ในยุคที่โลกเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อน และเชื่อมโยงกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ผลกระทบที่รุนแรงขึ้นของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความผันผวนทางเศรษฐกิจและห่วงโซ่อุปทานโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ภูมิภาคอาเซียนจำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกัน (Resilience) ที่ไม่ใช่เป็นเพียงการตั้งรับหรือฟื้นตัวจากวิกฤติ แต่คือการสร้างขีดความสามารถในการปรับตัว พลิกโฉม และเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม การสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนจึงหมายถึงการวางรากฐานทางสังคมและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งและยืดหยุ่นสำหรับคนทุกคน
การจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้นั้น ไม่สามารถพึ่งพาเพียงภาครัฐหรือภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งได้อีกต่อไป แต่ต้องอาศัยแนวทางแบบองค์รวมที่ผนึกกำลังจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ 3 เสาหลักสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้อาเซียน อันได้แก่ พลังขับเคลื่อนจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความรับผิดชอบ ความคิดสร้างสรรค์จากพลังของพลเมืองในระดับฐานราก และศักยภาพของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์บริบทของภูมิภาคโดยตรง เพื่อร่วมกันในการสร้างอนาคตที่ดีกว่าและพร้อมรับมือกับทุกความเปลี่ยนแปลงให้กับภูมิภาคแห่งนี้
ทะเลที่ยั่งยืน: เมื่อความรับผิดชอบไม่ใช่แค่ทางเลือกแต่คือหัวใจของธุรกิจ

ปราชญ์ เกิดไพโรจน์ ผู้อำนวยการด้านความยั่งยืน ธุรกิจ Pet, Feed และ Marine Ingredient บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สำหรับธุรกิจอาหารทะเลระดับโลก ความยั่งยืนไม่ใช่แค่กิจกรรมเพื่อสังคม แต่เป็นหัวใจสำคัญของการอยู่รอดของธุรกิจโดยตรง เพราะถ้าไม่มีปลาในทะเล ก็ไม่มีธุรกิจ
ด้วยปรัชญานี้ ไทยยูเนี่ยนจึงได้เปิดตัวกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ซึ่งเป็นการทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหารทะเลเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้คนและโลกของเรา กลยุทธ์นี้ตั้งอยู่บนเสาหลักที่ครอบคลุมทั้งมิติของผู้คนและสิ่งแวดล้อม ในด้านผู้คนจะเน้นการปกป้องสิทธิมนุษยชนและแรงงานตลอดห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่บนเรือประมงไปจนถึงโรงงาน ควบคู่กับการส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและโภชนาการ
–‘วรรณสิงห์-ไทยยูเนี่ยน’ ชี้ขยะทะเลต้องแก้ที่ ‘กฎหมาย’ ไม่ใช่ ‘จิตสำนึก’
ส่วนในด้านสิ่งแวดล้อมประกอบด้วยสามแกนหลักคือการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพเพื่อให้ทรัพยากรสัตว์น้ำคงความอุดมสมบูรณ์ไปสู่คนรุ่นหลัง และการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านพันธกิจที่ชัดเจนว่าบรรจุภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทจะต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้
การลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรมนั้นสะท้อนผ่านพันธสัญญาที่ท้าทายหลายประการ ตัวอย่างเช่น การตั้งเป้าให้ปลาทูน่า 100% ต้องมาจากแหล่งประมงที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล Marine Stewardship Council (MSC) ซึ่งเปรียบเสมือนมาตรฐานทองคำของวงการ หรือต้องอยู่ในโครงการพัฒนาการประมงเพื่อการรับรอง (FIP) นอกจากนี้ยังตั้งเป้าให้เรือประมงทุกลำต้องมีผู้สังเกตการณ์บนเรือหรือระบบติดตามทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเป็นดวงตาที่สามในการตรวจสอบและป้องกันการทำประมงที่ผิดกฎหมาย
ในด้านนวัตกรรมที่ผู้บริโภคสัมผัสได้ มีการนำเสนอ Smart Strip ในผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแถบอะลูมิเนียมบาง ๆ ที่ใช้แทนพลาสติกหุ้มแพ็ก ลดขยะได้อย่างมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นไทยยูเนี่ยนยังไม่ได้หยุดแค่การลดผลกระทบแต่ยังริเริ่มโครงการเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศ เช่น การร่วมมือกับ SCG ฟื้นฟูป่าชายเลนทางภาคใต้ของไทย และโครงการใหม่ที่น่าตื่นเต้นในการใช้โดรนที่ติดตั้งกล้องความแม่นยำสูงบินสำรวจหาเศษอวนหรือเครื่องมือประมงที่ถูกทิ้งร้างใต้ทะเลในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพื่อประสานงานกับชุมชนและนักดำน้ำในการเก็บกู้อวนผีเหล่านี้ต่อไป
เขาตอกย้ำว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่การกุศล แต่เป็นกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันการเงิน จนนำมาสู่การได้รับเงินกู้สีน้ำเงิน (Blue Loan) จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่าความยั่งยืนสามารถเป็นเรื่องที่ดีต่อธุรกิจ (Good for Business) และสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้จริง
พลังพลเมือง: ปลุกพลังคนตัวเล็กสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก
เอด้า จิรไพศาลกุล กรรมการผู้จัดการ เทใจดอทคอม ได้แบ่งปันเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ เริ่มต้นจากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยได้รับทุนอาเซียนไปเรียนที่สิงคโปร์ ทำให้ได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับเพื่อนจากหลากหลายวัฒนธรรม และค้นพบว่า ทุกคนต่างมีจุดแข็งที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ ประสบการณ์นี้หล่อหลอมความเชื่อที่ว่าทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงได้
ความเชื่อนี้ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อเธอได้ทำงานในภาครัฐและตระหนักว่า ลำพังรัฐบาลไม่สามารถแก้ปัญหาที่หลากหลายและซับซ้อนของประเทศได้ทั้งหมด หลายคนจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอหันมาสนใจเรื่องผู้ประกอบการเพื่อสังคม และก่อตั้ง Taejai ดอทคอม แพลตฟอร์มระดมทุนที่ทำหน้าที่มอบเครื่องมือให้ทุกคนเป็นผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงได้ (Democratize Societal Change) โดยไม่ต้องรอให้ใครมาแก้ปัญหาให้
ตลอด 14 ปี เทใจได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 520 ล้านบาทจากพลเมืองเกือบ 2,000 คน เพื่อสนับสนุนกว่า 1,200 โครงการทั่วประเทศและขยายไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน พลังของพลเมืองได้ก่อให้เกิดนวัตกรรมจากฐานรากที่น่าทึ่ง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือช่วงการระบาดของโควิด ที่ชุมชนได้ริเริ่มคูปองปันสุข แทนการแจกถุงยังชีพแบบเดิม ๆ เพราะเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้งว่าแต่ละครอบครัวมีความต้องการต่างกัน บางบ้านมีผู้สูงอายุ บางบ้านมีเด็กเล็ก การให้คูปองจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดกว่า
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องราวของนักสร้างสรรค์รุ่นเยาว์อย่าง “นะโม” เด็กชายชั้น ป.6 จากเชียงใหม่ที่ใช้ทักษะการประดิษฐ์หุ่นยนต์มาระดมทุนสร้างเครื่องฟอกอากาศแบบพกพาให้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รับทุนจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ต่อไป สะท้อนให้เห็นว่าทุกคนไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้
ที่สำคัญ พลังของพลเมืองยังมีความยืดหยุ่นและคล่องตัวสูงในภาวะวิกฤติ เช่น สถานการณ์ในเมียนมา ที่องค์กรขนาดใหญ่ถูกจำกัดด้วยกฎระเบียบ แต่พลเมืองสามารถระดมความช่วยเหลือข้ามพรมแดนได้อย่างรวดเร็ว พลังนี้ยังขยายผลไปสู่ความร่วมมือระดับภูมิภาคผ่านโครงการ Forest Guardian และ Sea Guardian ซึ่งเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อทุกคน เช่น ปัญหาไฟป่าและฝุ่น PM2.5 เพราะท้ายที่สุดแล้ว
“เราทุกคนต่างหายใจในอากาศเดียวกันและใช้ทรัพยากรจากท้องทะเลร่วมกัน”
เอด้าชี้ให้เห็นว่า พลังของพลเมืองคือส่วนสำคัญในการสร้างสังคมที่พร้อมรับมือกับวิกฤติ เพราะมีความเข้าใจปัญหาในพื้นที่ และสามารถสร้างวิธีแก้ปัญหาที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง
นวัตกรรมติดดิน: เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์เกษตรกรอาเซียน

ดร.รัสรินทร์ ชินโชติธีรนันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ListenField Thailand จำกัด ได้นำเสนอมุมมองด้านเทคโนโลยีที่เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงลึก โดยชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเฉพาะตัวของอาเซียนซึ่งเป็นภูมิภาคที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยคาดการณ์ว่าอาจสูญเสีย GDP ถึง 37% ภายในปี 2048 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกเกือบสองเท่า แต่ในขณะเดียวกันภูมิภาคนี้ก็มีจุดแข็งด้านการเกษตรโดยเป็นแหล่งผลิตข้าวและน้ำมันปาล์มที่สำคัญของโลก
โจทย์ใหญ่คือลักษณะเฉพาะของฟาร์มในอาเซียน ซึ่ง 80% เป็นฟาร์มขนาดเล็ก (น้อยกว่า 2 เฮกตาร์ หรือประมาณ 12.5 ไร่) เมื่อเทียบกับฟาร์มขนาดใหญ่ในสหรัฐอเมริกา (เฉลี่ย 180 เฮกตาร์) หรือออสเตรเลีย (มากกว่า 800 เฮกตาร์) การนำเทคโนโลยีที่ออกแบบมาเพื่อฟาร์มขนาดใหญ่มาใช้จึงเปรียบเหมือนการพยายามใช้อุปกรณ์อุตสาหกรรมในโรงงานของช่างฝีมือ ซึ่งไม่พอดีและไม่ตอบโจทย์
ดังนั้น นวัตกรรมสำหรับอาเซียนจึงต้องเป็นเทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อเราโดยเฉพาะ ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือโครงการข้าวหอมมะลิอินทรีย์ในภาคอีสาน ซึ่งไม่ใช่แค่การใช้เทคโนโลยีแต่เป็นการสร้างโมเดลความร่วมมือหลายฝ่ายระหว่างเกษตรกร นักลงทุนเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้รับซื้ออย่าง Unilever โดยมีแพลตฟอร์มข้อมูลที่ใช้ AI และดาวเทียมเป็นศูนย์กลาง ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก คือสามารถลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้กว่า 50% แต่กลับเพิ่มผลผลิตได้ถึง 60% (จาก 2,250 กก./เฮกตาร์ เป็น 3,750 กก./เฮกตาร์)
นอกจากนี้ ยังมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาระดับภูมิภาค เช่น การจัดการปัญหามลพิษข้ามพรมแดนซึ่งมีต้นตอจากการเผาในภาคเกษตร โดยพัฒนาระบบเชื่อมโยงข้อมูล Hotspot เพื่อประสานงานการเก็บเกี่ยวและหลีกเลี่ยงการเผาพร้อม ๆ กัน แต่หัวใจสำคัญคือการสร้างทางเลือกที่ win-win ให้เกษตรกรสามารถสร้างรายได้จากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรแทนการเผา และยังมีแนวคิดในการนำระบบพยากรณ์น้ำท่วมอย่าง Google Flood Hub มาเชื่อมต่อกับระบบเกษตรกรรม เพื่อช่วยแจ้งเตือนเกษตรกรล่วงหน้า และที่ล้ำไปกว่านั้นคือการใช้ข้อมูลน้ำท่วมที่ได้รับการรับรองมาเป็นเงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยจากระบบประกันภัยโดยอัตโนมัติ
ดร.รัสรินทร์ เน้นย้ำว่า นี่คือโอกาสของอาเซียนในการเปลี่ยนความท้าทายให้เป็นการพัฒนานวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรอย่างยั่งยืน
การสร้างภูมิคุ้มกันให้อาเซียนไม่ใช่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วน ทั้งภาคธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องดำเนินงานอย่างรับผิดชอบ พลังของพลเมืองที่ลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงจากฐานราก และเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความท้าทายของภูมิภาคอย่างแท้จริง การผนึกกำลังของทั้ง 3 เสาหลักนี้ คือกุญแจสำคัญที่จะนำพาอาเซียนไปสู่อนาคตที่แข็งแกร่งและยั่งยืนสำหรับทุกคน
ข่าวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ
‘Geoeconomics’ โอกาสและความท้าทายของอาเซียน ในวันที่โลกปั่นป่วน
ปลดล็อกอนาคตไทยจาก ‘งานวิจัยขึ้นหิ้ง’ สู่เศรษฐกิจแสนล้านด้วย AI และ ‘ลายแทงจีโนม’