มองผ่านเลนส์ World Bank: สร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอก

เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ธนาคารโลก (World Bank)
เมลินดา กู้ด (Melinda Good) ผู้อำนวยการประจำประเทศไทยและเมียนมา ธนาคารโลก (World Bank)

เมลินดา ได้ให้มุมมองที่ครอบคลุมว่า ท่ามกลางวิกฤติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาดหรือความขัดแย้งทางการค้า อาเซียนจำเป็นต้องมองข้ามการเอาตัวรอดในระยะสั้น (Short-term survival) และหันมาสร้างความยืดหยุ่นและพร้อมรับมือ (Resilience) จากภายในอย่างจริงจังเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว เธอได้นำเสนอ 5 แนวทางสำคัญที่อาเซียนต้องผลักดันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งจากภายในสู่ภายนอก

  • ประการแรก คือการเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันภายในประเทศ (Strengthening domestic competitiveness) โดยเปิดพื้นที่ให้ธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และเล็ก โดยเฉพาะสตาร์ตอัพของคนรุ่นใหม่ได้เติบโต เมลินดาชี้ให้เห็นข้อมูลที่น่าสนใจว่า แม้กลยุทธ์ China Plus One จะช่วยดึงดูดการลงทุนมายังอาเซียน แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาช่องว่างด้านผลิตภาพ (Productivity Gap) ได้ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัทชั้นนำในอาเซียนเติบโตเพียง 34% เทียบกับบริษัทชั้นนำระดับโลกที่เติบโตสูงถึง 76% โดยเฉพาะในกลุ่ม ICT และดิจิทัล
  • ประการที่สอง คือการปลดล็อกการเติบโตด้วยการเปิดเสรีภาคบริการ (Unlocking growth by liberalizing services) แม้อาเซียนจะเปิดกว้างในด้านบริการดิจิทัล แต่ภาคบริการอื่น ๆ เช่น บริการด้านวิชาชีพยังมีข้อจำกัดและกฎระเบียบที่ยุ่งยาก (Red tape) อยู่มาก การลดอุปสรรคเหล่านี้จะช่วยกระตุ้นนวัตกรรมและการแข่งขันได้อย่างมหาศาล
  • ประการที่สาม คือการสร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคต (Building a future-ready workforce) ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ การลงทุนในการศึกษาและพัฒนาทักษะดิจิทัลตั้งแต่เยาว์วัยและต่อเนื่องตลอดชีวิตคือการลงทุนที่ชาญฉลาดที่สุด โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะประชากรลดลง
  • ประการที่สี่ คือการใช้การเติบโตสีเขียว (Green Growth) เป็นเครื่องยนต์ใหม่ อาเซียนมีความโดดเด่นในฐานะผู้ส่งออกเทคโนโลยีสีเขียวระดับโลก เช่น แผงโซลาร์เซลล์ หรือชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้า (EV) แต่กลับยังนำมาใช้ประโยชน์ในประเทศค่อนข้างน้อย นี่คือโอกาสสำคัญในการสร้างตลาดภายในและเชื่อมโยงกับทิศทางของโลก ซึ่งไม่ใช่ทางเลือกฟุ่มเฟือยอีกต่อไปแต่เป็นความจำเป็น
  • และสุดท้าย คือการเปลี่ยนบทบาทมาเล่นเกมรุก ไม่ใช่แค่ตั้งรับ (Playing the offense, not just the defense) เมลินดาเชื่อว่าอาเซียนมีศักยภาพในการเป็นผู้กำหนดทิศทางและกฎเกณฑ์ของโลกในบางด้าน เช่น การค้าดิจิทัล (Digital Trade) ตลาดคาร์บอน (Carbon Markets) และการเงินที่ยั่งยืน (Sustainable Finance) โดยการที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมประจำปีของ World Bank ในปี 2026 ถือเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงศักยภาพเหล่านี้ให้โลกได้เห็น

บทบาทภาคการเงิน: กลไกขับเคลื่อนเงินทุนสู่เป้าหมายที่ยั่งยืน

ขณะที่คอลินได้ให้ภาพที่ชัดเจนว่าเมื่อโลกกำลังเผชิญกับช่องว่างทางการเงินเพื่อการพัฒนา (Financing Gap) ที่สูงกว่า 4.4 ล้านล้านดอลลาร์ บทบาทของสถาบันการเงินเพียงลำพังย่อมไม่เพียงพอ แม้จะเป็นธนาคารขนาดใหญ่ระดับโลกก็ตาม เขาย้ำว่าบทบาทที่แท้จริงของภาคการเงินในปัจจุบันคือการเป็น ผู้อำนวยความสะดวก (Enabler) ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่ให้เงินทุนของตัวเอง แต่ต้องระดมเงินทุนจากภาคส่วนอื่น ๆ ด้วยการสร้างความเชื่อมั่น และเชื่อมโยงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมดเข้าด้วยกัน

คอลินชี้ว่าอาเซียนคือหัวใจสำคัญในยุทธศาสตร์โลก ด้วยเครือข่ายธนาคารพันธมิตรที่แข็งแกร่งในภูมิภาค เช่น กรุงศรีในประเทศไทย ทำให้ธนาคารมีความเข้าใจในตลาดอย่างลึกซึ้งและสามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อชี้นำกระแสเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่น่าสนใจคือแม้สภาวะตลาดจะผันผวน แต่เป้าหมายด้านความยั่งยืนระยะยาว เช่น Net Zero ขององค์กรต่างๆ  ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งที่เปลี่ยนไปคือเส้นทาง (Trajectory) ที่จะไปถึงเป้าหมายนั้น ซึ่งภาคการเงินต้องเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับตัวและเดินทางบนเส้นทางใหม่นี้ได้

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือโครงการ JETP (Just Energy Transition Partnership) ซึ่งสะท้อนปรัชญาการทำงานที่จำเป็นในยุคนี้ คำว่า Just หมายถึงการเปลี่ยนผ่านที่ต้องเป็นธรรมและคำนึงถึงผลกระทบต่อทุกภาคส่วน Transition ย้ำเตือนว่านี่คือกระบวนการที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบหักดิบ และหัวใจที่ขาดไม่ได้คือ Partnership ซึ่งคือความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาครัฐและเอกชน ท้ายที่สุด คอลินสรุปว่า นิยามของเงินกำลังเปลี่ยนไปสู่การเป็นเครื่องมือเพื่อแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม และภารกิจของภาคการเงินคือการทำให้เครื่องมือนี้ถูกใช้อย่างทรงพลังที่สุด

มุมมองเชิงกลยุทธ์: “วันที่ฝนตก” คือโอกาสสร้างความได้เปรียบ

ในด้านของอิษฎา ได้ให้มุมมองที่เฉียบคมและปลุกพลัง โดยเริ่มต้นด้วยคำกล่าวของ Ayrton Senna นักแข่งรถ Formula One ในตำนานที่ว่า คุณไม่สามารถแซงรถ 15 คันในวันที่แดดออกได้ แต่คุณทำได้ในวันที่ฝนตก เขาเปรียบเปรยว่าโลกที่ปั่นป่วนและเต็มไปด้วยความท้าทายในปัจจุบันก็เปรียบเสมือน วันที่ฝนตกหนัก (Raining cats and dogs) ซึ่งนี่ไม่ใช่เวลาแห่งความลังเล แต่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

อิษฎาอธิบายว่า กลยุทธ์ (Strategy) คือแผนการที่ดีที่สุดเพื่อไปสู่เป้าหมาย โดยต้องสร้างขึ้นบนความได้เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ในอดีต ความได้เปรียบอาจมาจากแค่การมีต้นทุนต่ำที่สุด หรือสินค้าดีที่สุด แต่ในโลกปัจจุบันที่ผู้บริโภคคาดหวังสูงขึ้นและคู่แข่งเก่งขึ้นมาก สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพออีกต่อไป ความได้เปรียบในยุคใหม่ยังต้องมาจากการเป็น พลเมืองที่ดีของโลก (Good Citizen) และการเป็น พันธมิตรที่น่าร่วมงานด้วย (Partner of Choice)

เพื่อสร้างความได้เปรียบที่ซับซ้อนนี้ เขาได้เสนอแนวคิด All hands on deck หรือการระดมสรรพกำลังจากทุกภาคส่วน โดยยกตัวอย่างภารกิจไปดวงจันทร์ของสหรัฐฯ ในอดีต ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ยากและท้าทาย แต่กลับสามารถรวมนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และทุกคนให้ทำงานร่วมกันจนสำเร็จได้ เช่นเดียวกันหากอาเซียนต้องการจะก้าวไปข้างหน้าก็จำเป็นต้องมีเป้าหมายร่วมกันที่ยิ่งใหญ่พอที่จะทำให้ทุกคนร่วมมือกันปลดล็อกศักยภาพของตนเอง ดังนั้น เขาจึงมองว่าความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์ในปัจจุบันเป็นเรื่องเชิงบวก เพราะมันคือสายฝนที่กระตุ้นให้ทุกคนต้องตื่นตัวและลงมือทำอย่างจริงจังเพื่อแข่งขันและพัฒนาตนเอง

เป้าหมายร่วมกันของอาเซียน

ภาพอนาคตที่ท้าทายที่เต็มไปด้วยโอกาสของอาเซียน มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การนำทางผ่านทางสามแพร่ง (Trilemma) ซึ่งคือการสร้างสมดุลที่ยากยิ่งระหว่าง ความมั่นคง (Security) ความสามารถในการเข้าถึง (Affordability) และ ความยั่งยืน (Sustainability) การแก้โจทย์นี้ไม่ใช่การเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่คือการมองด้วย มิติของเวลา (Time Scale) ที่ถูกต้อง โดยสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งในระยะยาว ควบคู่ไปกับการสร้างประโยชน์ในระยะสั้นเพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเดินหน้าต่อไปได้

ทางออกที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งที่อิษฎาได้เสนอไว้ นั่นคืออาเซียนต้องเริ่มจากการตั้งเป้าหมายร่วมกัน (Common Goal) ที่ชัดเจนและวัดผลได้ เช่น เป้าหมาย Net Zero ของภูมิภาค จากนั้นจึงสร้าง แผนที่นำทางที่เป็นรูปธรรม (Concrete Roadmap) และที่สำคัญคือต้องมี กลไกการกำกับดูแล (Enforcement Mechanism) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความคาดการณ์ได้ให้แก่นักลงทุน

เมื่อมีทิศทางที่ชัดเจนแล้ว อุปสรรคด้านเงินทุนก็จะคลี่คลายลง เงินทุนไม่ใช่ปัญหา หากมีโครงการที่ดีและน่าลงทุน (Bankable Projects) ภาคการเงินก็พร้อมที่จะเข้ามาสนับสนุนและทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวกในการระดมทุน สิ่งนี้คือการเปลี่ยนมุมมองจากต้นทุน ไปสู่การลงทุนเพื่ออนาคต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแนวคิด คุณค่าร่วม (Shared Value) ที่ธุรกิจสามารถสร้างผลกำไรไปพร้อม ๆ กับการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อม

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากปัจจัยที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “คน” การสร้างบุคลากรที่พร้อมสำหรับอนาคตและมีทักษะที่จำเป็น คือรากฐานที่จะทำให้แผนการทุกอย่างเป็นจริงได้ และในฐานะที่คนรุ่นปัจจุบันกำลังใช้ทรัพยากรของโลกในอัตราที่เกินกว่าโลกจะฟื้นฟูได้ทัน

“จงอย่าหยุดที่จะเรียนรู้ จงเรียกร้องโอกาสในการพัฒนา และจงเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณทำในวันนี้มีความหมายและสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เพราะอนาคตของอาเซียนและของโลกใบนี้อยู่ในมือของพวกคุณ” วิทยากรกล่าวทิ้งท้าย

ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

บทเรียน CEO แห่ง Omoo และ Easy Digital: กลยุทธ์ปั้น SaaS ให้รอดและรุ่ง

Net Zero ในทางปฏิบัติ: CP Axtra และ รพ.ธนบุรีใช้ AI ลดคาร์บอน

×

Share

ผู้เขียน